เทคนิคการปรับปรุงคุณภาพปลาสวยงาม
|
กาญจนา
จิรพันธ์พิพัฒน์ สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ
|
การประกอบธุรกิจการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามนั้นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อธุรกิจได้แก่
คุณภาพของปลา ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
อัตราการรอดของปลา และความสามารถในการปรับเปลี่ยนชนิดของผลผลิต ฯลฯ
และจากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว
คุณภาพของปลานับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเนื่องจากปลาสวยงามเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้ดูเล่น
ปลาที่นิยมเลี้ยงต้องเป็นปลาที่มีลักษณะเด่น
สีสันสวยงามสะดุดตาและถ้าเป็นปลาชนิดที่แปลกใหม่
มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นทวีคูณ
ดังนั้นในการประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม
ผู้เพาะเลี้ยงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติที่ดีของปลาแต่ละชนิดให้ถ่องแท้
และจะต้องมีเทคนิคในการปรับปรุงพันธุ์ปลาที่เลี้ยงให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดอยู่เสมอ
เทคนิคในการปรับปรุงพันธุ์ปลามีมากมายหลายวิธีและหลายขั้นตอน
การปรับปรุงคุณภาพปลา
จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยจะทำให้ปลามีคุณภาพ
ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันผู้เพาะเลี้ยงได้มีการทดลองนำวิธีการต่าง ๆ
มาใช้หลายวิธีและทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าการขายสินค้าประเภทนี้ได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ
การปรับปรุงพันธุ์ปลาโดยการคัดพันธุ์
การจัดการกับชุดโครโมโซมการแปลงเพศปลาและการปรับปรุงทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยการเลือกใช้อาหารที่มีผลต่อสีปลา
และคุณสมบัติของน้ำ เป็นต้น ซึ่งวิธีการต่าง ๆ
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
|
การปรับปรุงพันธุ์
|
การคัดเลือกพันธุ์
ลักษณะกรรมพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตควบคุมโดยหน่วยพันธุกรรมที่เรียกว่า
ยีน (gene) สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ อย่างไรก็ตาม
ลักษณะกรรมพันธุ์ที่แสดงออกในรุ่นลูกนั้นเป็นการรวมตัวของยีน
ซึ่งได้รับมาจากพ่อและแม่คนละครึ่งไม่ใช่ทั้งหมด
สังเกตได้จากลูกจะมีส่วนละม้ายคล้ายกับพ่อและแม่เท่านั้นไม่ได้เหมือนกันแบบคู่ฝาแฝด
ยีนเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ลักษณะกรรมพันธุ์ที่เราเห็นจากภายนอกเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างยีนด้วยกันเองและระหว่างยีนกับสิ่งแวดล้อมภายนอก
ในปลาสวยงามลักษณะกรรมพันธุ์ที่เราสนใจส่วนใหญ่เป็นลักษณะเชิงคุณภาพ
เช่น สีสัน รูปร่างและลักษณะของครีบ เป็นต้น
ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะถูกควบคุมด้วยยีน
โดยปกติลักษณะทั่วไปของสัตว์น้ำจะถูกควบคุมโดยยีน 1
คู่ปลาบางชนิดอาจถูกควบคุมโดยยีนหลายคู่
เมื่อเราผสมพันธุ์ปลาแล้วอาจจะไม่ได้ปลาตรงตามลักษณะที่คาดไว้ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาการข่มของยีนปฏิกิริยามีกลไกค่อนข้างสลับซับซ้อนและเกิดขึ้นภายในตัวปลาผลสุดท้ายจึงแสดงออกมาในลักษณะกรรมพันธุ์ให้เราเห็นภายนอก
ซึ่งมีหลายรูปแบบแต่จะขอกล่าวแค่ 2 แบบคือ
การข่มสมบูรณ์และการข่มไม่สมบูรณ์
การข่มสมบูรณ์ คือปฏิกริยาของยีน 1 คู่
โดยยีนตัวหนึ่งจะแสดงลักษณะออกมาอย่างเด่นชัด เรียกว่า ยีนเด่น
และยีนอีกตัวหนึ่งจะไม่แสดงลักษณะออกมาเรียกว่ายีนด้อย
ซึ่งลักษณะสีผิวของคนปกติจะถูกควบคุมโดยยีนเด่น
บางครั้งจะเห็นคนที่มีลักษณะผิวเผือกซึ่งถูกควบคุมโดยยีนด้อย
ตัวอย่างของปลาสวยงามที่เกิดจากปฏิกริยาการข่มสมบูรณ์ เช่น ปลาแพลทตี้
เมื่อนำปลาแพลทตี้เพศผู้สีเทาซึ่งถูกควบคุมโดยยีนเด่นผสมกับเพศเมียสีทองซึ่งถูกควบคุมโดยยีนด้อยลูกรุ่นที่
1 หรือ F1
ออกมาจะเป็นสีเทาทั้งหมดเรียกว่าพันธุ์ทางคือมียีนที่ได้จากพ่อสีเทาและจากยีนแม่คือสีทองแต่ยีนของพ่อเป็นยีนเด่นข่มยีนของแม่สีทองซึ่งเป็นยีนด้อยดังนั้นในลูกรุ่นที่
1 จะไม่พบปลาสีทองเลย
ในการผสมให้ได้ลูกสีทองจะต้องทำการผสมรุ่นถัดไปคือรุ่นที่ 2
ไดอะแกรมแสดงการผสมพันธุ์ปลาแพลทตี้ (platy) Xiphophorus
maculatus สีเทาและสีทอง
เมื่อนำมาผสมพันธุ์กันจะได้ลูกปลาดังนี้
ลูกรุ่นที่ 1 จะเป็นสีเทาทุกตัวและเมื่อนำลูกรุ่นที่ 1
ผสมพันธุ์กันเองจะได้ ลูกรุ่นที่ 2 เป็นปลาสีเทา 75% และปลาสีทอง
25%
หรือในอัตราส่วน
3:1จากไดอะแกรมอธิบายได้ว่าลักษณะสีของปลาแพลทตี้ควบคุมโดยยีน 1 คู่
โดยมีสีเทาเป็นลักษณะเด่นเพราะปรากฏใน
รุ่นที่ 1 100% ส่วนสีทองเป็นลักษณะด้อย เพราะไม่ปรากฏในรุ่นที่ 1
ซึ่งถ้าใช้สัญลักษณ์สีเทาแทนด้วยยีน S และสีทองแทนด้วยยีน s
จะอธิบายได้ดังนี้
|
กำหนดสัญลักษณ์แทนยีน
|
ลักษณะที่มองเห็น
|
SS
Ss
ss
|
สีเทา สีเทา
สีเทา
|
เมื่อนำปลามาผสมพันธุ์กันจะเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้
|
|
|
|
เมื่อนำลูกรุ่นที่
1 ผสมพันธุ์กันเอง
ลูกปลารุ่นที่ 2 (F2)
ที่มีสัญลักษณ์ของยีน SS
จะมีสีเทา จัดเป็นพันธุ์แท้ยีนเด่น
ลูกปลารุ่นที่ 2 (F2)
ที่มีสัญลักษณ์ของยีน Ss
จะมีสีเทา จัดเป็นพันธุ์ทาง
ลูกปลารุ่นที่ 2 (F2)
ที่มีสัญลักษณ์ของยีน ss
จะมีสีทอง จัดเป็นพันธุ์แท้ยีนด้อย
|
ในการวางแผนการผลิตเพื่อให้ได้ปลาพันธุ์แท้สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
ถ้าต้องการสีทองพันธุ์แท้สามารถคัดเลือกปลาสีทองจากลูกรุ่นที่ 2 (F2)
ที่มีสีทองมาผสมกันก็จะได้ปลาสีทองทั้งหมด (100%)
หรือถ้าสามารถหาปลาสีทองจากแหล่งอื่นผสมพันธุ์กันได้ก็จะเป็นการดีเพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด
ในทำนองเดียวกันถ้าต้องการปลาสีเทาพันธุ์แท้ก็สามารถคัดเลือกปลาสีเทามาผสมพันธุ์กันแต่ในการผสมพันธุ์กันรุ่นแรก
ๆ อาจจะมีปลาสีทองปนมาบ้าง
เนื่องจากลูกรุ่นที่ 2 (F2) อาจจะมียีนเป็น SS หรือ Ss ก็ได้
ซึ่งวิธีที่เคยเช็กย้อนกลับไปว่าพ่อแม่ปลาสีเทาใช้ในการผสมพันธุ์นั้นเป็นพันธุ์แท้
(SS) หรือพันธุ์ทาง (Ss)
สามารถทำได้โดยการนำไปผสมกับปลาสีทองพันธุ์แท้ (ss) ถ้าได้ปลาสีเทา
50% และปลาสีทอง 50%
แสดงว่าพ่อแม่ปลาสีเทาเป็นพันธุ์แท้เช่นเดียวกับการผสมปลาเผือก
ดังแสดงตามไดอะแกรมต่อไป
|
|
ลักษณะปลาเผือก
เกิดจากปฏิกริยาการข่มของยีนแบบสมบูรณ์เหมือนกันแต่ในการผสมพันธุ์ปลาเผือกจะมีปัญหา
คือเมื่อผสมพันธุ์ได้ลูกประมาณ 2-3 รุ่น
ลูกที่ออกมาจะพิการหรือเป็นหมัน
ดังนั้นจึงมีวิธีการรักษาพ่อแม่พันธุ์ปลาเผือกให้ได้ลูกออกมาสมบูรณ์
โดยการปรับปรุงพันธุ์ปลาเผือก
ขั้นตอนแรกคือการนำปลาหางนกยูงเผือกซึ่งถูกควบคุมโดยยีนด้อยกำหนดสัญลักษณ์
เป็น aa ผสมกับปลาหางนกยูงพันธุ์แท้สีเทาเพศผู้ กำหนดสัญลักษณ์เป็น GG
จะได้ลูกรุ่นที่ 1 เป็นพันธุ์ทางทั้งหมดสัญลักษณ์คือ Ga
ซึ่งลูกในรุ่นที่ 1 นี้จะไม่ได้ปลาเผือก แต่ถ้าเรานำเอาลูกรุ่นที่ 1
พันธุ์ทางเพศผู้ไปผสมกับพันธุ์เผือกเพศเมียยีนด้อยลูกในรุ่นที่ 2
จะได้ปลาหางนกยูงพันธุ์เผือกประมาณ 50% และพันธุ์ทาง 50%
หรือในอัตราส่วน 1:1 ลูกปลาพันธุ์เผือกในรุ่นที่ 2
นี้เราสามารถเก็บไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
วิธีนี้เป็นการรักษาพันธุ์ปลาหางนกยูงเผือกไว้ได้และยังสามารถนำพันธุ์เผือกที่ได้จากลูกในรุ่นที่
2 ผสมกันได้อีก 2-3 รุ่น แล้วก็กลับมาผสมแบบวงจรเดิมนี้อีก
ซึ่งวิธีการนี้จะได้ปลาพันธุ์เผือกที่มีคุณภาพป้องกันการพิการหรือการเป็นหมัน
|
|
2. การข่มแบบไม่สมบูรณ์
คือการที่ยีนที่คุมลักษณะเด่นไม่สามารถแสดงลักษณะเด่นออกมาได้เพียงพอจนกระทั่งเห็นเป็น
2 ลักษณะต่างกันเหมือนกับการข่มสมบูรณ์แต่จะทำให้เกิด 3
ลักษณะที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างของการข่มไม่สมบูรณ์ก็คือลักษณะสีของปลากัด เช่น
เมื่อผสมปลากัดสีน้ำเงินพันธุ์ทาง (Vv)
เพศผู้กับปลากัดสีน้ำเงินพันธุ์ทาง (Vv) เพศเมียลูกรุ่นที่ 1
ที่ออกมาจะมี 3 ลักษณะคือ สีน้ำเงินตะกั่ว สีน้ำเงิน สีเขียว ในอัตรา
1:2:1 ดังแสดงในไดอะแกรมข้างล่างนี้
|
|
กำหนดให้ลักษณะที่แทนยีน
|
ลักษณะสีที่มองเห็น
|
VV
Vv
vv
|
สีน้ำเงินตะกั่ว สีน้ำเงิน
สีเขียว
|
แต่ในการผสมพันธุ์ปลาจะมีปัญหาการผสมเลือดชิด
คือการผสมพันธุ์ปลาที่เป็นเครือญาติกัน เช่น พ่อผสมกับลูก
ลูกผสมกับแม่ หรือหลานผสมกับพ่อ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีคือได้สายพันธุ์แท้เพราะไม่ได้ผสมกับตัวอื่น แต่ข้อเสียคือ
ปลาจะไม่ค่อยสมบูรณ์อัตรารอดลดลงและความต้านทานโรคต่ำ
การเจริญเติบโตช้า คือก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ขึ้นกับการนำไปใช้ประโยชน์
สำหรับมือใหม่มีวิธีการป้องกันการผสมเลือดชิด
ประการแรกต้องใช้พ่อแม่จำนวนมาก (ให้มาก ๆ เลย) แล้วก็แยกผสมเป็นคู่ ๆ
และเลี้ยงลูกจากพ่อแม่พันธุ์ต่างคู่แยกกัน
เพราะว่าถ้าเลี้ยงรวมกันจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามาจากพ่อแม่คู่ไหน
ประการที่ 2
หลีกเลี่ยงผสมปลาต่างรุ่นเพราะถ้าผสมปลาเพศเมียอายุมากกับปลาเพศผู้อายุน้อยอาจจะพบว่าปลาเพศผู้เป็นลูกของปลาเพศเมียหรือหลานก็ได้
ควรหลีกเลี่ยงการผสมปลาต่างรุ่น
การที่นักเพาะเลี้ยงสามารถผลิตปลาสายพันธุ์ใหม่
ได้ก็โดยอาศัยหลักพันธุกรรมดังกล่าว
ซึ่งนอกจากการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้สีสันที่แปลกใหม่แล้วยังสามารถใช้กับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้ลวดลาย
รูปร่างลำตัว รูปทรงของหาง ฯลฯ ได้อีกด้วย
โดยมีหลักการเช่นเดียวกันแต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคุณสมบัติที่เราต้องการให้ปรากฏในรุ่นลูกคืออะไร
และจะตรงตามความต้องการของตลาดหรือไม่
|
1.2
การปรับปรุงพันธุ์โดยการจัดการชุดโครโมโซม
(Gene Manipulation)
1.2.1 ไจโนเจนีซีส (Gynogenesis)
เป็นเทคนิคการผสมลูกปลาแบบที่ตัวอ่อนเจริญเป็นตัวจากไข่ที่ผสมกับสเปิร์มที่ถูกกระตุ้นโดยผ่านรังสีอัลตราไวโอเลต
หรือรังสีแกมมาจะทำให้โครโมโซมถูกทำลายไป
ซึ่งเมื่อผสมกับไข่ก็จะกระตุ้นให้ไข่แบ่งตัวได้
โดยได้โครโมโซมจากแม่เท่านั้นซึ่งมี 1 ชุด (haploid)
แต่ไข่จะพัฒนาช่วงหนึ่งแล้วจะตาย ฉะนั้นจะต้องให้ไข่มีโครโมโซม 2 ชุด
ตามปกติการช็อคตายด้วยความดันหรืออุณหภูมิในระยะก่อนปลาจะแบ่งเซลล์ครั้งแรก
(first mitotic division of embryo) หรือระยะไมโอซิส (second meiotic
of egg) ก็ได้การกระตุ้นก่อนไข่ปลาจะแบ่งเซลล์ครั้งแรก
ทำให้โครโมโซมถูกกระตุ้นเป็น 2 ชุดและมีลักษณะเหมือนกัน (homozygous)
การทำไจโนเจเนซิส
จะทำให้ลูกปลาที่ได้รับเป็นเพศเมียเพราะได้รับโครโมโซมจากแม่เท่านั้น
การเหนี่ยวนำไจโนเจนิซิสให้ได้ปลาที่มีโครโมโซม 2 ชุด มีวิธีสำคัญอยู่
2 ขั้นตอน คือ
การทำลายสารพันธุกรรมของเชื้อตัวผู้และการเหนี่ยวนำให้ไซโกตที่ได้มีโครโมโซม
2 ชุดนั้น
1.2.2 แอนโดรเจนีซิส
(Androgenesis)
เป็นกระบวนการที่เชื้อตัวผู้เจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่เกิดการปฏิสนธิกับไข่
กระบวนการนี้ สามารถเหนี่ยวนำได้
โดยการผสมไข่ที่ถูกทำลายโครโมโซมแล้วกับน้ำเชื้อปกติโดยถ้าไม่ผ่านการช็อคลูกที่ได้จะมีโครโมโซมเพียงชุดเดียว
ถ้าผ่านการช็อคลูกที่ได้จะมีโครโมโซม 2 ชุด
แอนโดรเจนเนซิสสามารถเหนี่ยวนำได้
โดยใช้หลักการเดียวกับการเหนี่ยวนำไจโนเจเนซิสเพียงแต่ทำลายโครโมโซมของไข่แทนการฉายรังสีน้ำเชื้อ
การทำลายโครโมโซมของไข่ทำได้ค่อนข้างยากกว่าเชื้อตัวผู้
เนื่องจากไข่มีขนาดใหญ่และมีโยคส์การใช้รังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูงจะให้ผลดีกว่า
เช่น รังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์
การเหนี่ยวน้ำแอนโดรเจเนซีส
มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อต้องการผลิตสัตว์น้ำสายพันธุ์แท้
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการอนนุรักษ์เชื้อพันธุกรรม
โดยในปัจจุบันนี้สามารถเก็บรักษาน้ำ 1 เชื้อปลาหลายชนิดได้
โดยการแช่แข็ง แต่ไม่สามารถเก็บรักษาไข่ได้ ดังนั้น
หากสามารถเหนี่ยวนำให้น้ำเชื้อปลาที่เก็บไว้เจริญเป็นคัพพะได้
โดยอาจใช้ไข่ปลาชนิดอื่น ๆ
เป็นตัวกระตุ้นจะทำให้สามารถอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำหายากไว้ได้
1.2.3 อินดิวซ์โพลีพลอยด์ (Induced
polyploidy) เป็นกระบวนการเพิ่มชุดของจำนวนโครโมโซม
โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามจำนวนชุด เช่น ทริพลอยด์ (3n) เตตราพลอยด์
(4n) โดยการช็อคไข่ที่ผสมกับเชื้อตัวผู้แล้วด้วย
(1) ความดันน้ำระดับสูง (hydrostatic pressure shock)
(2) ช็อคด้วยอุณหภูมิ โดยช็อคด้วยความร้อน (heat shock)
หรือช็อคด้วยความเย็น (cold shock)
โดยทั่ว ๆ ไป
การช็อคด้วยความร้อนจะได้ผลดีในปลาเมืองหนาวส่วนการช็อคด้วยความเย็นได้ผลดีกับปลาเมืองร้อน
(3) ช็อคโดยใช้สารเคมี
มีสารเคมีและก๊าซหลายชนิดที่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการเพิ่มชุดของโครโมโซม
เช่น โคลซิซิน ไซโตคาลาซินบี และไนตรัสออกไซค์
ซึ่งการทำให้เป็นทริพลอยด์จะทำให้ปลาเป็นหมัน
โดยปลาเหล่านี้ไม่สามารถเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
แต่จะทำให้ปลาโตเร็วกว่าปลาที่มีโครโมโซม 2 ชุด
และประโยชน์อีกอย่างก็คือปลาที่เป็นทริพลอยด์ถ้าถูกปล่อยไปในแหล่งน้ำธรรมชาติก็จะไม่สามารถผสมพันธ์กับปลาธรรมชาติซึ่งเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนทางพันธุกรรมเพราะปลาทริพลอยด์เป็นหมัน
ปลาทริพลอยด์เพศผู้เป็นที่ต้องการในปลาบางชนิด เช่น
ปลากัดเพศผู้มีสีสันสวยงามกว่าเพศเมียแต่มีนิสัยก้าวร้าว
จะกัดกันเองอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเลี้ยงรวมกันได้
หลักการของการเหนี่ยวนำอาศัยการเปลี่ยนเพศปลาที่เป็นเพศผู้โดยพันธุกรรมให้เป็นปลาเพศเมียโดยการให้ฮอร์โมนเพศเมีย
จากนั้นก็นำปลาเหล่านั้นมาผสมกับปลาเพศผู้ปกติเพื่อศึกษาอัตราส่วนเพศของรุ่นลูก
ปลาเพศเมียตัวใดให้ลูกเพศผู้ต่อเพศเมียใกล้เคียงสัดส่วน 1:2 หรือ 1:3
แสดงว่าปลาตัวนั้นเป็นปลาที่มีพันธุกรรมเป็นเพศผู้ (xy)
จากนั้นนำไข่จากปลาเพศเมียที่มีพันธุกรรมเพศผู้ (xy)
มาผสมกับลาเพศผู้ปกติ
แล้วนำไปผ่านการช็อคจะได้ปลาทริพลอยด์ที่มียีโนทพ์เป็น xxy หรือ xyy
ซึ่งเป็นเพศผู้ล้วน Kavumpurath และ Pandian (1992)
รายงานว่าได้ทำการเปลี่ยนเพศปลากัดให้เป็นเพศเมียโดยผสมโอร์โมนเบตา-เอสตราไดออล
ในอัตรา 125 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
ให้กินตั้งแต่ปลาเริ่มกินอาหารไปเรื่อย ๆ จนครบ 40 วัน
จากนั้นทำการเหนี่ยวนำทริพลอยด์ ตามวิธีการข้างต้น
โดยการช็อคด้วยความดัน 7000 psi เริ่มช็อค 2.5 นาทีหลังผสมช็อคนาน 6
นาทีได้ปลาทริพลอยด์เพศผู้ล้วนมีอัตรารอด 40-52%
ปลาเหล่านี้มีลักษณะภายนอกเหมือนปลากัดเพศผู้ปกติสร้างเชื้อตัวผู้เล็กน้อย
นอกจากนั้นยังไม่ก้าวร้าวสามารถเลี้ยงรวมกันได้อย่างดี
1.2.4 การเปลี่ยนเพศปลา (Sex reversal)
ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาสวยงาม
การเปลี่ยนแปลงเพศของปลาบางชนิดจะช่วยให้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น
เช่น ปลากัด ปลาหมอสี ปลาปอมปาดัวร์และปลาหางนกยูง เป็นต้น
โดยได้มีการใช้ฮอร์โมนเพศเปลี่ยนเพศปลาเป็นเพศตรงข้ามแล้วนำกลับมาผสมกับปลาปกติที่มีพันธุกรรมเพศเดียวกันได้อีกด้วย
ซึ่งวิธีนี้หากสามารถทดลองหาชนิดและปริมาณที่เหมาะสมเปลี่ยนเพศปลาจนถึงขั้นสามารถสืบพันธุ์ได้ก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเพาะเลี้ยง
เช่น ปลากัด
ฮอร์โมนเพศที่นิยมใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพปลามีฮอร์โมนเพศผู้
(androgen) และฮอร์โมนเพศเมีย (estrogen)
การเลือกใช้ประเภทของฮอร์โมนขึ้นกับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น
ถ้าต้องการให้มีสีสันสดใสและลวดลายสวยงามต้องใช้ฮอร์โมนเพศผู้
เพราะธรรมชาติของปลาทุกชนิดเพศผู้จะมีสีสดสวยกว่าเพศเมีย
แต่ถ้าต้องการจะให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว
ให้ผลผลิตสูงสามารถใช้ได้ทั้งฮอร์โมนเพศเมียซึ่งขึ้นอยู่กับปลาแต่ละชนิดว่าเพศไหนเจริญเร็วกว่ากัน
ส่วนใหญ่การใช้ฮอร์โมนเพศเพื่อการเจริญเติบโตนี้มักจะนิยมใช้กับปลาที่ใช้บริโภค
เช่น ปลานิลเพศผู้เจริญดีกว่าเพศเมียก็จะแปลงเพศให้เป็นเพศผู้
แต่ปลาตะเพียนเพศเมียเจริญเร็วกว่าเพศผู้จะเปลี่ยนเพศผู้ให้เป็นเพศเมียเป็นต้น
ส่วนการใช้ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตของปลาสวยงามนั้นอาจใช้ได้กับปลาบางชนิดที่ปลาเพศผู้เจริญเร็วกว่าปลาเพศเมียโดยใช้ฮอร์โมนเพศผู้ถ้าจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเพศเมียควรใช้ในเวลาอันสั้น
เพราะจะมีผลต่อสีปลาทำให้ปลามีคุณภาพด้านสีด้อยลง
ในการใช้ฮอร์โมนเพศเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ มีปัจจัยต่าง ๆ
ที่ควรคำนึงถึงดังต่อไปนี้
ชนิดของฮอร์โมน
ฮอร์โมนเพศที่สามารถใช้กับปลาและมีคุณภาพดีมีมากมายหลายชนิด
แต่ที่นิยมใช้และหาซื้อได้ง่ายในประเทศไทย ฮอร์โมนเพศผู้ ได้แก่
เมทธิลเทสโทสเตอโรน (methyltestosterrone) นอร์-เอทธิลเทสโทสเตอโรน
(19 nor-ethyltestosterone) เอทธินิลโทสเตอโรน (ethynyltestosterone)
เมธิลแอนโดรสตินิไดออล (methylandrostenediol) และ ฟลูออกซีเมสเตอโรน
(fluoxymesterone) ส่วนฮอร์โมนเพศเมียที่นิยมใช้ได้แก่ เอสตราไดออล
(estradiol) เอทธิลเอสตราไดออล (ethylestradiol) เฮเซสเตอรอล
(hexesterol) ยูวาสติน (euvatin) เป็นต้น
วิธีการให้ฮอร์โมน อาจใช้แช่อาหาร
แช่ตัวปลาหรือผสมอาหารทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของปลาและชนิดของอาหารที่ใช้เลี้ยงปลา
โดยคำนึงถึงผลที่จะได้รับ ความสะดวกและความประหยัด เช่น
ถ้าเป็นอาหารที่มีชีวิต (ไรแดง ลูกน้ำ หนอนแดง ฯลฯ)
มักใช้วิธีแช่อาหารในสารละลายฮอร์โมน
แต่ถ้าเป็นอาหารแห้งสามารถผสมอาหารได้เลย
แต่ต้องผสมในรูปของอาหารผงและฉีดพ่นสารละลายฮอร์โมนเพื่อให้ฮอร์โมนซึมลงไปในอาหารได้ทั่วถึงมากที่สุดจึงจะได้ผลดี
นอกจากนั้นอาจจะใช้วธีการฉีดซึ่งนิยมฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อด้านหลังหรือฉีดเข้าช่องท้อง
ปริมาณและระยะเวลาในการให้ฮอร์โมน
ปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ฮอร์โมนจะแตกต่างกันตามชนิดของฮอร์โมน
ชนิดของปลาและวัตถุประสงค์ของการใช้ฮอร์โมน เช่น
จากการทดลองพบว่าการใช้ฟลูออกซีเมสเตอโรนเข้มข้น 200 มก./ลิตร
แช่ไรแดงประมาณ 20 นาทีก่อนใช้เลี้ยงปลากัดและเลี้ยงปลากัดเป็นเวลา 14
วันโดยเริ่มให้ไรแดงแช่ฮอร์โมนเมื่อลูกปลามีอายุ 3
วันจะสามารถเปลี่ยนปลากัดเพศเมียให้มีสีเข้มขึ้นและครีบหางยาวขึ้นคล้ายปลาเพศผู้ได้
และจากการใช้ 17 แอลฟาเมทธิลเทสโทสเตอโรน (17 a methyltestosterone)
ผสมอาหารในอัตราฮอร์โมน 500 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักปลา 1
กรัมใช้เลี้ยงปลาสอด (Xiphophorus helleri) เป็นเวลา 10
วันสามารถเปลี่ยนปลาสอดเพศเมียให้เป็นเพศผู้ได้นอกจากนั้นยังพบว่าการใช้เมทธิลเทสโทสเตอโรนผสมอาหารในอัตรา
40 มก./อาหาร 1 กก. และฟลูออกซีเมสเตอโรน 5 มก./อาหาร 1 กก.
เลี้ยงปลานิลเป็นเวลา 30 - 40 วัน
จะสามารถแปลงเพศปลานิลเพศเมียให้เป็นเพศผู้ได้เป็นต้น
อายุปลาที่เริ่มให้ฮอร์โมน
การให้ฮอร์โมนจะได้ผลดีที่สุดเมื่อเริ่มให้ก่อนที่อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของปลาจะพัฒนาแยกเป็น
2 เพศ
ในการทดลองส่วนใหญ่พบว่าการให้ฮอร์โมนเพศตั้งแต่ปลาเริ่มกินอาหารได้เองหรือตั้งแต่ไข่แดง
(yolk) ยุบหมด (อายุ 3-4)
จะทำให้ผลของการใช้ฮอร์โมนเพศมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ในการใช้ฮอร์โมนเพื่อปรับปรุงคุณภาพปลาจะต้องคำนึงถึงสุขภาพของปลาหลังการให้ฮอร์โมนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้วย
หลักการทั่วไปมักจะเลือกใช้ฮอร์โมนที่มีประสิทธิภาพ
ราคาถูกและในทางปฏิบัติจะต้องใช้ฮอร์โมนที่เข้มข้นสูงหรือให้เป็นระยะเวลานานเกินความจำเป็น
นอกจากจะต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแล้วยังอาจจะทำให้กระทบกระเทือนต่อสุขภาพปลาได้
ปลาที่ได้รับฮอร์โมนในปริมาณมากและระยะนานเกินไปจะอ่อนแอและความต้านทานโรคจะลดลง
นอกจากวิธีดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ปัจจุบันได้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยทำให้การปรับปรุงพันธุ์ปลามีประสิทธิภาพมากขึ้น
เรียกว่า พันธุวิศวกรรม ซึ่งเป็นเทคนิคด้านการเปลี่ยนถ่ายยีน
1.2.5 การปรับปรุงพันธุ์ปลาโดยวิธี พันธุวิศวกรรม (Fish Genetic
improvement by means of genetic engineering)
พันธุ์วิศวกรรมคือกระบวนการตัดต่อยีนจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันตามความเหมาะสมแล้วใส่กลับเข้าไปในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งทั้งนี้เพื่อให้สิ่งมีชีวิตนั้น
ๆ แสดงลักษณะปรากฏที่ต้องการ
ในการปรับปรุงพันธุ์ปลาได้มีการใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรมกันมาก
ในปลาสวยงามก็ได้มีการนำเทคนิคนี้ใช้กันมากขึ้น
2.
การปรับปรุงทางด้านสิ่งแวดล้อม 2.1
การใช้อาหารปรับปรุงคุณภาพ
อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามนับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มความเข้มข้นของสีปลาเนื่องจากอาหารบางชนิด
เช่น สาหร่ายและพืชบางชนิด สัตว์น้ำ ประเภทกุ้ง ปู และเศษเหลือใช้
ยีสต์ (yeast) บักเตรี (bacteria) เป็นต้น จะมีรงควัตถุที่ให้สีแดง
ส้ม และเหลือง เรียกว่า คโรทินอยด์ (carotenoid)
ซึ่งเมื่อปลากินเข้าไปจะสะสมรงควัตถุดังกล่าวไว้ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ได้ เช่นที่ผิวหนัง ผนังช่องท้อง ไข่และรังไข่เป็นต้น
แต่ส่วนใหญ่จะปรากฏให้เห็นชัดเจนที่ผิวหนัง
(ปลาไม่สามารถสร้างรงควัตถุดังกล่าวได้เอง
รงควัตถุที่ปรากฏในตัวปลาได้จากการกินเข้าไป)
จากสาเหตุดังกล่าวจึงได้มีนักเพาะเลี้ยงปลาได้ทำการทดลอง
และมีการนำอาหารธรรมชาติชนิดต่าง ๆ
ดังกล่าวมาผสมกับอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดง
สีส้ม หรือสีเหลืองในตัวปลา เช่น ใช้สาหร่ายสไปรูลิน่า (Spirulina
sp.)
ผสมกับอาหารเลี้ยงปลาคาร์พจะสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสีแดงและสีส้มได้
และจากการใช้เศษเหลือจากกุ้ง (หัวและเปลือก) ผสมอาหารเลี้ยงปลาแซลมอน
(salmon) จะสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสีส้มในเนื้อปลาเซลมอล
ได้เป็นต้น
นอกจากนั้นในปัจจุบันได้มีผู้ผลิตรงควัตถุสังเคราะห์ แอสตาแซนทิน
(astaxanthin) และ แคนตาแซนทิน (canthaxanthin)
ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Carophyll red หรือ Roxanthin (canthxnthin)
และ Carophyll pink (astaxanthin)
ซึ่งที่นิยมนำมาเลี้ยงผสมอาหารปลาสวยงามเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดงสีส้มและสีเหลือง
2.2 การจัดการบ่อเลี้ยง
โดยปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำ เช่น อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจน
ความเป็นกรดด่าง ความกระด้าง และความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา
ตลอดจนความหนาแน่นของปลา
|
เอกสารอ้างอิง วันเพ็ญ
มีนกาญจน์.2542.
เทคนิคการปรับปรุงคุณภาพปลาสวยงาม
(เอกสารประกอบคำบรรยาย). อุทัยรัตน์
ณ นคร.2538.
พันธุศาสตร์สัตว์น้ำ. ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
คณะประมงมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์.
231 หน้า.
Maclean, N. and D. Penman 1990. Tha application of gene
manipulation to aquaculture.
Aquaculture, 85: 1 - 20.
Yoon, S.J.,E.M. Hallerman, M.L. Gross, Z., Schneider, J.F.Faras,
A.J. Hackett, P.B. Kapuscinski,
A.R. and Guise, K.S. 1990 Transfer of the gene for neomycin
resistance into goldfish,
Carassius auratus. Aquaculture
ริมบ่อ
|