Blinded by science โง่งม เพราะ วิทยาศาสตร์


  Blinded  by science  โง่งม เพราะ วิทยาศาสตร์

               วิทยาศาสตร์แบบที่เจอๆกันตอนนี้   เป็นกระบวนทัศน์เก่า   เป็นแบบยุคอุตสาหกรรม  เป็นอะไร ที่ไม่นิ่ง  มีการเปลี่ยนแปลงได้  มีเรื่องมาหักล้างกันได้เสมอ   ดังนั้น  คนที่เชื่อวิทยาศาสตร์แบบปิดหู ปิดตา และปิดใจ   ก็โง่ได้ง่ายๆ

                เช่น เราเชื่อว่า แสงเป็นเส้นตรง   แต่  ผมขอถามว่า  เราเคยศึกษา เมื่อแสงเดินทาง เกิน ๔๕๐ ล้านปีแสงหรือยัง    คือ มันอาจจะเป็นเส้นตรง ถ้าวิ่งสั้นๆ    จริงๆแล้วแสงอาจจะวิ่งโค้งๆก็ได้     

นี่เป็นแค่ ปุจฉา  คือ คำถามกระตุ้นต่อมคิด  ไม่ใช่ ปุจฉา แบบถามๆๆๆ  เพื่อจะดูดคำตอบ เพื่อประหยัดเวลาค้นคว้า  เพื่อจะลอกเอาความรู้มือสองออกมา  ตามสันดานนักเสพข้อมูลนะครับ

                มักจะมีเรื่อง คาดไม่ถึง  ในวงการวิทยาศาสตร์เสมอๆ    แต่ คนเรามัก จะเอาที่เราเชื่อ เรารู้  ที่โดนปนเปื้อน  เอาข้อมูลมือสอง มือสาม  ที่เพี้ยนไปก็มี   คาดไม่ถึง  บอกไม่ครบ ฯลฯ  มาวิเคราะห์เอง  เออเอง  เสมอๆ

                ในวงจรโนนากะนั้น      พวกเราหลายคนยัง ขาด การแยกแยะ กุศล อกุศล  และ มักไม่  คุยกันดีๆ   มักไม่สืบค้น   ไม่มีข้อสมมติฐานของตนเอง  มักเชื่อฝรั่ง เชื่อคนที่ตนชื่นชอบ   โดยไม่คิดจะทดลอง  กลัวบ้าง  ขี้เกียจบ้าง   เป็นต้น   

                เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สมัยนี้ ยังเป็นแค่ ไม้ท่อนสั้นๆ   ที่พยายามวัดความลึกของทะล   ดังนั้น  อย่าได้ ปลงใจเชื่อสะเต็มร้อยนะครับ  

                ในยุคอุตสาหกรรม  เราให้ วิทยาศาสตร์เป็นพระเอก   แต่ ในยุคโบราณ   นักปรัชญา  นักการศาสนา  เป็นพระเอก    ในบางยุค นักรบ นักปกครอง เป็นพระเอก     ดังนั้น  คนในยุคนี้  ก็เลยโดนปนเปื้อนว่า  วิทยาศาสตร์เป็นสุดยอด   ดีที่สุด

                ในยุคอุตสาหกรรม  ที่ ผลงาน ต้องเป็น  รูปธรรม  เช่น เป็นสิ่งประดิษฐ์  สิ่งของ  สินค้า  ทฤษฏี สมการ ฯลฯ   ใครประดิษฐ์ อะไรได้  จะได้รับการยกย่อง  ฯลฯ   ในขณะที่  พระศาสดา พระองค์สำคัญต่างๆ  ทรงสร้างนวตกรรม ที่เป็นนามธรรม   คนยุคอุตสหกรรม ไม่สนใจ  ไม่รับรู้      นี่แหละ   โดนปนเปื้อน  ด้วยความคิดของตนเอง แบบวัตถุนิยม  แบบคนในยุคอุตสหกรรม    ทำตนเองตาบอด   หรือ  blinded by science

                หากเรา ศึกษา ศาสดาแต่ละศาสนา จะพบว่า แต่ละพระองค์ มีแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์นั่นเอง    และ ผลงานที่ออกมา  เป็น นามธรรม   เป็นประโยชน์  หักล้าง โต้แย้ง  กลบทิ้ง  ไม่ได้   ไม่ทำลายใครอีกต่างหาก   แต่ ผลงานทางวิทยาศาสตร์  หักล้างได้  ตกรุ่ร ล้าสมัย   ได้  และ ทำลายผู้คนได้   

                คนในวงการวิทยาศาสตร์มากมาย ที่  ไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์    ทั้งๆที่จบปริญญาเอก โท ตรี ด้านวิทยาศาสตร์    เป็นพวกคนมือสอง แต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนมือสอง     เป็นพวกที่ ไม่รู้จักกระบวนการเรียนรู้    เช่น

คุยไม่เป็น  คุยกับคนปกติไม่รู้เรื่อง  อัตตามาก  มีโลกส่วนตัว   มองทั้งระบบไม่เป็น  

คิดไม่เป็น   ไม่สนใจผลที่ตามมาว่าจะทำลายจิตใจ ทำลายโลก   คิดจากข้อมูลมือสองที่มีอยู่  คิดวิเคราะห์จากข้อมูลใน กะลา ที่ตนคิดว่า คือ โลกทั้งใบ    คิดตอนจิตไม่ว่าง  และ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตคืออะไร เป็นอย่างไร

คลิกไม่เป็น  ถามตนเองไม่เป็น   ไม่คิดทฤษฏีใหม่  ไม่ออกนอกกรอบ 

คลำไม่เป็น   กลัวผิด  คิดมาก  เลยไม่ทำอะไร 

สมมติ  พระท่าน สอนว่า  ลองฝึกสมาธิสิ  ลองตามดูจิตสิ     พวกนักวิทยาศาสตร์แต่เปลือก  ก็จะไม่คุยต่อแล้ว ปิดความคิดเลย   หรือ ไม่ก็ คิดในใจ  เสียงภายในเกิดขึ้น   คิดมากว่า  ถ้าเพี้ยนล่ะ  ทำไปทำไมล่ะ  นิพพานเป็นอย่างไร ขอดูให้จะๆ  ( ระบบเสพนิยม วัตถุนิยม  ปนเปื้อนพวกเขามาว่า ทุกอย่างต้องเห็นๆ เป็น รูปธรรม )  ถ้างั้นไม่ฝึก    พวกเขา ไม่มีกระบวนการเรียนรู้เลย  แต่ ปากก็บอกว่า ฉันนี่แหละ คิดแบบวิทยาศาสตร์   

  ตราบใดที่ ยังปิดหู ปิดตา ปิดใจ   ก็ยากที่จะ เชื่อมโยงเข้าหาต้นตอ  ยากที่จะหยุดพฤติกรรมที่ทำลายร้างคนอื่น ทำร้ายตนเอง   กอบโกย  ทำร้ายโลก  ถล่มแม่ธรณี     หลงอยู่ในวัฏสงสาร   โดนวิทยาศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมทำร้ายจนตาบอดไป โง่งมไป

สมัยนี้ มี วิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่แล้วนะครับ   ลองสืบค้นดูสิครับ    

หมายเลขบันทึก: 179922เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2008 10:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

เรียน ท่าน อาจารย์ ไร้กรอบ

  • คุย คิด คลิก คลำ
  • บาง ครั้ง อาจ ต้อง
  • แคะ เคาะ  ออกมาอีกครับ tacit ฝังลึก นิ

 

  • มาสาธุๆๆ
  • พระท่าว่า อย่าเชื่อเพราะท่านผู้นั้นเป็นอาจารย์
  • ตามหลักกาลามสูตรครับ
  • อิอิๆๆ

 

คลิกไม่เป็น   ถามตนเองไม่เป็น   ไม่คิดทฤษฏีใหม่  ไม่ออกนอกกรอบ 

คลำไม่เป็น   กลัวผิด  คิดมาก  เลยไม่ทำอะไร

แต่ก็จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักทฤษฎี

 

จริงๆแล้วเขาควรเป็นอะไรครับ พระอาจารย์

ที่เปรียบว่า มือสอง เหมือนพวกลูกเมียน้อย หรือพวกอีแอบ รึครับ

..พวกสมาชิกG2K. ทุกคนคลิก เป็นแน่ๆ

เพราะเขาคลิกอ่านสิ่งที่พระอาจารย์ชี้แนะได้

แต่พวกที่คลิกไม่เป็นหรือไม่คลิก

ถ้าแขนขาพิการก็น่าอภัย แต่ที่สังขารครบ เขาคงเลือกทางของเขา บางทีอยู่แบบน้ำสองน้ำสามอาจจะเหมาะกับเขาก็ได้ ดั่งดอกบัวหลายเหล่า ในทางวิทยาศาสตร์เขาสร้างดอกบัวพลาสติกขึ้นมา คงทนถาวรด้วยสิครับ เขาอาจจะเห็นตรงข้ามเราก็ได้

 

ในวงจรโนนากะนั้น      พวกเราหลายคนยัง ขาด การแยกแยะ กุศล อกุศล  และ มักไม่  คุยกันดีๆ   มักไม่สืบค้น   ไม่มีข้อสมมติฐานของตนเอง  มักเชื่อฝรั่ง เชื่อคนที่ตนชื่นชอบ   โดยไม่คิดจะทดลอง  กลัวบ้าง  ขี้เกียจบ้าง   เป็นต้น   

      

เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สมัยนี้ ยังเป็นแค่ ไม้ท่อนสั้นๆ   ที่พยายามวัดความลึกของทะเล   ดังนั้น  อย่าได้ ปลงใจเชื่อสะเต็มร้อยนะครับ

 

ข้อนี้เราเพิ่งไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวอันดามัน

ตอนแรกเอาปากวัด ..ขมและเค็มปี๋ เลยครับพระอาจารย์

ต่อมาเอากายวัด ก็ได้แค่เปียกน้ำป๋อมแป๋ม

สุดท้ายเอาอ้อมกอดวัด แหมทะลุทะลวงกันกันทุกฝ่ายได้เพื่อน ได้ญาติ ได้มิตรภาพ ลึกแค่ไหนก็หยั่งถึงครับ

ผมไปลาวกลับมา เขาเรียกว่า เครื่องมือแทกวัด ทั้งวัดทั้งแทก ครับ

: เสียดายที่พระอาจารย์ไม่ได้ไปภูเก็ตด้วย แต่ก็ยังดีที่ส่งเจ้าลูกชายโทนผมไปร่วม เขาคงคุยให้ฟังบ้างแล้วนะครับ ถ้ามีเวลาว่าง พระอาจารย์แว๊บมากินไก่ย่างร้อนๆก็ได้นะครับ ไก่ย่างวัดความหิว ความอร่อยได้ ครับ อิอิ

: พระอาจารย์อย่าหายไปจากบล็อกนานนะครับ

: ไม่มีคนเขย่าใจ เหงาเป็นบ้า

: มองหา ผีทะเล ก็ไม่เจอ !

 

การดูกายดูจิตตัวเองเหมือน KM เพราะไม่ทำก็ไม่รู้ค่ะ

   ใช่ครับ ใช่แล้ว ใช่เลย

  • มีให้เห็นมากมาย ลักษณะที่ว่า  Blinded  by Science  .. แต่ยังมีอีกนะครับ ...
  • Blinded by Religion
  • Blinded  by Research
  • Blinded  by Ethics
  • And ... many more ครับ.

เอามาฝากอาจารย์ครับ    กลัวอาจารย์ลืมคนชอบวิ่ง  ( เสือชอบวิ่ง )  อิอิ

 

  • แวะมา คลิก ก่อนนะครับอาจารย์......อิอิ
  • ยังคลำไม่ครบวง....ตาม ท่านโนนะคะ และ ป้าท่านเน้น.....ซักที

ขอบคุณทุกท่าน ที่ยังจำผมได้    ....หายไปนาน  

ขอบคุณ ครูบา ฯ ครับ

อยากไปขี่ ฯ ทุ่งนางพญา กับหมอชอบวิ่งด้วยครับ แต่ ตอนนี้ ข้อมือยังซ้นอยู่เลย คราวก่อนล้มหนักมาก หมวกที่ใส่ แตกเลยครับ สักต้นเดือน พย หรือ ธค นึกๆ ว่าน่าจะไปสักที

 

คุณหมออัจฉราครับ KM คือ การฝึกมหาสติ ฯ นั่นเอง เป็น the inner path ของ KM ครับ รู้ตัวทั่วพร้อม รู้อย่างต่อเนื่อง

อจ Handy ใช่เลยครับ ... ตราบใด ที่เรายัง เจาะ ลงไปไม่ถึง The source เราก็โดน blinded ไปทุกเรื่อง อย่างที่ อจ handy ว่าไว้ จริงๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท