หนังสือนิยายอิงธรรมะ "พระอานนท์พุทธอนุชา" โดย วศิน อินทรสระ



หน้าปกหนังสือ พระอานนท์พุทธอนุชา โดย วิศิน อินทรสระ

ตอนที่ ๓๐. พรหมทัณฑ์ และ ณ ชาตสระบนเส้นทางจาริก (หรือสามารถอ่านฟรีได้ที่เวปไซต์ธรรมจักร : http://www.dhammajak.net/book/anon/index.php)
 
           เมื่อเวลานานถึง ๔๐ ปีหลังพุทธปรินิพพาน ที่พระพุทธอนุชาผู้ประเสริฐจาริกสู่คานานิคมชนบทและราชธานีต่างๆ เกือบทั่วชมพูทวีปเพื่อโปรดเวเนยนิกรชนแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ประทีปดวงใหญ่แห่งชมพูทวีปจะดับไปแล้ว แต่ประทีปดวงน้อยคือ พระพุทธอนุชายังมีอยู่ และส่องแสงเรืองรองเพื่อภารตวรรษต่อไป

           บัดนี้ ภารกิจอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระศาสดาและหน้าที่ในการทำลายกิเลสของท่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ การอบรมสั่งสอนมหาชนให้หลีกจากทุจริต เดินเข้าสู่ครองแห่งสุจริตธรรม การปรากฏกายแห่งพระอานนท์ไม่ว่าในที่ใด ในสมาคมใด ประดุจการปรากฏขึ้นแห่งดวงจันทร์ในปูรณมีดิถี นำความชื่นบานเอิบอาบซานซ่านและสดใสมาสู่จิตใจของมหาชนในที่นั้น และสมาคมนั้น

           เมื่อมหาสันนิบาตในการสังคายนาเสร็จสิ้นลงแล้ว พระพุทธอนุชาได้ละทิ้ง เบญจคีรีนคร ไว้ เบื้องหน้ามุ่งสู่ นครโกสัมพี เพื่อลง พรหมทัณฑ์ แก่ พระฉันนะพระหัวดื้อ ซึ่งพระศาสดารับสั่งไว้เมื่อจวนจะนิพพาน พระอานนท์ได้ประกาศให้สงฆ์ในโกสัมพีนครทราบว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพระฉันนะต้องการจะทำอย่างใด จะพูดอย่างใด และประพฤติอย่างใดก็ให้ทำได้ตามอัธยาศัย ภิกษุสามเณรไม่พึงว่ากล่าวตักเตือนพระฉันนะด้วยถ้อยคำใดๆ เลย นี่เรียกว่า พรหมทัณฑ์ คือการลงโทษที่หนักที่สุดแบบพระอริยะ

           "ท่านทั้งหลาย!" พระอานนท์กล่าวในมหาสมาคมซึ่งมีภิกษุประชุมอยู่จำนวนพัน "พระบรมศาสดาเคยตักเตือนพระฉันนะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า ขอให้เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย อย่าดื้อด้าน และดื้อดึง แต่พระฉันนะก็หาฟังไม่ ยังคงประพฤติตนตามใจชอบอยู่อย่างเดิม เมื่อจวนจะปรินิพพานทรงเป็นห่วงเรื่องพระฉันนะ จึงมีพุทธบัญชากับข้าพเจ้าไว้ว่าให้ลงโทษแก่พระฉันนะโดยวิธีพรหมทัณฑ์ ท่านทั้งหลาย! การลงโทษแบบนี้เป็นวิธีสุดท้ายที่พระอริยเจ้าจะพึงกระทำ ประดุจนายสารถีผู้ฝึกม้า จำใจต้องฆ่าม้าของตนที่เหลือฝึก เพื่อมิให้สืบพันธุ์ไม่ดีต่อไป

           "ท่านทั้งหลาย! สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงสนทนากับคนฝึกม้าผู้เชี่ยวชาญนามว่า เกสิ พระองค์ตรัสถามว่า 'ดูก่อนเกสิ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการฝึกม้า ตถาคตอยากทราบว่า ท่านมีวิธีฝึกม้าอย่างไร?'

           นายเกสิทูลตอบว่า 'ฝึกโดยวิธีละมุนละม่อมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง โดยวิธีทั้งละมุนละไมและทั้งรุนแรงบ้าง'

           "เกสิ! ถ้าม้าของท่านไม่รับการฝึก คือฝึกไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไร?"

           "พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าม้าตัวใดฝึกไม่ได้ ข้าพระองค์ก็ฆ่าม้าตัวนั้นเสีย ทั้งนี้เพื่อมิให้เสียชื่อผู้ฝึก และมิให้ม้าตัวนั้นมีพืชพันธุ์ไม่ดีต่อไป พระองค์ผู้เจริญ! พระองค์มีชื่อเสียงปรากฏว่าเป็นยอดแห่งนักฝึกคนที่พอจะฝึกได้ ก็พระองค์มีวิธีฝึกคนอย่างไรเล่า?"

           "ดูก่อนเกสิ!" พระศาสดาตรัส "เราก็ฝึกบุคคลที่ควรฝึกอย่างนั้นเหมือนกัน คือฝึกโดยวิธีละมุนละไมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง ทั้งโดยวิธีรุนแรงและละมุนละไมบ้าง"

           "ถ้าฝึกไม่ได้เล่าพระเจ้าข้า" นายเกสิทูลถาม "พระองค์จะทรงกระทำประการใด"

           "ถ้าม้าฝึกไม่ได้เราก็ฆ่าเหมือนกัน" พระศาสดาทรงตอบ

           "ก็พระองค์ไม่ทรงทำปาณาติบาตมิใช่หรือ เหตุไฉนจึงตรัสว่าทรงฆ่า"

           "ดูก่อนเกสิ! การฆ่าของเราเป็นการฆ่าแบบอริยประหาร คือไม่ยอมว่ากล่าวสั่งสอนเลย ทำประดุจบุคคลผู้นั้นไม่มีอยู่ในโลก การลงโทษอย่างนี้รุนแรงที่สุด ผู้ถูกลงโทษได้รับผลที่น่ากลัวที่สุด"

           "นายเกสิคนฝึกม้าทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่า แจ่มแจ้งดียิ่งนัก"

           พระอานนท์กล่าวต่อไป "ท่านทั้งหลาย! แลแล้วเมื่อมีโอกาสประทับอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ทรงนำเรื่องม้ามาเป็นบทประกอบพระธรรมเทศนา โอวาทภิกษุทั้งหลายมีใจความดังนี้

           "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงเห็นเงาปฏักที่นายสารถียกขึ้นเท่านั้น ก็ทราบได้ว่า นายต้องการจะให้ตนทำอย่างไร แล้วสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงได้ยินข่าวว่าบุคคลโน้นอยู่บ้านโน้น แก่บ้าง เจ็บบ้าง ตายบ้าง ก็เกิดสังเวชสลดจิตน้อมเข้ามาหาตัวว่า แม้เราต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง

           "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักเท่านั้นยังไม่อาจเข้าใจความหมายที่นายต้องการให้ทำ แต่เมื่อถูกแทงจนขนร่วงนั่นแหละจึงรู้สึก แล้วปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามที่นายต้องการฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้นเพียงได้ยินข่าวเจ็บ และข่าวตายของผู้อื่นเท่านั้นยังไม่เกิดสังเวชสลดจิต แต่เมื่อได้เห็นด้วยตนเองซึ่งคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย จึงเกิดสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง

           "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงแต่เห็นเงาปฏักและถูกแทงจนขนร่วงก็ยังไม่รู้สึก เมื่อถูกแทนจนทะลุหนังเข้าไปจึงรู้สึก และพร้อมที่จะปฏิบัติตามนายฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงเห็นคนแก่ คนเจ็บ หรือคนตาย และได้ยินได้ฟังข่าวเช่นนั้น ไม่ก่อให้เกิดความสังเวชสลดจิตได้ ต่อเมื่อญาติสายโลหิตมิตรสหายอันเป็นที่รักที่พึงใจเจ็บหรือตายลง จึงเกิดสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง

           "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักถูกแทงจนขนร่วง ถูกแทงจนทะลุผิวหนังเข้าไป ก็หาเข้าใจถึงสิ่งที่นายต้องการให้ทำไม่ ต่อเมื่อถูกแทงจนจดกระดูกจึงรู้สึก และเข้าใจในสิ่งที่นายต้องการให้ทำฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงแต่ได้ยินได้ฟัง หรือเห็นญาติพี่น้องเจ็บและตายก็ไม่เกิดสังเวชสลดจิต ต่อเมื่อตนเจ็บเอง และเจ็บเจียนตายใกล้ต่อมรณสมัย จึงรู้สึกสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง"

           แลแล้วพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะหรือคุณสมบัติ ๔ ประการ ควรเป็นม้าทรงของพระราชา ๔ ประการนั้นคือ มีความซื่อตรง มีเชาวน์ดี มีความอดทน และมีลักษณะสงบเรียบร้อย ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ ประการก็เหมือนกัน คือ มีความซื่อตรงไม่หลอกลวงไม่คดในข้องอในกระดูก มีเชาวน์ดีในการู้อริยสัจ มีความอดทนอย่างยิ่ง และมีการสำรวมตนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ประพฤติตนเอะอะโวยวายเยี่ยงนักเลงสุราบาน ก็สมควรเป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลก ภิกษุทั้งหลาย! เราเคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่า ถ้าจะดูความเป็นบ้าในหมู่สงฆ์ ก็จงดูตรงที่เธอร้องรำทำเพลง ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ ก็จงดูตรงที่เธอยิงฟันหัวเราะในลักษณะปล่อยตนเหมือนเด็กชาวบ้าน"

           "ดูก่อนท่านทั้งหลาย!" พระอานนท์กล่าวต่อไป "พระพุทธองค์เคยตรัสกับข้าพเจ้าไว้ว่า 'อานนท์ เราจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม อย่างที่ช่างหม้อทำกับหม้อที่ยังเปียกยังดิบ อานนท์! เราจักขนาบแล้วขนาบเล่าให้หยุดหย่อน เราจักชี้ให้เห็นโทษของกิเลสบาปธรรมแล้วๆ เล่าๆ ไม่หยุดหย่อน อานนท์! ผู้ใดมุ่งหวังมรรคผลเป็นสำคัญในการประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ใดเป็นสาระมีประโยชน์ ผู้นั้นจึงจักอยู่ได้"

           "ท่านทั้งหลาย! ด้วยประการฉะนี้แล ข้าพเจ้าจึงขอประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ เพื่อเธอจะได้สำนึกตนและปฏิบัติตนในทางที่ชอบต่อไป" พระอานนท์กล่าวจบ สงฆ์ทั้งสิ้นเงียบ เป็นการยอมรับประกาศนั้นด้วยอาการดุษณี

           พระฉันนะได้ทราบว่า บัดนี้สงฆ์ได้ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่ตนแล้ว เกิดสังเวชสลดจิตกลับประพฤติตนดีมีสัมมาคารวะ และเชื่อฟังพระเถระทั้งหลาย ในไม่ช้าก็สำเร็จพระอรหัต


ฟังเสียงการอ่าน พระอานนท์พุทธอนุชา ได้จากเวปไซต์ พลังจิต (http://audio.palungjit.com/showthread.php?t=711)

หมายเลขบันทึก: 230088เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2008 09:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะคุณกวิน

รีบแวะมาจอง.....อ่าน...เป็นคนแรก....^_^...

แต่มันยาวหน่อย ... แล้วจะค่อยมาละเลียดอ่านนะคะ...

หายขาดจากหวัดแล้วหรือยังคะ .... อยากได้เชื้อหวัดอีกตัวไหม จะเมลล์ไปให้ค่ะ...เป็นไวรัสสายพันธุ์จาก จ.เลยนะ...555....

มาบอกว่ากำลังตามอ่านเรื่องใบไม้ ของอ.บัญชา ที่คุณกวินแนะนำให้ค่ะ โอ...ตื่นตามตื่นใจมาก ๆ ขอบคุณมากมายค่ะ

(^____^)

ส่ง ดอกกระเจี๊ยบแดง มาแทนคำขอบคุณค่ะ

ขอบคุณคนไม่มีรากครับ อืมสงสัยจะหายจากการเป็นหวัดแล้ว ภาพดอกกระเจ๊ยบแดงเห็นแล้วอยากกินน้ำกระเจี๊ยบนะครับ ยายของกวินเคย ทำให้กินตอนเด็กๆ ถ่ายได้สวยดีนะครับ ชัดตื้น

สวัสดีครับคุณกวิน

แวะมาทักทายและอ่านเรื่องเตือนใจ สอนใจดี ๆ

คุณกวินก็เป็นผู้ที่ศึกษาทางธรรมมากนะครับ....ทำไมกลายเป็น นายแบก (โลก) ไปเสียได้ (อ่านพบจากเวปคุณคนไม่มีรากครับ)

เห็นด้วยว่าภาพ ดอกกระเจี๊ยบแดง สวยงาม ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ

รักษากายใจนะครับ

ขอบคุณพี่คนตัดไม้ครับ แบบว่าเวลาจอมยุทธสมัยก่อนฝึกวรยุทธก็ต้องใส่ชุดหนักๆ หรือแบกก้อนหินวิ่งๆ เป็นการฝึกวรยุทธ์อย่างหนึ่งครับ :)

จะหาซื้อหนังสือพระอานนท์ พุทธอนุชาฉบับสมบูรณ์ได้ไหน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท