อ้างอิงข้อมูลการรายงานข่าว
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000068520
นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2546 คนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อคนต่อวัน แต่หลังจากที่ทุกฝ่ายจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน รักการอ่านผ่านกิจกรรมต่างๆ พบว่าปี 2550 คนไทยมีนิสัยรักการอ่านดีขึ้นร้อยละ 7 โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ ศธ.ยังไม่ได้ตีค่าออกมาว่าคนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นวันละกี่บรรทัด แต่ ศธ.ตั้งเป้าไว้ที่12 บรรทัดต่อวัน
คำถาม
เมื่อเห็นรายงานข่าวต่อเป้าหมาย และ จังหวะก้าวที่ เรากำลังผลักดัน
ได้แต่ตั้งคำถาม ต่อ หนทางและจังหวะของการพัฒนาในประเทศไทย
ในแง่ของมุมมองการเรียนรู้ โดยมีส่วนหนึ่งขององค์ประกอบพื้นฐานในการเรียนรู้ ที่เกิดขึ้นจากการอ่าน โดยมิได้เกี่ยวข้องกับการตำหนิติเตียน หรือ ประณามผู้ปฏิบัติงาน และการกำลังปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดทางออก หรือผลักดันหนทางสู่เป้าหมายดังกล่าว เพียงแต่ ความรู้สึกเหนื่อยใจ ในแต่ละก้าวที่ช้าและยากลำบาก และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนผู้ปฏิบัติงาน ที่ต้องพยายามอีกมาก ในการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เป็นหนึ่งข่าวสาร ท่ามกลางภาพสะท้อนของความพยายาม ว่าเรายังต้องพยายามกันอีกมาก สำหรับเป้าหมายในระยะไกล ของบุคลากรด้านการศึกษา ที่กำลังทุ่มเท และกำลังพยายาม ที่จะสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เป็นเป้าหมายระยะสั้น ที่ชวนเหนื่อยใจ ในจังหวะก้าวของการพัฒนาการศึกษาได้มิใช่น้อย เราคงได้แต่ช่วยกัน และสร้างสรรค์ให้เกิดการอ่านที่เป็นจริงเป็นจังได้มากกว่านี้
สวัสดีค่ะคุณ Kati
ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2546 คนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อคนต่อวัน แต่หลังจากที่ทุกฝ่ายจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน รักการอ่านผ่านกิจกรรมต่างๆ พบว่าปี 2550 คนไทยมีนิสัยรักการอ่านดีขึ้นร้อยละ 7 โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ ศธ.ยังไม่ได้ตีค่าออกมาว่าคนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นวันละกี่บรรทัด แต่ ศธ.ตั้งเป้าไว้ที่12 บรรทัดต่อวัน
คนละ 12 บรรทัดต่อวัน ! บนเส้นทางยาวไกล 4 ปีเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซนต์...พูดไม่ออก
งั้นวันนี้เบิร์ดก็อ่านเกินแล้วสิคะเพราะบันทึกคุณ Kati มี 19 บรรทัด ^ ^
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลดีๆ
ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้
เราดูทีวีกันมาก
คุยโทรศัพท์กันนาน
เล่นเกมส์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนเหลือเวลาอ่านหนังสือน้อยลงทุกที
สวัสดีครับ
ด้วยความเคารพครับ ผมไม่คิดว่าจุดสำคัญอยู่ที่อ่านหนังสือได้กี่บรรทัดต่อวันครับ แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า เราได้อะไรจากตัวหนังสือที่โลดแล่น ตัวอักษรทุกตัวอักษรที่เต้นระบำจากเจ็ดบรรทัดที่เราอ่านมากกว่าครับ
ผมคิดว่าหนังสือนั้นดีกว่าโทรทัศน์ตรงที่หนังสือนั้นเป็นตัวฝึกจินตนาการที่ดีกว่าโทรทัศน์ครับ ในเมื่อหนังสือนั้นเป็นตัวฝึกจินตนาการที่ดีกว่า คำถามคือแล้วเราได้อะไรจากตัวหนังสือ มากกว่าอ่านหนังสือกี่บรรทัดนะครับ เพียงแต่ว่าตรงนี้นั้นมันวัดยากกันซะหน่อยครับ
มันเหมือนกับว่า ถ้าเราอ่านแค่เจ็ดบรรทัด แต่เราสามารถเอาเจ็ดบรรทัดนี้ไปใช้ได้ มันก็น่าจะมีค่ามากกว่า อ่านร้อยบรรทัด แต่เอาไปใช้ได้แค่ สิบบรรทัดไม่ใช่หรือครับ
สวัสดีครับ คุณ kati เราเจอกันบ่อยมาก บนเส้นทางหนังสือ วรรณกรรม ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างให้ฟัง..
ในตอน ป.3 -หรือ ป.4 ไม่แน่ใจว่าชั้นไหน ผมไปนั่งเล่นห้องสมุดของโรงเรียน แล้วเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นวรรณกรรมแปลสำหรับเยาวชนเรื่องราว ก็เป็นเกี่ยวกับเด็กคนหนึ่ง เดินทางโดยรถไฟแล้วโดนขโมยเงินตอนเขาหลับ เด็กคนนั้นก็สืบ ติดตามเจ้าหัวขโมยนั้นจนเจอ และก็จับได้ .. จากวันนี้นจนถึงวันนี้ทำให้ผมรักที่จะอ่านหนังสือตลอดมา..
เด็กหรือเยาวชนของเราผมคิดว่า ต้องเจอหนังสือที่เขาชอบ หรือหนังสือที่เขาอ่านแล้วเขารู้สึกสนุก เหมือนกับที่เกิดกับผม
คิดว่าเด็กๆ คงยังหาไม่เจอ หรือคงมีมีอะไรไปปิดมันไว้
ปล.
ผมรู้จักคำว่า "ฉ้อราษฎร์ บังหลวง" เวลาเดียวกับที่ผมเจอหนังสือเล่มที่เล่าให้ฟังนีแหละ ...
สวัสดีอีกครั้งครับ
ผมเห็นด้วยกับคุณ Dream Farm and Sir. Paul McCartney นะครับ ที่ว่าการเริ่มต้นของการรักการอ่านหนังสือนั้น มาจากหนังสือแค่หนึ่งเล่มครับ ถ้าเราเจอหนังสือเล่มที่เราชอบ ผมเชื่อว่า เราจะกลายเป็นคนรักการอ่านขึ้นมาในทันที (ซึ่งเด็กไทยอาจจะเป็นคนรักการอ่านอยู่แล้วก็ได้ ก็อย่างน้อยก็อ่านการ์ตูนไงครับ :D)
ด้วยความเคารพครับ ผมคิดว่าจุดใหญ่ใจความของการอ่านหนังสือไม่ได้อยู่ที่ว่าอ่านกี่บรรทัด แต่ว่าอยู่ที่อ่านแล้วได้อะไรจากหนังสือ ซึ่งก็อย่างที่คุณกะทิได้กล่าวไว้แล้วว่า มันมีมุมมองหลายมุมครับ
แต่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะขอพูดต่อก็คือว่า การอ่านหนังสือนั้น จากความรู้สึกของผม มีอยู่สามลักษณะใหญ่ๆครับ
ถ้าเป็นอ่านแบบที่หนึ่ง หนังสือส่วนมากนั้นก็จะเป็นหนังสือแนว non-fiction ที่เน้นสาระมากกว่าความบันเทิง
ถ้าเป็นการอ่านแบบที่สอง ก็จะเป็นหนังสือแนวนวนิยายซะส่วนมาก
ส่วนแบบที่สาม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทไหนก็เป็นได้ทั้งนั้นครับ อันนี้นั้นขึ้นอยู่กับสมาธิ และความรู้พื้นฐานของคนที่อ่านหนังสือ ต่อหนังสือเรื่องที่อ่าน
ผมกล้ายอมรับตรงนี้เลยครับว่า ผมไม่มีความสามารถในการอ่านแบบที่สอง ผมเคยอ่าน Harry Potter นะครับ แต่ผมไม่สามารถที่จะคิดจินตนาการภาพ ถึงตัวละคร ความอลังการของปราสาท และอื่นๆอีกมากมาย (ดังนั้นผมเลยชอบอ่านหนังสือแนว non-fiction มากกว่า) เพราะฉะนั้น ผมเลยไม่ได้อ่านหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ แล้วจะสนุกขนาดวางไม่ลงซะขนาดนั้น (และทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมอ่านหนังสือแนวนี้แล้ว ผมจะตกเป็นอยู่การอ่านประเภทที่สาม คืออ่านไปเสียเวลาเปล่าๆ) แต่สำหรับคนที่จินตนาการกว้างไกลแล้วล่ะ เท่าที่ผมเห็นเขาอ่านหนังสือพวกนี้แบบวางไม่ลงครับ
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่สามารถติดอาวุธจินตนาการให้เด็กหรือเปล่า จึงทำให้เด็กนั้นไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือได้สนุกสนาน เร้าใจ และได้อารมณ์ไปกับตัวอักษรที่โลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษ และนั่นก็คือคำตอบว่าทำไมเด็กไทย หรือคนไทยอ่านหนังสือแค่ สิบสองบรรทัดต่อปี
แต่ผมอยากรู้ว่า ตัวเลขสิบสองบรรทัดต่อปีนี้มายังไงเหมือนกันนะครับ เพราะผมคิดว่าน่าจะเกิน เพราะอย่างน้อย เพื่อนผมที่เกลียดการเรียนเป็นชีวิตจิตใจ และรักฟุตบอลมากกว่าชีวิต ก็อ่านหนังสือพิมพ์สตาร์ ซ็อกเกอร์เป็นประจำ แล้วก็อ่านหมดทุกหน้าซะด้วยสิ
ผมคิดว่าการรักการอ่านนั้นมาควบคู่ไปกับความอยากรู้อยากเห็น และการรักการเขียนครับ ดังนั้นก็คงต้องย้อนกลับไปที่กระทรวงศึกษาและสื่อทั้งหลายว่า ทำอย่างไรให้เด็กนั้นอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ และเมื่ออ่านแล้ว สามารถนำไปคิดต่อ แตกแขนง ในสิ่งที่เป็นความรู้ต่อไปได้ หรือถ้าอ่านนวนิยาย ทำอย่างไรให้เด็กนั้นใช้จินตนาการให้เห็นภาพของนิยาย (แต่ก็เพราะว่าโทรทัศน์นี่แหละครับ ที่ทำให้เด็กนั้นอาจจะไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากอ่านหนังสือมากกว่า เพราะในเมื่อซักพักเขาก็ได้ดูหนังแล้ว อย่างน้องชายผม เขาไม่อยากอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ เพราะเขารู้ว่าเดี๋ยวยังไง ก็ได้ดูหนังแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจว่า หนังนั้นแค่สามชั่วโมง แต่การอ่านที่ใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมงนั้น มันให้รายละเอียดและอารมณ์ของเรื่องแตกต่างกัน รวมไปถึงการเปรียบเทียบจินตนาการที่เขามี กับของคนอื่นที่มี) รวมไปถึงความเข้าใจถึงความสวยงามทางภาษา
ขอนำข้อมูลมาอ้างอิงเพิ่มเติมจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ
สรุปผลการสำรวจ
การสำรวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ.2546
เนื้อหาสาระที่อ่าน และสถานที่อ่านหนังสือ
การส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านหนังสือ จากผลการสำรวจ สรุปได้ว่า การรณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านควรเริ่มแต่เยาว์วัย และต้องเริ่มต้นจากครอบครัวเป็นลำดับแรก โดยพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก เพื่อให้ลูกได้ซึมซับพฤติกรรมดังกล่าวตั้งแต่แรกเกิด นอกจากนี้สถานศึกษาก็มีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เด็กรักการอ่าน โดยควรจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กได้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้น และจากข้อคิดเห็นในการส่งเสริมให้เกิดการรักการอ่าน รัฐบาลควรมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาหนังสือให้ถูกลง และจัดให้มีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน เพิ่มขึ้น |
สวัสดีครับ คุณ kati
พอดีผมกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการอ่านหนังสือคุณคิดว่าถ้าทำดังต่อไปนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่ครับ
-ห้องสมุดที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยน หนังสือและความประทับใจ จากที่คนไทย(ชอบบ่นว่า)หนังสือแพง ถ้าเรามีสถานที่ที่ทำให้เกิดการแจก,แลกเปลี่ยนหนังสือเพื่อหมุนเวียนการอ่านเหมือนอย่างที่เวบไซต์bookcrossing.com bookmooch.comทำน่ะครับ
-มีนิทรรศการแนะนำหนังสือและนักเขียนดีๆที่ควรอ่าน
สวัสดีครับ คุณkati
ตอนนี้ผมสงสัยเกี่ยวกับเรื่องยุคสมัยของวรรณกรรมมากเลยครับ ช่วยอธิบายแต่ละสมัยmodren
post-modren contemporary ของวรรณกรรมได้ไหมครับ
แล้วถ้าเรามีความเข้าใจในแต่ละยุคสมัยของวรรณกรรมจะสามารถทำให้เราสืบต่อความคิดไปจนถึงพัฒนาวัฒนธรรมการอ่านของบ้านเราได้หรือไม่ครับ
ขอบคุณมากครับ