ผมได้รับคำถามที่น่าสนใจจากท่านที่ใช้นามว่า “นิก” ดังนี้
หนังสือ . . . . . . ทำให้ผมสลดใจกับหลักการทางศาสนาที่เขียนถึงนักร้องคนหนึ่งที่เธอรักงานของเธอมากแต่เธอได้เงินเยอะเลยรู้สึกผิด ไม่ทราบว่าทำอย่างไรถึงจะขจัดความเชื่อผิดๆ ที่ว่าถ้าทำงานที่มีคุณค่าที่เรารักไม่สมควรได้เงินเยอะกันเสียที เมื่อไรคนทั้งโลกจะคิดจะพูดได้เต็มปากว่าผมรักเซ็กส์ ผมรักเงิน ผมรักเมืองนอก รักวรรณกรรม รักดนตรี ร้องรำทำเพลง ผมอยากให้คนทำงานที่ตนรักสุดๆ อย่าง วอลท์ ดิสนีย์ โดนัลท์ ทรัมป์ แล้วก็ยังรวยอย่างมหาศาลด้วย ขอความเห็นเรื่องนี้ด้วยครับ และอีกเรื่องที่อยากถามครับ ศาสนาพุทธบอกให้ตัดกิเลสความอยาก ถ้าตัดแล้วเราจะมีแรงจูงใจทำอะไรได้ยังไงครับ ช่วยตอบด้วย ขอบคุณครับ
ผมขอตอบคุณนิกตรงนี้ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ดังนี้ครับ . . .
นิกครับ . . . ผมอยากจะแจมเรื่อง “การทำงานที่เรารัก กับการรักงานที่เราทำ” สักนิดว่า ถ้าเราได้ทั้งสองอย่างคือ 1. รักงานที่เราทำ และ 2. ได้ทำงานที่เรารัก ผมว่าคนๆ นั้นถือว่า “โชคดีสุดๆ” เลยล่ะครับ แต่ประเด็นคงอยู่ที่ว่า ถ้าเลือกทำงานที่เรารัก แล้วรายได้มันไม่มากพอ (ไม่พอใช้) แล้วจะทำอย่างไร? ผมว่าคำตอบในเรื่องนี้ของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะทำต่อไปโดยไม่ย้อท้อ บางคนอาจเปลี่ยนใจไปทำสิ่งที่ตนไม่รักแต่ได้เงินมากกว่า บางคนก็บอกว่าสามารถ “ทำใจ” ให้รักงานทุกงานได้ และคงมีอีกหลากหลายคำตอบครับ
แต่เท่าที่เห็นมา ไม่ว่าจะเป็น วอลท์ ดิสนีย์ หรือ คนอื่นๆ ที่นิกยกตัวอย่างมา จะเห็นได้ว่าคนเหล่านั้นมี “Passion” ในสิ่งที่เขาทำอยู่นั้น Passion ที่มีนี้ทำให้เขาทำงานนั้นได้อย่างเต็มที่ จนในที่สุดผลงานก็ออกมาดี และมีเงินมากมายอย่างที่เราเห็นอยู่ทั่วไป ดังนั้นการมี Passion มีความใฝ่ฝัน ความปรารถนา หรือว่าหลงใหล (ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไร) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมุ่งมั่น จริงจัง จะเป็นต้นกำเนิดของพลังการทุ่มเท ทำให้เป็นผู้ที่ “กัดไม่ปล่อย” ไม่ท้อถอยง่าย ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนต่อปัญหา ปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นบันไดขั้นสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ
คำว่า Passion ที่ผมใช้ในที่นี้น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า “ฉันทะ” ในพุทธศาสนา ผมเคยอ่านหนังสือของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ประยุตฺโต) ท่านสอนว่าศาสนาพุทธแยก “ความอยาก” ออกเป็นสองอย่าง อย่างแรกเป็นความอยากเพื่อที่จะสนองกิเลส ตัณหา ความอยากแบบนี้ทางพุทธสอนให้ลด สอนให้ละ แต่ความอยากอีกอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ฉันทะ” ท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะมี เป็นความรักในงาน เหมือนกับที่ท่านวอลท์ ดิสนีย์ มีต่องานการบุกเบิกเรื่องการ์ตูน ผมเห็นความมุ่งมั่นของท่านในเรื่องนั้น ผมไม่เชื่อว่าท่านทำการ์ตูนเพราะต้องการจะร่ำรวย หรือทำเพื่อเงิน แต่เงินหรือความร่ำรวยนั้นเป็นเพียง “ผลพลอยได้” ที่ตามมาทีหลัง เป็นผลพลอยได้อันเนื่องมาจากการ “รักงานที่ทำ และได้ทำงานที่รัก” ดังนั้นเวลาพูดว่าความอยาก คงต้องดูให้ดีนะครับว่า เป็นความอยากแบบไหน
นี่คือความเข้าใจของผมครับ ถูกผิดประการใด ท่านผู้อ่านทั้งหลายช่วยแนะนำมาได้ครับ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผมและผู้ที่ถามมา หวังว่านิก คงไม่ว่าที่ผมนำคำถามมาลงไว้ในบันทึกนี้นะครับ
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.ประพนธ์
ขอบคุณท่านอาจารย์หมอ JJ ครับ
ขอบคุณอจ.ประพนธ์มากครับสำหรับคำตอบ หายคาใจขึ้นเยอะเลยครับ ผมเคยอ่านหนังสือ อยู่อย่างปาฏิหารย์(REAL MAGIC)ของ DR.WAYNE W. DYER ท่านก็พูดอย่างนี้เหมือนกันครับ แล้วก็อีกเล่ม รวยด้วยคุณธรรม:จิตวิญญาณแห่งความสำเร็จ ของ วินเซนต์ เอ็ม.โรอาซิ ก็บอกให้มุ่งเน้นที่งานเต็มที่แล้วเงินจะไหลมาเอง ยังไงก็แนะนำให้ลองอ่านดูนะครับ ดีมากๆ ของสนพ.ต้นไม้ครับ
นิก . . . ผมเองก็เป็นแฟนหนังสือ Dr. Wayne Dyer เหมือนกันครับ ช่วงหลังท่านหันมาสนใจคัมภีร์เต๋าเต้อจิง และฝึกฝนอย่างจริงจัง สำหรับประเ็ด็นเรื่อง "ตัณหากับฉันทะ" ผมเพิ่งเห็นความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งครับซึ่งก็คือ . . . ฉันทะเป็นความปรารถนา ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นความปรารถนาที่เป็นปัจจุบัน ส่วนตัณหานั้นเป็นความปรารถนาในอนาคต อยากได้ ต้องการ คาดหวังอะไรบางอย่างที่ยังไม่มีตรงหน้านี้ . . .
ขอบคุณ คุณสุรวัฒน์สำหรับ Comment และภาพที่สวยงาม ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ไปดูหนังการ์ตูนเรื่องพระพุทธเจ้า
สวัสดีครับ