เรื่องจริง ของคุณหมอ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร เตือนสติให้สร้างกุศลไว้เถอะ


ขอบคุณเพื่อน และเจ้าของwebที่ส่งบทความดีๆมาให้เผยแพร่ อ่านแล้วได้กุศล...เชิญพิจารณาแล้วบอกต่อ....'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้' .....เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น .

'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'             

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่นพร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน

ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดรีบไปอย่างรวดเร็ว

'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'

'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'  'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ   มีฐานะดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ    เป็นที่รู้จักกันว่า! แกเป็นคน ที่ขี้เหนียว   แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย,,,,,,,

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน

ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ     แม่จึงเดินเข้าไปถาม

 

'พี่หนอม มีไรหรอคะ' 

'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ  พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย' 

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที  และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้ 

'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ' 

'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัยพ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

 

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

 

'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'

 

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด

แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ 'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ' 

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง... 

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า 

'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะน้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ๊า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้ มั้ย  

แม่! ่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป 

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'

แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า  แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเรา น๊ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม

แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

 แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่ฉันถามต่อ  แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า 

'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆเมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น' 

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'

'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่' 

'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะแค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า 

'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ 

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า 

'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'

 

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย

จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา     ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ 

หลังจากนั้นฉันเรียนจบ    แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัด เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า  เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง

หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้านแต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงินแม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่  

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้น! เรื่อยๆ 

ฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก

มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆจะได้หายเร็วๆ

 

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป

แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือนแม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว

ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย      ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ

ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

 

 หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที

ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า

มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า

โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า

 

ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวแม่ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ

อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

 

หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก

โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง

ค่อนข้างสูง  เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

 

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหนลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไ! ง    ฉันก็ต้ องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

 

 หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

 

 ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน

ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

 

ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า

คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่

โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

 

ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จงาน

คุณหมอก็ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

 

โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

 

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน

 

เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร  ภู่จันทร์

ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด                         0 บาท

ค่ายาทั้งหมด                !    0 บาท

ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ       0 บาท

รวมเป็นเงินทั้งหมด                0 บาท

 ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

 ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

 

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

  

ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและเพื่อนๆที่ FW Mail ดีๆมาให้

ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบและขอบคุณมากๆที่เผยแพร่ต่อไป

ขอบคุณจริงๆ

Rattana Toolklang

สตรข.8 (นครราชสีมา)

Todsapol [email protected]

คำสำคัญ (Tags): #ขํนติพโล
หมายเลขบันทึก: 224007เขียนเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2008 01:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (40)

ได้ทดลองนำบทความนี้ไปสอนเรื่องการอ่านจับใจความ และฝึกเด็กให้หัดย่อความ กับเด็กมัธยมเมื่อไปนิเทศโรงเรียน....ลองมาแล้วได้ผลดี...ตั้งคำถามให้เด็กๆตอบ...ผมได้แง่คิดดีๆจากเด็กเยอะมาก

สวัสดีค่ะคุณ Todsapol

อ่านแล้วชอบมากค่ะ แม้จะเคยอ่านมาบ้างแล้ว .....

เรื่องของคนคิดดี พูดดี และทำดี ... อ่านแล้วทำให้จิตใจที่กำลังหดหู่ ทดท้อกับบางความรู้สึกดีขึ้นค่ะ

ขอบคุณค่ะ...^_^...

อ่านหลายรอบ..อ่านทีไรซึ้งทุกที

ตามมาอ่านเพราะมีคนใจดีแนะนำให้มาอ่าน

อ่านแล้วก็ซาบซึ้ง แม้ว่าจะเคยได้อ่านเรื่องทำนองนี้อยู่หลายครั้ง

แต่อ่านแล้วก็สะเทือนไปถึงหัวใจทุกทีเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องดี ๆ เช่นนี้มาเผยแพร่..

ขอบคุณ ใบไม้ย้อนแสง add และ คนไม่มีราก ที่ให้กำลังใจ ตามไปBlogอยู่บ่อยๆ ก็ได้อะไรดีๆ ขอได้รับคำแนะนำ

ขอบคุณ..บทความดีๆขอบคุณน้องคนไม่มีรากที่แนะนำน้องกวินอ่านและพี่นุส..ก็พลอยโชคดีไปด้วย...จะเก็บไว้เล่าให้ลูกฟังค่ะ....

ขอบคุณครับหมอ นุช เวรกรรมและกุศลผลบุญ ตามทันกันชาตินี้ สอนลูกหลานและศิษย์ให้สะสมบุญไว้ดีกว่า ไม่รู้ว่าจะหมดโอกาสเมื่อไร ขอเพียงสบายใจที่ได้ทำดีไว้ก่อนที่จะไม่ได้ทำ

เคยอ่านจากที่เพื่อนFW มาให้ครั้งหนึ่งแล้ว อ่านแล้วน้ำตาซึม ด้วยปิติยินดี คนดีในโลกนี้ ต่างมีที่มาที่ต่างกัน แต่เขาเหล่านั้นต่างพอใจที่จะสร้างความดี เลือกที่จะทำความดี 

ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องราวดี ๆ แสนจะจรรโลงใจ

และสร้างความหวังเล็ก ๆ อีกหนึ่งในหัวใจของคนทำดีนะคะ

ขอบคุณค่ะ

(^__^)

ขอบคุณครูปู เสียดายไม่ได้ไปพบในงานรวมพล เมื่อ ๘ พย.มัวเพลินเดินในมัฆวาล

 

สวัสดีค่ะ  คุณ Todsapol 

  • เมื่อคืนกลับถึงบ้านก็ 5 ทุ่มแล้วค่ะ
  • บรรยากาศชื่นมื่นมาก  ไม่ต้องเดินเองเลยค่ะ
  • ครูปูไหลไปรวมกับ พธม สระบุรีได้ไงไม่รู้  ตอนเดินเข้าไปเค้าก็ปรบมือต้อนรับว่า พธม สระบุรีมาแล้ววววว
  • ไอ่เราก็ แฮ่ะ ๆ ค่า.....
  • พลัดหลงกับเพื่อนที่ไปด้วยกันทั้งหมดเลยค่ะ
  • เดี๋ยวโทร เดี๋ยวโทร เพราะหลงกันตลอด คนเยอะมาก จนต้องยอมแพ้ หาเตนท์หลังเวทีนั่ง ปรากฎว่าที่นั่งก็ไม่มีอีกค่ะ อิอิ
  • ก็เลยเดินว่อนจนเท้าแทบระบม
  • แต่เห็นจำนวนคนที่มากจนนับไม่ถูกก็ปลื้มค่ะ
  • ทางทีมงานก็เตรียมตัวไม่ทัน คงไม่นึกว่า คนจะมาเยอะขนาดนี้
  • ครูปูไปนั่งรอที่มัฆวาน ฯ พักนึงค่ะ ให้เค้า set เวที
  • ระหว่างนั้น สว.การุญ ก็กระโดดขึ้นรถ พูดคนเดียวเรียกคนไปเรื่อย ๆ ค่ะ กว่าจะ set กันได้
  • ครูปูเดินทัวร์ไปทั่ว ที่ไหนเค้าร้องรำทำเพลงก็ไปร่วมด้วยช่วยกันกับคุณป้า คุณน้า คุณลุงทั้งหลาย
  • พอผ่านทางเข้าตรงไหน เค้าจะมีกลุ่มคนที่มาก่อน ปรบมือต้อนรับคนที่มาใหม่ ครูปูก็ทำไปยืนเป็นคนเก่าต้อนรับคนใหม่กับเค้าด้วย สนุกมากค่ะ
  • แววตาคุณพี่ คุณน้า คุณป้า คุณลุง คุณยาย เป็นประกายแวววาว
  • ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ยิ้มให้กัน โค้งคำนับให้กัน เอามือตบมาสัมผัสกัน พร้อมรอยยิ้มทุกหนทุกแห่ง
  • (^__________^)
  • update เท่านี้ก่อนนะคะ
  • ยินดีที่ได้เจอ พธม.เหมือนกันค่ะ
  • สู้ ๆ  ค่ะ

             เผื่อจะหิวค่ะ (^__^)

ครูปู ของชอบเลยน๊ะ ไม่กลัวอ้วนแล้ว

 ไปเยี่ยมพันธมิตรบ้างน๊ะ

ชอบมากๆครับตอนชีวิตผมเป็นเหมือนเด็กเมื่อยี่สบปีก่อนเลยแต่ได้อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะแยะเลย....

ภาพในอดีต คือทักษะชีวิตที่มีค่ายิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประสบการณ์ชีวิตนั้น เรานำมาเป็นยาใจและต้องทำชีวิตให้ดีขึ้น 

ใช้สติตรึกตรองมองรอบคอบ 

รู้ผิดชอบชั่วดีมีเกียรติศักดิ์ 

กตัญญูรู้คุณคนยิ่งนัก 

แจ้งประจักษ์หน้าที่  มีวินัย

 

เพื่อนส่งเมล์มาให้อ่าน...น้ำตาไหลเลย ซาบซึ้งกับความดี โลกนี้ยังมีความงดงามของจิตใจคนเราอยู่นะคะ...ขอบคุณมากๆคะกับทุกภาคส่วน ทุกๆท่าน ทุกสรรพสิ่งที่จรรโลงสิ่งดีงามไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ และได้คิดเตือนสติตัวเอง...

โลกนี้ แผ่นดินนี้ ยังมีทางให้เดินสำหรับคนดี

ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนั้นเราจะพบกับความสุขสมหวังแน่นอน

เป็นเรื่องจริงหรือเป่าครับ

แต่เท่าที่รู้ผมส่งต่อไปยังคนที่ผมรักแล้วครับ

และอีดอย่าง

อ่านที่ไรน้ำตาใหลทุกที

ผมปริ้นไปติดไว้ที่ฝาบ้านด้วยครับ

รู้สึกดีมาหากใครได้อ่าน

ตอนแรกว่าจะไม่อ่าน แต่ลองอ่านหน่อยดีกว่า อ่านเสร็จน้ำตาซึมเลย ซึ้งจริง ๆ

นี่แสดงให้เห็นว่า ทำดีย่อมได้ดี

ความดีไม่มีขาย อยากได้ให้ทำเอง

ชอบมาก อะไรๆ ดีๆ เช่นนี้อยากให้ทุกคนดีอย่างงี้บ้างจัง

ขอบคุณทุกท่าน 17. เนนเนน 18. ธิป 20. ดักแด้

คิดดี ทำดี สร้างกุศลให้ถึงพร้อม ก่อนที่จะไม่มีโอกาศทำ

ขอบคุณที่สังคมเรามีคนดีๆอย่าง คุณๆทั้ง 3 คน คุณหมอยอดกตัญญู ไม่ลืมคุณคน ชายอีกคนที่รักแม่ พาแม่เฝ้าหาโรงพยาบาลให้แม่รักษา คุณน้าและคุณแม่ที่ใจดีเหมือนแม่ปลื้มของผู้เขียนคะ

อยากรู้จังค่ะ ว่านายแพทย์เดชา ทองวิจิตรมีตัวตนจริงหรือเปล่าคะ

มีคน search หาชื่อ นพ.เดชา ทองวิจิตร ใน internet กันมาก รวมทั้ง indexthai ด้วย ก็ไม่พบชื่อนี้ ต่างบอกกันว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ..แต่ใครเป็นคนแต่งก็น่าจะบอกไว้บ้าง

เห็นว่า เนื้อเรื่องเป็นแนวคิดที่ดี จึงนำมาฝากให้อ่าน ทั้งได้พยายามสืบหาคนเขียน แต่ไม่พบ...บางแหล่งข้อมูลก็ว่าไม่ใชเรื่องจริง เพราะสาระบบรายชื่อนายแพทย์ของไทยที่ชื่อ เดชา ทองวิจิตร นั้นไม่มี จึงเข้าใจว่า เป็นอุดมการณ์ของคนเขียนที่ปรารถนาจะเป็นแพทย์แต่งขึ้นมาก็ได้ แต่อย่างน้อยเรื่องแนวนี้จะช่วยคนที่ตั้งใจทำความดีจะได้เกิดแรงบันดาลใจหากใครพบเจอเรื่องแนวนี้ ก็บอกต่อ ๆ ส่งต่อ ๆ มาให้กันและกันบ้าง และหรือหากท่านใดทราบชื่อคนเขียนเรื่องนี้ก็ฝากขอบคุณ ฝากคำอนุโมทนาแทนท่านผู้อ่านไปสู่ท่านผู้นั้นด้วย...

อ่านแล้วรู้สึกว่าต่อให้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ก้อรู้สึกดีว่า เป็นเรื่องที่น่าจะศึกษาและพิจารณา และปฏิบัติ ในสิ่งที่ดีงาม เพื่อชีวิตที่ดีงามของทุกคนสืบไป

เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่ไม่ว่าจะป็นเรื่องจริงหรือไม่เรื่องนี้ก็ดีงาม สอนให้รู้ว่าการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนยอมมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นเบื้องต้น

การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  ยอมมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นเบื้องต้น

เป็นเรื่องที่สอนได้ดีมากค่ะ

อ่านแล้ว ได้แง่คิดอะไรหลาย ๆ อย่างเลยค่ะ รู้สึกดี ที่ได้อ่าน

ทำให้ปลูกฝัง ความคิดในแง่บวกอีกหลายอย่างเลยค่ะ

ดีมาก ๆ เลย

                  

 

                 เป็นคนบ่อน้ำตาตื้น  อ่านเรื่องทำนองนี้ทีไร  เสียน้ำตาทุกที

                         ขอบคุณเจ้าของบล๊อก  ก็เตือนสติได้ดีที่เดียว

เรื่องจริงหรอค๊ะเนี่ย

แสดงว่าหมอต้องเป็นคนที่มีความมานะพยายามสูงมากนะค๊ะเนี่ย

และที่สำคัญคงต้องเรียนเก่งมากๆแน่ใช่ไหมค๊ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะ

รักษาสุขภาพด้วยนะค๊ะ

ขออนุโมทนาด้วยน๊ะค่ะ..

ทั้งคุณน้าสมพร และ คุณหมอเดชา ...^_^

ดีใจน๊ะที่ได้ฟังเรื่องราวดีดี แบบนี้...ปลื้มใจจัง

เขมณัฏฐ์ อภิพัฒน์กุลวรา

อ่านแล้วน้ำตาคลอเบ้าค่ะ คุณหมอสุดยอดมาก และคุณป้าเย็บผ้าดีจริงๆค่ะ เหมือนแม่เบนเลย

ขอบคุณ เขมณัฏฐ์ อภิพัฒน์กุลวรา คุณเจี๊ยบ และ ท่านที่ไม่แสดงตน ฝากไว้เป็นข้อคิด ที่สอนเราในเรื่องความกตัญญู ความอดทน และพลังของความดี ความเมตตา

ขอยอย่องท่านผู้ทำความดีทั้งสอง จะนำบทความนี้เป็นตัวอย่าง ในการดำรงชีวิตของเด็กรุ่นหลัง

ศักดิ์สิทธิ์ ไพจิตรโยธี

ผมได้นำเรื่องราวดังกล่าว ไปเผยแพร่ให้ญาติธรรมที่ปฏิบัติธรรมในวัดที่สกลนคร ได้ทราบ ขออนุโมทนาบุญ ด้วยครับ

ขอบคุณครับ ท่านพี่ ศักดิ์สิทธิ์ ไพจิตรโยธี

กราบอนุโมทนาบุญ

โห++ดีจังเลยค่ะ^^ว่าแต่คุณหมอเป็นคนที่ไหนเนี่ย นามสกุล เหมือนหนูเลย^^

ยินดีด้วยครับหนูอ้อม ที่มีญาติดีๆ

"ท่านหมอ...เป็นบุคคลที่ควรค่าในตระกูลที่ดี เราเป็นญาติก็จะได้ช่วยกันรักษาวงศ์ตระกูล"

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท