สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งคือ คนเราทุกคนเกิดมาแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม สังคมและภูมิหลัง....
เพราะคนเราเกิดมาแตกต่างกัน คนเราจึงมีมุมมอง วิธีคิด และความถนัดที่แตกต่างกัน และหากคนเราไม่ยอมรับความแตกต่างเหล่านี้ ก็จะมองเป็นความขัดแย้งและจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น...
ในสังคมหากนักการเมืองพูดแต่ภาษานักการเมือง นักวิชาการพูดแต่ภาษานักวิชาการ นักกฏหมาย หมอ พยาบาล วิศวกร นักบัญชี พูดแต่ภาษาของตัวเอง ย่อมไม่มีทางที่จะพูดและสื่อสารเป็นเรื่องเดียวกันได้...
แต่หากเราเปิดใจยอมรับในความแตกต่างเหล่านี้ เราก็จะเกิดการเรียนรู้กันมากขึ้น เมื่อต่างคนต่างเรียนรู้กันมากขึ้นแล้ว แน่นอนที่สุดการพัฒนาย่อมเกิดขึ้น...
ในทุกภาคส่วนของสังคมย่อมมีความสำคัญกับการพัฒนาประเทศไม่น้อยไปกว่ากัน เปิดใจ เรียนรู้และพัฒนาไปร่วมกัน หาทางออกที่ดีที่สุด เพราะเราทุกคนมีส่วนในการรับผิดชอบสังคมนี้ร่วมกัน...
ครับ...คุณแผ่นดิน ...
ถ้าเป็นการถกเถียงกันด้วยเหตุผล และมีการเปิดใจรับฟัง ในที่สุดย่อมหาทางออกที่ดีได้...
ขอบคุณมากครับ...
ขอบคุณครับคุณดิเรก
อย่างที่ว่าที่ไหนๆ ก็มี "ก๊ก" ก๊กไหนก็คุยกันแต่ภายในก๊ก ยิ่งกลุ่มที่คิดว่าตนเองอยู่ชั้นสูง แล้วก็ไม่ยอมมองลงข้างล่างหรือฟังผู้อื่นยิ่งแย่นะครับ
แต่เกิดการผสมผสานระหว่างความคิด วัฒนธรรม ลดทิฐิลงคงจะดีในทุกสังคมครับ
น่าจะใช้คำว่า "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"ได้นะคะ แต่ทำอย่างไรเราจึงจะยอมรับจุดต่างของกันและกันได้เท่านั้นเอง
ลองศึกษาหาหนังสือเกี่ยวกับ เอ็นเนียแกรม อ่าน สิครับ
เป็นศาสตร์ที่อธิบายความแตกต่างของคนที่เริ่มจากวิธีการมองโลก แรงจูงใจ สไตล์การทำงาน ไปจนถึงการสื่อสาร การตัดสินใจ ฯลฯ ได้ดีที่สุด
ลองอ่านดูคร่าวๆ ที่บล๊อกของผมก็ได้ครับ
ครับ...คุณแจ็ค ...
อย่างที่บอกแหละครับ หลายคน หลายกลุ่มไม่ยอมเปิดใจ ยึดติดกับตัวเอง ยึดติดกับกลุ่มของตัวเอง สังคมไทยจึงไม่พัฒนาไปเท่าที่ควรครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณนิเวศน์ ...
ถ้าทุกคนคิดที่จะเปิดใจและเริ่มต้นที่ตัวเอง สังคมคงจะน่าอยู่กว่านี้มากครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณราณี ...
เห็นด้วยกับคุณราณีทุกประการครับ ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้สังคมเราสงบสุขแน่นอนครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณสาว ...
ชอบครับ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" คงต้องเริ่มต้นที่ตัวเราครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณวาจาสิทธิ์ ...
พอจะมีความรู้อยู่บ้างครับเกี่ยวกับเรื่องนพลักษณ์ ไว้จะไปหาความรู้เพิ่มเติมตามลิงค์ที่ให้ไว้ครับ....
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณ น.เมืองสรวง ...
การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องใช้แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ที่สำคัญถ้าตัวเขาไม่คิดจะเปลี่ยน ก็ยากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง...
ขอบคุณมากครับ...
การยอมรับความแตกต่างเป็นเรื่องสำคัญ และผมมองว่า จุดเริ่มของการยอมรับความแตกต่างคือ ยอมรับตัวตนของตัวเองเสียก่อน หากไม่รู้จักตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเอง แล้วจะเข้าใจคนอื่นได้อย่างไร
การศึกษาไทยในปัจจุบัน อาจจะยังห่างไกลจากการสร้างให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง กลับพยายามสร้างคนให้เหมือนผลผลิตของโรงงานที่ต้องเหมือนกัน คุณภาพเท่ากัน จริงๆ การศึกษาไทยน่าจะเป็นศิลปินที่พยายามผลิตผลงานศิลปะมากกว่า
ขอบคุณครับ
คุณ Mr.Direct ครับ
มาเชิญไปร่วมสังสรรค์ ตามที่ได้แจ้งไว้ครับ
วันอาทิตย์ที่ 13 พ.ค.50
เวลา 10.30
ณ ร้านดังกิ้นโดนัท สยาม หน้าโรงภาพยนตร์สยาม ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS สยามสแควร์
ครับ...คุณจารุวัจน์ ...
เห็นด้วยครับต้องเปิดใจยอมรับและเข้าใจตัวเองก่อนแล้วถึงจะยอมรับและเข้าใจคนอื่นได้...
เรื่องระบบการศึกษาของไทยเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอย่างจริงจังเพื่อหาแนวทางต่อไปครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...คุณตาหยู ...
แล้วเจอกันวันอาทิตย์ครับ...
ขอบคุณมากครับ...
แม้จะรู้กันอยู่แล้วว่า “คนเราคิดไม่เหมือนกัน” แต่น้อยคนนักที่จะสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ไม่เหมือนกันตรงไหน เพราะอะไร แล้วยังไง เรายังรู้ไม่จริง จึงมักคิดว่า คนส่วนใหญ่ถึงจะคิดไม่เหมือนก็คงจะคล้ายกับเรามากกว่า แล้วก็อดไม่ได้ที่มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จนมองคนที่คิดและทำอะไรต่างไปจากเราอย่างมากนั้นว่า แปลก.. น่าปรับปรุงแก้ไข.. หรืออาจตัดสินไปเลยว่า “คนนั้น มีปัญหา...”
เอ็นเนียแกรมทำให้เราเกิดความแจ่มแจ้งว่า คนเรามีความแตกต่างทางพื้นฐานความคิดอย่างมาก ไม่ใช่แค่ว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร เลยชอบใช้เหตุผลเพื่อจะคิดวิเคราะห์ ส่วนผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ ย่อมมีความรู้สึกที่อ่อนไหวมากกว่า แต่ถ้าจะอุปมาโดยนัยนี้ ก็อาจเปรียบได้ว่า พวกเราเป็นมนุษย์ที่มาจากดาวเก้าดวงที่อยู่คนละทิศทางกัน จึงมีมุมมองต่อโลกไม่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละคนจึงคิด รู้สึกและทำสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่อยู่ในโลกหรือเหตุการณ์เดียวกันแท้ๆ
ความรู้เรื่องคนเก้าแบบของเอ็นเนียแกรมจะทำให้เราซาบซึ้งถึงความแตกต่างนี้ เราจะมองตัวเองและผู้อื่นด้วยมุมมองใหม่และจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น เมื่อรู้เขารู้เราอย่างถ่องแท้แล้ว เราก็จะเลิกที่จะพยามยามให้เขาทำให้ได้ดั่งใจเรา แต่จะมีความเอื้ออาทรต่อกันมากขึ้น จะไม่หงุดหงิดหรือคับข้องใจกับการกระทำบางอย่างของเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ครับ...คุณวาจาสิทธิ์ ...
เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจครับ ทำให้เราเข้าใจยอมรับตนเองและผู้อื่นมากขึ้น...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ...อาจารย์ขจิต ...
ขอให้ได้คะแนนเยอะ ๆ นะครับ...
ขอบคุณเช่นกันครับ...
มาเยี่ยม...คุณ
ใช่ครับ...เรามีตาหนา...ไม่เมือนกัน...แต่เราก็ยังเป็นคนเหมือนกันนะครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ
ครับ...อาจารย์ Umi ...
ถึงเราจะต่างแต่เราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบสังคมเท่า ๆ กันครับ...
ขอบคุณครับ....
สวัสดีครับ
อร่อยดี มีประโยชน์
ครับ...คุณเอกชน ...
ขอบคุณมาก ๆ ครับที่ติดตามอ่านทุก ๆ บันทึก...
ยังงัยถ้ามีเวลาลองเขียนบันทึกบ้างนะครับ...
จะได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้กันครับ...
ขอบคุณมากครับ...