เป็นเวลากว่า 5 ปี แล้ว ที่พนักงานของรถไฟฟ้า BTS ได้มีการสัมนา Team Building มาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 1-2 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมาก็เป็นการสัมนาในรุ่นที่ 19 แล้ว ครั้งนั้นเราได้ไปสัมนากันที่โรงแรมสวนบวกหาด ชะอำ โดยใช้บริการจาก บริษัท คาร์นิวัล กรุ๊ป (http://www.carnivaltourandtraining.com/) ซึ่งเราได้ใช้บริการของทีมงานนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รุ่นที่ 15 แล้ว รูปแบบการสัมนาก็เป็นลักษณะของกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ในลักษณะของ Walk Rally การละลายพฤติกรรมให้มีความคุ้นเคยรู้จักกัน สร้างทัศนคติที่ดีต่อกันและการทำงานร่วมกัน
สิ่งที่ผมจะเล่าในบันทึกต่อไปนี้เป็นเกร็ดความรู้ที่ผมในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้จากการ Lecture สรุปในห้อง หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ได้ไม่ได้อยู่ในเรื่องของการทำงานเป็นทีมเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องกลยุทธ์ ทัศนคติที่ดีในการทำงาน ที่อย่างไรให้ได้ทั้งประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล ประสบผลความสำเร็จและมีความสุข
ระดับของการเมาเหล้า
วิทยากรได้เล่าไว้ 3 ระดับดังนี้
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน
การทำงานต้องมีทั้งประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectiveness) ดังนี้
Efficiency = Speed + Quality
ผลงานของการทำงานที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบไปด้วยการทำงานให้ได้ตาม หรือก่อนเวลาที่กำหนด และงานนั้นต้องมีคุณภาพด้วย เช่น การพิมพ์ดีด ต้องได้อย่างน้อย 40 คำต่อนาที และงานที่พิมพ์ออกมาต้องไม่ผิดหรือตกหล่น เป็นต้น
Effectiveness = Quality + Targets
ผลงานของการทำงานที่มีประสิทธิผลต้องประกอบไปด้วยการทำงานให้ได้คุณภาพตามเป้าหมาย เช่น การพิมพ์ดีด ต้องได้อย่างน้อย 40 คำต่อนาที และงานที่พิมพ์ออกมาต้องไม่ผิดหรือตกหล่น และเป็นงานที่ตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งานตามนโยบายด้วย เป็นต้น
ดังนั้นการทำงานต้องคิดอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้นจนจบ
เก่งงาน > สมองไว > นิสัยดี > มีไฟ
การทำงานให้ได้ตามประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectiveness) จะครอบคลุมความรู้ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้
ทฤษฎี 4 รู้
พฤติกรรมการสร้างมิตร
อดทน - เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
อดกลั้น – ถ้าไม่มีความอดกลั้นจะเกิดความขัดแย้ง
ให้อภัยอดทน – ให้โอกาส เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
หลักการทำงานเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
ระดับการพัฒนาด้านมนุษย์สัมพันธ์จะมีวัฎจักรตั้งแต่ระดับ 0 - 4 ดังนี้
- ระดับ ”0” = “เบ๊” : เริ่มแรกต้องมีทัศนคติที่ดี รู้จักทำตัวเป็นผู้รับใช้ เพื่อเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ (ใช้นิสัยไต่เต้า พิจารณา)
- ระดับ ”1” = “เด็กวัด” : เมื่อเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น รู้งานมากขึ้น สามารถรับผิดชอบงานได้ในระดับที่สูงขึ้น (ใช้นิสัย + ฝีมือ ไต่เต้า พิจารณา)
- ระดับ ”2” = “ดารา” : ระดับนี้เป็นระดับสูงสุดของการทำงาน ต้องตัวให้เป็นที่รู้จัก มีนิสัยและฝีมือเป็นที่ยอมรับของผู้คน ตรงจุดนี้ต้องรักษาสถานภาพของ “ดารา” ไว้ให้ยั่งยืน
- ระดับ ”3” = “ปากหมา” : จากสถานภาพของ “ดารา” ทำให้มีลาภ ยศ สรรเสริญมากขึ้น เมื่อหลงไปกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้นจะทำให้บ้าอำนาจ มี EGO อัตตาตัวตน ตัวกูของกูสูง ความเป็นดาราจะเสื่อมลง กลายเป็น”ปากหมา” “ปากตก” พูดแล้วไม่มีใครเชื่อ
- ระดับ ”4” = “ผีเข้า” : จากสถานภาพของ”ปากหมา” ถ้ายังยึดมั่นและไม่ฉุกคิด สถานภาพก็จะลดต่ำลงมาเรื่อย จนกลายเป็นพวก “ผีเข้า” ที่กู่ไม่กลับ จนต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ระดับ ”0” = “เบ๊” อีกครั้ง
ข้ออ้างที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต
- สุขภาพ : อ้างว่าสุขภาพไม่ดี แล้วไม่ดำเนินการใดๆ หรือต่อสู้
- อายุ : อ้างว่าอายุมากแล้ว อ้างว่ายังไม่ถึงเวลา
ทั้งรื่องสุขภาพและอายุนั้นผมคิดว่าอยู่ทีสติอยู่ที่ใจ ถ้าใจเราสู้แล้วเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นประเด็น
- การศึกษา : คนจบสูงไม่ได้หมายความว่าเป็นคนฉลาด ผมคิดว่าการดำเนินชีวิตต้องมีทั้ง EQ และIQ ในระดับที่เหมาะสมและสมดุล
- โชคลาง : เราไม่ควรเชื่อเรื่องโชคชะตา ทำนายทายทัก เพราะเป็นเรื่องสถิติเท่านั้น ผมเคยได้ยินจากท่านผู้รู้ว่าถ้าเราฝึกสติมาอย่างดีแล้ว เรื่องโชคชะตาสถิติดวงดาวจะไม่สามารถทำอะไรเราได้
ภาพถ่ายบางส่วนได้รับความอนุเคราะห์จากคุณ อรรกร ฉัตรธเนศ Training Supervisor/Training Division/BTS