การจัดเวทีประชาคมเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญมากในการทำงานในชุมชน ครูพยาบาลชุมชนจะเตรียมนักศึกษาพยาบาลอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จ การจัดเวทีประชาคมไม่ใช่เพียงแค่การเชิญชาวบ้านมาประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของเรา หรือมาฟังว่าปัญหาของคุณมีอะไรบ้าง (จากการที่เราไปค้นหามา) แล้วถามว่าจะให้เราแก้ไขปัญหาใดก่อน แต่การจัดเวทีประชาคมโดยทั่วไปแล้ว หมายถึงการประชุมชาวบ้าน เพื่อวัตถุประสงค์หลากหลายเช่น ปลุกจิตสำนึกให้รักชุมชน ค้นหาผู้มีจิตสาธารณะ ช่วยให้ชุมชนค้นหาเป้าหมายและมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และเพื่อร่วมกันคิดแก้ปัญหาของชุมชน ฯลฯ
หลังจากที่นักศึกษาทำความรู้จักชุมชน รู้ว่าชุมชนมีศักยภาพหรือจุดเด่นและจุดอ่อนอย่างไรบ้าง และประเมินปัญหาหรือความต้องการของชุมชนตามหลักการที่ได้เรียนมาแล้ว นศ. จะมาอภิปรายร่วมกับครู เพื่อวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราควรดำเนินการก่อน อะไรคือสาเหตุของปัญหานั้น และเราควรดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อแก้ไขหรือบรรเทาปัญหานั้น ในเวลาและความสามารถที่เรามี ขั้นตอนนี้จะฝึกให้นศ. รู้จักคิด วิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา และรู้จักวิธีการนำความรู้ที่สั่งสมมาเกือบ 4 ปี มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์จริง บทบาทของครูเป็น facilitator ที่คอยกระตุ้นให้นศ. ได้มีอิสระในการคิดวิเคราะห์ อย่างมีเหตุผล (critical thinking) นศ.จะถูกฝึกให้คิดแบบรอบด้าน ไม่มองแต่ตัวปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ต้องมองให้ลึกและกว้าง คิดเป็นว่าปัญหานั้นเกิดจากอะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ตัวอย่างเช่น ชุมชนแห่งหนึ่งมีขยะกระจายอยู่ตามทางเดิน และบริเวณทั่วๆไปของชุมชน และชาวบ้านบ่นว่ายุงชุม เมื่อได้พูดคุยต่อไป ชุมชนบอกว่าไม่มีส่วนราชการมาเหลียวแล ไม่มีใครมาเก็บขยะ ไม่มีใครมาฉีดพ่นยาฆ่ายุง เมื่อพูดคุยต่อไปอีกจึงพบว่าชุมชนอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่มีผู้นำชุมชนหรือคณะกรรมการชุมชนที่ชัดเจน ทำให้ไม่มีผู้ทำหน้าที่เป็นแกนนำ หรือผู้แทนชุมชนที่จะเป็นปากเป็นเสียง ชุมชนนี้จึงมีลักษณะของชุมชนที่อ่อนแอหรือไม่เข้มแข็ง ดังนั้นการช่วยเหลือชุมชนนี้คงไม่ใช่เพียงแค่พยาบาลไปช่วยประสานหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้มาฉีดยาฆ่ายุงหรือให้มาเก็บขยะ แต่จะต้องลึกไปถึงว่าจะทำอย่างไรให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น สามารถดูแลกันเองได้เมื่อไม่มีเราหรือนศ.พยาบาล
ครูต้องกระตุ้นให้นศ.คิด ท้าทายความสามารถ เปิดโอกาสให้คิดนอกกรอบ ชื่นชมความกล้าคิด กล้าถาม กล้าแย้ง กล้าทดลอง บอก นศ. ว่าทุกอย่างเป็นไปได้ แต่อาจยังไม่เกิดเวลานี้ อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นหลายๆปี แม้ยังไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นความภูมิใจที่เราได้คิดเป็น กล้าทำ กล้าลอง เป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของนศ.
เมื่อวางแผนแล้วว่าจะช่วยชุมชนอย่างไรบ้าง เราควรเตรียมไว้สัก2 ทางเลือก เผื่อว่าในเวทีประชาคม ชาวบ้านอาจมองเห็นต่างจากเรา เราจะได้มีแผนสองไว้ให้ประชาชน จากประสบการณ์ ครูสามารถเดาได้ว่าชุมชนจะพูดอย่างไร ชุมชนต้องการอะไร ดังนั้นเราควรเตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมในการประชุมในวันนั้น เช่น เตรียมข้อมูลอะไร เตรียมสถิติอะไร เตรียมคำพูดอย่างไรจึงจะจูงใจให้ชุมชนเข้าใจ คล้อยตามและเต็มใจร่วมมือทำงานกับเรา นอกจากนั้นครูจะบอกนศ. เสมอว่าเรากับชุมชนจะต้องทำงานแบบเป็นหุ้นส่วนกัน กล่าวคือไม่ใช่เราทำให้หมดตั้งแต่เดินสำรวจ เตรียมข้าวของ บริการตรวจสุขภาพ ให้คำแนะนำรวมทั้งเตรียมน้ำดื่ม อาหารว่าง ยกโต๊ะเก้าอี้เอง แต่เราจะทำงานร่วมกัน ชุมชนก็ต้องลงทุน ต้องมีหน้าที่หรือจัดเตรียมบางอย่างให้เรา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชุมชนจะรู้สึกดีใจ ตื้นตันใจที่เราเข้าไปช่วยเหลือและมักจะจัดหาอาหารและน้ำดื่มมาเลี้ยงเรา
เทคนิคทั้งหมดนี้เป็นศาสตร์และศิลป์ ขณะพูดคุยกับนศ. ครูมองเห็นแววตาและความรู้สึกของความกระตือรือล้น ความท้าทายและความสนุกของนศ. เมื่อนศ. อยากทำแล้วได้ทำ นศ. จะมีความสุข สนุกกับการเรียนวิชาการพยาบาลชุมชน ครูก็มีความสุขกับการสอนด้วย
สวัสดีครับท่าน
ดร. อาภา ยังประดิษฐ
ผมขออนุญาติคัดนำเอาข้อความดีๆไปรวมใน
http://gotoknow.org/blog/mrschuai/99502
ขอบคุณมากครับ