หลังจากที่ผมได้รับคำสั่งให้ไปอบรมโครงการเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา 3 วัน 2 คืน ผมก็บอกกับตัวเองว่า จะไหวหรือเปล่าหนอเรา ไอ้เราก็ไม่ใช่คนธรรมะ ธรรมโมซะด้วยสิ ในใจลึก ๆ ก็รู้สึกว่าไม่อยากไปเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยเป็นหน้าที่ ผมเลยต้องไปแบบเลี่ยงไม่ได้ วันแรกเป็นวันอาทิตย์ เขาให้ไปลงทะเบียน 07.00-09.00 น. ผมก็ออกเดินทางจากบ้าน ตอน 6 โมงเช้า ซึ่งผมขับรถลำบากมากกว่าจะไปถึง เพราะฝนตกปรอย ๆไปถึง ทางแยกเข้าวัด ก่อนถึงวัดประมาณ 3 กิโลเมตร จะเป็นถนนลูกรัง อีกทั้งฝนก็ตก กว่าผมจะเข้าไปถึงวัดได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร หนำซ้ำรถก็เปื้อนโคลนอย่างมากด้วย ผมมาถึง วัดศิริมงคล (วัดวังสวนกล้วย)
ประมาณ 8.30 น. พอลงจากรถกางเกงก็เปื้อนทันที เพราะใส่ชุดนุ่งขาวห่มขาว (ลืมดูว่ารถเปื้อน )และก็ถือศีล 8 พอเข้าไปในบริเวณวัด ก็ได้เห็นบรรยากาศ ร่มรื่น มีความสงบ และห่างไกลจาความวุ่นวาย
เข้าไปตอนแรกก็ไปลงทะเบียนแล้วก็นั่งรอฟังการอบรมต่อไป วันแรกก็เป็นเรื่องหลักการสอนต่าง ๆ แต่ที่น่าสนใจคือ ตอนเย็นหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไปก็เป็นการทำวัตรเย็น และก็การบริหารจิต (ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำสักทีเลยครับ)
ทำวัตรเย็นก็ประมาณว่าสวดมนต์ ภาวนา ส่วนการบริหารจิต ก็คือการนั่งสมาธิแบบทรหดนั่นเองครับ แรก ๆ ผมก็ทำได้ไม่นานหรอกครับ เพราะปวดขามาก พอตอนหลังตั้งจิตอธิษฐานว่าจะลองนั่งนาน ๆ ดูสักครั้ง ....เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ผมรู้สึกว่า มือของผมหายไป ขาของผมก็ไม่มี อาจเป็นเพราะว่า มือและขาชาจนไม่มีความรู้สึกก็เป็นได้ และมีแสงนวลเลือนรางอยู่ตรงหน้าผมทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ลืมตา
ผมทำต่อไปเรื่อย ๆ จนพระครูสุวรรณศีลวงศ์ ท่านบอกให้ลืมตาได้ และลุกขึ้นเตรียมตัวไปนอนได้ ผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ 4 ทุ่มแล้วเหรอ เนี่ย ผมพยายามลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้ เป็นเพราะผมไม่สามารถบังคับขาตัวเองได้ มันชาไปหมดทั้งเท้า อ่อนปวกเปียก เหมือนไม่มีกระดูก ไม่มีเส้นเอ็น ผมต้องบีบต้องนวดอยู่นานกว่าเท้าจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิม พอเข้าที่พักก็เห็นไปห้องโล่งครอบด้วยมุ้งขนาดใหญ่ยักษ์ นอนได้เป็นร้อยคน แล้ววันแรกก็ผ่านไป
วันที่ 2 ได้ยินเสียงระฆังตั้งแต่ตี 3 ผมรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็รีบเดินไปที่ศาลาเพื่อ ทำวัตรเช้าและทำสมาธิ ตามที่พระครูท่านนัดไว้ เช้านี้ผมลองทำสมาธิแล้วไม่ค่อยรู้สึกชาที่ขาเท่าไหร่แล้ว อาจจะชินแล้วมั่งครับ พอถึงแปดโมงเช้าก็ไปเข้ารับการอบรมต่อ พอถึงตอนเย็น ก็มาทำวัตรเย็นและก็บริหารจิตเหมือนเดิมแต่วันนี้มีการเดินจงกลมด้วย และก็มีการทำสมาธิแบบนอนด้วย วันนี้เลยสบายขึ้นหน่อยไม่ปวดขาเลยครับ จากนั้นก็เข้านอน..
วันที่ 3 ตื่นตี 3 เหมือนเดิม ปกติอยู่ที่บ้านผมจะตื่นยากมากครับ แต่พอมาอยู่วัดทำไมถึงเป็นอย่างนี้ก็ไม่ทราบอาจเป็นเพราะไม่คุ้นกับสถานที่และก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยกระมัง วันนี้มีการตักบาตรด้วยในตอนเช้า
แล้วก็เข้าอบรมอีกแต่ก็ไม่เสริมเรื่อง กรรม บาปต่าง ๆ การทดแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณ พอถึงตอนเย็นก็มีการมอบใบประกาศนียบัตรพอกำลังจะออกจากศาลาการอบรมผมก็รู้สึกว่าไม่อยากกลับบ้านสักเท่าไร กลับรู้สึกผูกพันก็สถานที่ อยากปฏิบัติต่อไปอีก แต่พอคิดถึงภาระหน้าที่ที่เราต้องทำต่อไปก็ต้องตัดใจ เหมือนความคิดของผมมีใครสักคนได้ยิน อยู่ดี ๆ ฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาซะอย่างนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนที่เขาอยากกลับบ้านมากกว่าผมทนอยู่ต่อได้ เขาเหล่านั้นก็วิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถแล้วก็รีบกลับบ้านทันที
หลังจากกลับมาจากวัดแล้วผมก็ได้ข้อคิดหลายอย่าง จากที่ผมไม่ค่อยมีเวลาที่จะไปทำบุญที่วัดเท่าใดนัก ผมก็มักจะชวนคนในครอบครัวไปวัดทำบุญสุนทานบ่อยขึ้น จะคอยดูแลบุพการีให้มากกว่านี้และตั้งใจไว้ว่าจะรักษาศีล 5 ไว้ตลอด ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งหลาย และเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งปวง บัณฑิตจึงควรทำศีลให้บริสุทธ์อยู่เสมอ”
หากท่านใดมีความคิดเห็นเสนอแนะ ก็ขอเชิญมาร่วมแสดงความคิดเห็นได้นะครับ
ไม่มีความเห็น