ตั้งแต่วันแรก (๑๔ มกราคม ๒๕๕๔) ที่ข้าพเจ้าได้เหยียบเข้ามาบนผืนดินที่สร้างเมรุฯ นี้ก็พบกับ “ขี้วัว” เต็มไปหมด...
ตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึก “ฉงนใจ” ว่าขี้วัวเหล่านี้มาจากไหน ทำไมวัวถึงเข้ามาอยู่ใน “ป่าช้า”
แต่พออยู่ไปนานวันเข้า ก็เริ่มเข้าใจระบบวงจรชีวิตวัว ว่าแต่ละวันคนเลี้ยงวัวซึ่งมีคอกอยู่ใกล้ ๆ นี้จะต้อนวัวเข้ามากินหญ้าที่ “ป่าช้า”
ไม่ตาย ไม่ตัดหญ้า...
ทั้งคนลาว และคนไทยบางภูมิภาค มีความเชื่อถือสืบต่อกันมาว่า ถ้าไม่มีงานศพ จะไม่เข้าไปตกแต่งบริเวณป่าช้า เพราะการเข้าไปตกแต่งนั้นเป็นลางไม่ดีว่า “เตรียมรับคนตาย”
ดังนั้น หญ้าที่ป่าช้าจึงขึ้นเยอะ
ดังนั้น วัวจึงมีอาหารสมบูรณ์ที่ “ป่าช้า”
ข้าพเจ้ามีวัวเป็นเพื่อน...
คอกวัวอยู่ใกล้ ๆ ที่พักของข้าพเจ้านี้เอง เมื่อก่อนตอนมาแรก ๆ ก็สงสัย ว่ากลางคืนได้ยินเสียงก๊อบแก๊บ ๆ อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเสียงฟึ๊ด ฟั๊ด ๆ ตลอดทั้งคืน แต่ถ้าเงี่ยหูฟังดี ๆ ก็จะได้ยินเสียง “กระดิ่ง” ด้วย
ต้องเก็บของให้ดี...
เพื่อนวัวทั้งหลาย มักจะเข้ามาเที่ยวบริเวณที่พักของข้าพเจ้าเป็นประจำ
โผล่หัวเข้ามาบ้าง ถ้ามีของมีอะไรวางอยู่ เพื่อนวัวก็จะลากลงไป “กิน”
สบู่หาย...
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าออกไปงานบุญที่บ้านโนนยาง กลับมาถึงตอนเย็นกะว่าจะอาบน้ำแต่ก็ต้องพบว่า “สบู่หาย”
วันนั้นที่ข้าพเจ้ากลับมาตอนแรกรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะที่พักไม่อยู่ในสภาพปกติ
ผ้าที่กั้นบังตาไม่หล่นลงมา ขันน้ำที่มีเครื่องอาบน้ำหล่นกระจาย
แต่ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่ เพราะทิ้งหลักฐานไว้เพียบ รอยเท้าวัวเต็มไปหมด
เมื่อเก็บของที่ล่วงอยู่ตามพื้นจากฝีมือเพื่อนวัวแล้ว ข้าพเจ้าหา “สบู่” ไม่เจอ
อีกวันหนึ่งจึงไปเบิกสบู่ก้อนใหม่มา โดยให้เหตุผลกับเจ้าหน้าที่ที่คุมคลังว่า “วัวค้นที่พัก”
เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบกลับมาทันทีว่า “แฟ้บของผมก็หมดไปเป็นถุง ๆ...”
ชีวิตที่อยู่กับเพื่อนวัวก็มีความสุขไปอีกแบบ เพราะข้าพเจ้าทานมังสวิรัติเป็นประจำ เห็นวัวที่น่ารักน่าชังก็ไม่รู้สึกผิด ก็เพราะเราไม่กินเนื้อเขา
ซึ่งสามารถตัดปัญหาที่ว่า วันดี คืนร้าย วัวที่เดินเล่นอยู่ใกล้ที่พักเรา อาจจะกลายมาเป็นอาหารอยู่ในท้องของเราคงทำใจยากน่าดู...
มีวัวเป็นเพื่อนก็ดี จริงใจดี ไม่มีเล่ห์ ไม่มีกล เจอหน้ากันก็ไม่มีพัวพันด้วย "ผลประโยชน์"
วันก่อนเห็นวัวอ้วน ๆ อาจารย์ร่อนบอกว่า "วัวท้อง"
วันนี้เจออีกที หาวัวตัวอ้วนไม่เจอแล้ว แต่กลับเห็นลูกวัวตัวขาว ๆ แทน
อาจารย์ร่อนเล่าให้ฟังอีกว่า วัวที่นี่เขาเลี้ยงแบบ "ปล่อย" คือไม่ต้องใช้คนคุมเหมือนเมืองไทย เพราะที่นี่เขาไม่ "ขโมย" กัน
เขาจะปล่อยให้กินหญ้าไปเรื่อย สองสามเดือนโน่นถึงจะจับกันที
ถ้าอยู่เมืองไทย ปล่อยไว้สองสามเดือนก็คงจะเหลือแต่กระดิ่งหรือกระพรวน แต่บางครั้งก็กระพรวนก็ยัง "หาย..."
อาจารย์ร่อนเล่าให้ฟังว่า เคยได้ยินข่าวว่าเมืองไทยขนาดเป็ดไล่ทุ่งก็ยังถูกคนมาไล่ขึ้นรถไป
ฟังแล้วก็สลดใจ ว่าทำไมเมืองไทยถึงมี "ขโมย" เยอะอย่างนี้
บ้านเมืองที่ไม่มีขโมยอย่างที่นี่ก็มีความสุขไปอีกแบบ
ที่พักของข้าพเจ้าก็ไม่มีกุญแจ อย่าว่าถึงกุญแจเลย ประตูก็ยังไม่มี 555
อาจารย์ร่อนยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ตอนกลางคืน เขาจอดรถ Vigo กันไว้หน้าบ้านกันหน้าตาเฉย
ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังว่า เมืองไทยนี้ Vigo ยอด "หาย" อันดับหนึ่ง...
ชีวิตที่ไม่ต้องระแวดระวังกัน เป็นความเบาสบายที่หาได้ยาก ณ เมืองไทย
ความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ณ เมืองนี้...