โดย อาจารย์ธวัชชัย ปิยะวัฒน์
ตอน ที่ 5 นี้ จะพูดถึงพลังการขับเคลื่อนขององค์กร ที่ไม่ใช่อยู่ที่ผู้บริหาร แต่การขับเคลื่อนขององค์กรจะต้องอาศัยบุคลากรในทุกระดับ ต้องเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กรที่มีหลาย ๆ บริบท อยู่ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น บริบทการทำงานตามปกติ บริบทการทำงานเป็นโครงการร่วมกันข้ามสายงาน และบริบทสกัดรวบรวมความรู้จากบริบทอื่น ๆ และที่สำคัญ คือการสร้างวัฒนธรรมแนวราบ การสร้างวัฒนธรรมการจดบันทึก และการประเมินผลการดำเนินการจัดการความรู้ด้วยผลลัพธ์ของงาน
ขั้นตอนแรก ของการดำเนินการจัดการความรู้ ....เริ่มจากการสร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความรู้ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า องค์กรจะเดินไปในทิศทางใด และองค์กรจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ เมื่อทุกคนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ถ้าเดินไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่ทุกคนถืออยู่ในมือก็จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน องค์กรก็จะขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น
การสร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความรู้นั้น เริ่มจากการกำหนด "หัวปลา" (Knowledge vision)
http://share.psu.ac.th/file/noppakao.m/modelfish.jpg
เพราะหัวปลาเป็นส่วนสำคัญ ที่เราจะต้อง share vision
http://www.brendanpkeegan.com/shared_vision.gif
เป้าหมายหลักขององค์กรคืออะไร และต้องกำหนดความรู้หลักด้านไหนบ้างเพื่อบรรลุเป้าหมายหลักนั้น และที่สำคัญคือการจัดการความรู้ต้องเป็นไปในภาพใหญ่ คนในองค์กรต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทีมการจัดการความรู้ขององค์กรจึงเป็นส่วนสำคัญ โดยเน้นหนักไปที่
ทีมประสานงานที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้ว ได้แก่ คุณเอื้อ คุณอำนวย คุณประสาน คุณลิขิต และคุณวิศาสตร์
ทีมปฏิบัติการได้แก่ คุณกิจที่ต้องมีภายในองค์กรไม่น้อยกว่า 80% เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพราะเท่ากับเป็นการเชื่อมทุนทางปัญญา แต่ละคนในองค์กรจะเป็นผู้ที่ discoverกันเอง ค้นหาซึ่งกันและกัน คุณอำนวยจะเป็นช่างเชื่อม ที่เชื่อมให้คนในองค์กรค้นหากันเอง เปรียบเทียบได้เหมือนดังน้ำ คนในองค์กรเปรียบเป็นคุณกิจ ที่ต้องเชื่อมหากันให้ได้ เมื่อมีการเชื่อมหากัน พลวัตก็จะเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนในองค์กรเชื่อมเข้าหากัน เมื่อนั้นก็จะเกิดทุนทางปัญญา(Intellectual Capital) ซึ่งเป็นหัวใจที่จะทำให้เกิดนวัตกรรม เป็นเหมือนการค้นหา - จัดเก็บ - เผยแพร่ ต่อยอดซึ่งกันและกันนั้นเอง
http://www.actcell.com/en/about/img/img_about01.gif
และที่สำคัญการสร้างบรรยากาศของ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้นในกลุ่มพนักงานระดับล่าง จะทำให้ พนักงานระดับล่าง เข้มแข็งมากขึ้น เพราะพวกเขาเหล่านั้น เกิดความรู้สึกว่าได้เป็นผู้ขับเคลื่อนองค์กร(middle-up-down) เป็นตัวจริงขององค์กร และเน้นการใช้ผู้บริหารระดับกลางหรือพนักงานระดับกลาง เป็นผู้เชื่อมโยงวิสัยทัศน์หรือความฝันของผู้บริหาระดับสูงเข้ากับการ ปฏิบัติงานของพนักงานระดับล่าง และทำให้การจัดการความรู้เป็นทุกส่วนของการทำงานในองค์กร จริง ๆ
หลาย ๆ ปัญหาในโลกนี้ จะไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุก ๆ คนในองค์กรช่วยกันคิด ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้ทุก ๆ คนในองค์กรช่วยกันคิด เพราะว่า เพียงแค่การจุดประกายความคิดเห็นเพียงเล็กน้อย ปัญหาหลาย ๆ ปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พนักงานระดับล่าง เป็นคนขับเคลื่อนองค์กรที่ดีที่สุด เมื่อทุก ๆ คนช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน องค์กรก็จะมีความคิดที่หลากหลายจากคนหลากหลายความคิดนั้นเอง
การอบรม ในครั้งนี้ มีบุคลากรทั้งด้าน KM และ ICT มานั่งรวมกัน นั่นย่อมแสดงว่า สามารถช่วยกันคิดได้อย่างดียิ่ง.....
http://www.ronghosp.org/hosmain/images/KM20549.jpg
อะไรก็แล้วแต่ถ้าเอาคนประเภทเดียวกันมาเจอกัน ความคิดก็จะอยู่ในมุมแคบ ๆ ไม่หลากหลาย จบการศึกษาด้านเดียวกัน เรียนด้านเดียวกัน จบมหาวิทยา ลัยเดียวกัน มาช่วยกันแก้ไขปัญหาอะไรบางอย่าง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะการจบมาเหมือนกัน คนเหล่านี้ความคิดก็จะคล้าย ๆ กัน คิดอยู่ในกรอบเดียวกัน
โลกเราทุกวันนี้ มีปัญหาอยู่มากมาย เวลาเอาคนที่หลากหลายมุมมอง หลากหลายความคิด หลากหลายพื้นฐานความรู้มาเจอกัน มาร่วมปรึกษาหารือกัน ปัญหาที่ว่ายาก.... ก็จะเป็นปัญหาที่ง่ายลงไปทันที
ตัวอย่างเช่น การรับอาจารย์ เข้ามาทำงานในมหาวิทยาลัย เวลาสอบสัมภาษณ์ จะมีคำถามหนึ่งที่ถามว่า เมื่อคุณเข้ามาทำงานแล้ว คุณจะไปเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย อะไร ถามว่า เป็นการชื่นชม มหาวิทยาลัยต่างชาติ หรือไม่ ตอบว่า.... ไม่ใช่ แต่เป็นความต้องการให้เกิดความหลากหลายทางความคิดให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
และเมื่อไหร่ก็ตาม ความหลากหลายทางความคิดเข้ามา ปัญหาหลาย ๆ ปัญหาก็จะถูกแก้ไขด้วยวิธีง่าย ๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตาม เมื่อมีคนประเภทเดียวกัน มานั่งคุยกัน มุมมองทางความคิดก็จะคล้าย ๆ กัน ปัญหาหลาย ๆ ปัญหาก็จะยากกว่าความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น โครงสร้างองค์กรแบบ "องค์กรพหุบท" (multi-flex structure) จึงเป็นโครงสร้างที่สำคัญมาก ๆ เพราะเป็นองค์กรที่มีหลาย ๆ บริบท อยู่ในเวลาเดียวกัน
http://www2.nesac.go.th/office/onesac_papers/images/kms02.jpg
ไม่ว่าจะเป็น บริบทการทำงานตามปกติตามโครงสร้างแบบปิรามิด บริบทการทำงานเป็นโครงการร่วมกันข้ามสายงาน และบริบทสกัดรวบรวมความรู้จากบริบทอื่น ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรสำหรับการดำเนินการจัดการความรู้ และที่สำคัญมาก สำหรับการแก้ไขปัญหา นั้นคือ ผลลัพธ์จากการจัดการความรู้ สิ่งที่ได้คือการแก้ปัญหา ที่ดีขึ้นในหลาย ๆ หลาย ๆ อย่างด้วยกัน ที่มีการเชื่อมต่อกันกับโลกภายนอก
นั้นย่อมหมายถึงการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภาคี หรือเครือข่ายที่ทำงานเกื้อกูลกัน มีการเชื่อมโยงหรือสกัดความรู้จากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
องค์กรแบบพหุบท จะมีการการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การที่มีบุคคลมานั่งคุยกัน บุคคลเหล่านี้มีความคิดที่หลากหลาย มี background ที่แตกต่างกันมานั่งคุยกัน การนั่งคุยกันเป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนความคิด มีการรับรู้จากโลกภายนอก ความคิดจากภายนอกที่เข้ามา จะสามารถช่วยเสริมสร้างองค์กร ให้ไปในทิศทางที่เกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ถือได้ว่าการสร้างเครือข่ายความรู้จากโลกภายนอก สามารถทำให้มีระบบการรับรู้และตรวจสอบข่าวสารความก้าวหน้าของความรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภาคีหรือเครือข่ายที่ทำงานเกื้อกูลกัน
จะเห็นได้ว่า ทุกคนมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และทุกคนสนุกกับการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ การได้มาเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในองค์กร สามารถบอกเล่าระหว่างกันได้อย่างมีความสุข นั้นย่อมหมายถึง การสร้างวัฒนธรรมใหม่ ให้เกิดขึ้น
วัฒนธรรมที่กล่าวถึงคือ วัฒนธรรมแนวราบ วัฒนธรรมแนวราบเป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนสามารถพูดคุย สื่อสารระหว่างกันได้ เป็นการให้อิสระในการคิดและการริเริ่มสร้างสรรค์อย่างเสมอภาค ซึ่งตรงนี้สำคัญมากเป็นอย่างมาก เป็นการล้มเลิก "วัฒนธรรมการกลัวข้ามหน้าข้ามตา" โดยผู้บริหารขององค์กรจะต้องประกาศเจตนารมย์อย่างชัดแจ้ง และปฏิบัติในเรื่องของการยกย่องชมเชย รวมถึงการให้รางวัล การให้ข้อมูลข้ามหน่วยงาน เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ นั้นหมายถึงองค์กรแห่งการเรียนรู้ องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือองค์กรที่ทุก ๆ คนคุยกันได้อย่างเท่า
http://gotoknow.org/file/mm446580/KM--LO.JPG
วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยส่งเสริมองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้เป็น อย่างดี นั้นก็คือ วัฒนธรรมการจดบันทึก การสร้างวัฒนธรรมการจดบันทึก ถือว่าเป็นวัฒนธรรมอีกตัวหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อการจัดการความรู้ ความสำเร็จจะไม่มีค่า ถ้าไม่มีการจดบันทึก และนำบันทึกที่ได้นั้นมาถ่ายทอด เพราะนี่คือฐานข้อมูลความรู้ บุคคลที่มีบทบาทนี้ ในองค์กร ก็คือ คุณลิขิต
วัฒนธรรมการจดบันทึก ควรจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทุกวันนี้ โลกของเรามีการอ่านหนังสือน้อยลง เพราะมี media เข้ามาแทนที่การอ่านหนังสือมากขึ้น เมื่อมีเทคโนโลยีมากขึ้น จึงถือว่าการจดบันทึกผ่านสื่อเทคโนโลยี่ ก็เป็นส่วนหนึ่ง การจดบันทึกไม่ใช่เพียงแค่จดบันทึกเป็นตัวหนังสืออย่างเดียว การจดบันทึก สามารถจดบันทึกด้วยเสียง ด้วยภาพ หรือด้วยการเล่าเรื่อง ก็ได้ ถือเป็นการจดบันทึกทั้งสิ้น
และที่สำคัญการจัดการความรู้ที่ดี จะต้องมีการประมวลผล มีการประเมินเพื่อติดตาม(monitor)
หลาย ๆ องค์กร ประมวลผลการจัดการความรู้ด้วยการนับชิ้นความรู้ หรือนับเนื้อหาความรู้ ซึ่งจริง ๆแล้วไม่ใช่ เพราะ ความรู้เป็นสิ่งที่วัดโดยตรงไม่ได้ การวัดความรู้ต้องวัดโดยอ้อมถึงจะวัดได้จริง การวัดโดยอ้อมนั้น ต้องวัดจากผลลัพธ์(outcome) และผลกระทบของการดำเนินงาน(impact)ของการจัดการความรู้ เพราะงานที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการดำเนินการจัดการความรู้ สิ่งนี้เป็นการวัดวัฒนธรรมภายในองค์กรที่เปลี่ยนไป งานที่เกิดขึ้นสามารถวัดทัศนคติ(attitude)ที่เปลี่ยนไปขององค์กร
สิ่งเหล่านี้เองที่ สามารถวัดชิ้นความรู้ได้ การวัดกระบวนการที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริง เป็นเช่นไร เพราะผลลัพธ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในองค์กรนั่นเอง นี่คือการสร้างวิสัยทัศน์(vision)ที่เกี่ยวกับความรู้ รวมไปถึงการสร้างทีมจัดการความรู้ขององค์กรไปโดยปริยาย
http://share.psu.ac.th/file/noppakao.m/km.JPG
ผลลัพธ์ที่แท้จริง เกิดจากการวัดโดยอ้อมนั่นเอง เพราะสิ่งที่ได้คือ การจัดการความรู้ สิ่งนี้ต้องเนียนอยู่ในเนื้องาน เพราะผลลัพธ์ต้องวัดตรงนี้ ตรงที่เนื้องาน ไม่ใช่ที่ความรู้
การ ขับเคลื่อนขององค์กร หาใช่อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงไม่ แต่การขับเคลื่อนขององค์กรจะต้องอาศัยบุคลากรในทุกระดับ ต้องเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กรเป็นแบบพหุบทให้ได้ และที่สำคัญ คือการสร้างวัฒนธรรมแนวราบ การสร้างวัฒนธรรมการจดบันทึก และการประเมินผลการดำเนินการจัดการความรู้ด้วยผลลัพธ์ของงาน
http://training.siamhrm.com/trainingzone_upload/1244537948.jpg