...เพราะ "ความรู้มีมาก แต่ ความรักมีน้อย"


ผมหมายถึง “ความรักในงาน” “ความรักในเพื่อนร่วมงาน” ซึ่งนับวันจะพบว่าสิ่งเหล่านี้หาได้ยากเข้าทุกทีในที่ทำงาน บรรยากาศทั่วไปกลายเป็นว่า “ต่างคนต่างอยู่” หรือ “ซังกะตาย ทำงานไปวันๆ โดยไม่ได้รักในสิ่งที่ทำอยู่นั้น”

        คำถามที่ผมมักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ก็คือ เราจัดการความรู้ไปทำไม? ถ้าให้ส่วนราชการเป็นผู้ตอบส่วนใหญ่มักจะพูดในทำนองที่ว่า นี่เป็นไฟลท์บังคับ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นทางเลือก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ ตัวชี้วัด ไม่ทำไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้คะแนน...

        หากถามคำถามนี้กับภาคเอกชน คำตอบที่ได้จะเป็นไปในทำนองที่ว่า ถ้าไม่ทำก็แข่งขันไม่ได้ เพราะในโลกปัจจุบันแข่งกันที่ความรู้ พูดง่ายๆ ก็คือถ้าไม่มีความรู้ก็ยากที่จะอยู่รอดในโลกธุรกิจปัจจุบันที่หายใจเข้าออกเป็นการแข่งขัน ....จะเห็นได้ว่าภาษาที่ใช้ในโลกธุรกิจนั้นไม่สามารถนำมาใช้ในโลกราชการได้

        ผมพยายามถามตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ทำไมต้องทำ KM ? ถามไปเรี่อยๆ จนวันหนึ่งเกิด ปิ๊งแว้บ ออกมาเป็นรูปข้างล่างนี้  

 ....

        .....ที่ต้องจัดการความรู้ก็เพราะว่า ความรู้ในขณะนี้มีมากมายเหลือเกิน ถ้าไม่มีการจัดการที่ดีรับรองว่าเราคงจะจมกองความรู้ตายแน่ๆ (ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด) ส่วนประเด็นถัดมาที่ทำให้ต้องมีการจัดการความรู้นั้นเป็นการมองความรู้ที่อยู่ในคนเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้จึงมุ่งไปที่ ความรัก ซึ่งผมหมายถึง ความรักในงาน ความรักในเพื่อนร่วมงาน ซึ่งนับวันจะพบว่าสิ่งเหล่านี้หาได้ยากเข้าทุกทีในที่ทำงาน บรรยากาศทั่วไปกลายเป็นว่า ต่างคนต่างอยู่ หรือ ซังกะตาย ทำงานไปวันๆ โดยไม่ได้รักในสิ่งที่ทำอยู่นั้น

        ผมมองว่าประเด็นเหล่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่เราจะหันมาสนใจและใช้ KM ในที่ทำงาน…. ก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่นี้!!

หมายเลขบันทึก: 103044เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2007 16:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2012 12:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เรียน อ.ดร.ประพนธ์ค่ะ

  • เรื่องของความรัก(ในงาน)มันหาได้...(ไม่แน่ใจว่า...ง่ายไหม)...
  • งานที่ทำให้รักและผูกพันธ์นั้นผู้ร่วมงาน(ผู้ร่วมทีม)มีส่วนสำคัญอย่างมากค่ะ...ต้องรักกัน  เข้าใจกัน...ช่วยเหลือกัน(ยามยาก)...ต้องให้อภัยกัน  ไม่ตำหนิกันจนขายหน้า(ยามผิดพลาด)....ต้องให้คำชี้แนะ  แนะนำ  หรือช่วยกันแก้ปัญหา(ไม่ใช่เก็บไปนินทาลับหลัง...ทำเป็นหอกข้างแคร่)  เรียกว่าพยายามเป็น Positive thinking เข้าไว้  แล้วใส่เทคนิคชี้แนะที่ดูดี(หัวหน้าควรทำ)
  • ทั้งหลายที่กล่าวมา...พอบรรยากาศดูดี...ก็จะรักที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเพื่อความสุขของทีมงานและความก้าวหน้าขององค์กรเราเองค่ะ
  • ..........ดิฉันชอบบันทึกนี้มากๆค่ะและขอบคุณที่ให้โอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้....
  • อาจารย์สบายดีนะคะ
  • ใน VCD ของครูสมพร จะมีคำพูดหนึ่ง
  • "ให้ความรัก ก่อนให้ความรู้"
  • ผมคิดว่า คล้ายๆ กับ ที่ท่านอาจารย์ประพนธ์ต้องการสื่อครับ
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.ประพนธ์ ความรู้ กับ ความรัก ไปเคียงคู่กันครับ

ขอบคุณ อ ประพนธ์ ค่ะ

ความรู้ คู่ความรัก

รักเพี่อนร่วมงาน และขอ เพิ่มผู้รับบริการ ด้วยค่ะ

ดิฉันรู้สึกเสมอ ว่า ในโรงพยาบาล หมอ พยาบาล ต้องรู้จัก รัก  ผู้ป่วย

ไม่รัก ก็ ต้องปรารถนาดี อยากให้เขาหาย

แต่จะรัก ปรารถนาดี เฉพาะเวลาป่วยไม่พอ สร้างความรัก ไม่ทัน

พอป่วยถึงจะรัก ปรารถนาดี ก็แปลกๆ อยู่

เลยสรุปว่า    ต้องรักมนุษย์ ทุกคน

ไม่ป่วยก็ เชียร์ และช่วยให้มีสุขภาพดี

ป่วยก็ แก้ไขรักษาให้หาย

วิชาชีพ อื่นๆ ก็ คงไม่ต่างกันค่ะ

ตอบเอาไว้สั้นๆ ครับ

  • คำตอบอยู่ที่... อิทธิบาท 4 

...ไม่ว่าจะอยู่ที่ภาคส่วนใดก็ตามแต่จะประยุกต์ใช้กัน ครับ

คนเราจะมีเครื่องอะไรมาวัดความเป็นคน ได้มากกว่าคน แม้กระทั่งคนเราก็ยังวัดคนด้วยกันเองยังผิดพลาดเลย ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรที่ตายตัว อย่าไปยึดติดมากนัก อะไรที่เรียกว่า ทำแล้วดี คนร้อยคนอาจจะว่าไม่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลที่เคยทำมานั้นอาจจะเป็นผลดีที่สุดที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง จงปฎิวัติความคิดให้เยอะ ๆ เข้าไว้ดีกว่า เราจะเห็นมิติอะไรที่ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องพึ่งชาวต่างชาติ ไม่ต้องพึ่งทฤษฏีที่ต่างชาติคิดเองเออเอง จะได้เป็นที่ภาคภูมิของคนทั้งชาติมากกว่ายกย่องคนต่างชาติ

เรียนถามอาจารย์ค่ะ

ระหว่าง PA กับ KM ควรเริ่มทำอย่างไหนก่อนดีคะ เนื่องจากว่าส่วนราชการที่หนูเข้ามาทำงานเพิ่งจะจัดตั้งขึ้นน่ะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท