ประเด็นที่มีผู้สอบถามนายบอนมาว่า ในหลาย blog มีทั้งผู้ที่ใส่รูปโฉมหน้าของตัวเอง ทั้งชัดเจนบ้าง ไม่ชัดบ้าง บางท่านใส่รูปอื่นๆแทนตัวเองก็มี
<h2>การแสดงออกที่แตกต่างกันเช่นนี้ มีผลต่อความรู้สึกของผู้เยี่ยมชม blog หรือไม่??
</h2>
เวลาที่คนเขียน blog หลายคน ใส่รายละเอียด ประวัติ ข้อมูลส่วนตัวใน blog ส่วนใหญ่แล้วมักจะยึดถึงตนเองเป็นหลัก ไม่ได้นึกถึงคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
จริงไหมครับ….
ประเด็นคำถามที่หยิบยกมา “….. มีผลต่อความรู้สึกของผู้เยี่ยมชม blog หรือไม่?” ทำให้หวนคิดได้ว่า คนเขียนบล็อกหลายคน ได้คิดถึงคนอื่นบ้างหรือไม่ หรือคิดถึงแต่ตัวเอง
ความจริงแล้ว การเปิดเผยข้อมูล หรือรูปภาพนั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละท่าน…
… ในสภาพความเป็นไปในสังคมเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ทำไมคนบ้านใกล้เรือนเคียง คนที่มีรั้วบ้านติดกัน ใกล้กัน ถึงไม่ค่อยรู้จักกันเลย ต่างจากสังคมชนบทที่รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน และนับถือเป็นญาติกันทั้งหมู่บ้าน เข้าไปถามข้อมูลใครสักคนที่พบในหมู่บ้าน เขาสามารถให้คำตอบได้ว่า คนที่ถามหานั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร อยู่ที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ตรงไหน ทำงานอะไร เป็นหลานของใคร
แต่ในสังคมเมืองกับตรงกันข้าม เช่นเดียวกับสังคมในโลกออนไลน์ โลกเสมือน โลกแห่งการคลิก และโลกแห่งการสร้างจินตนาการ
หลายคนไม่ไว้ใจสังคมในโลกออนไลน์ ไม่ไว้ใจต่อพฤติกรรมด้านลบที่อาจจะได้พบเจอด้วยตัวเองสักวันหนึ่ง ตกใจต่อข่าวสารด้านลบที่ได้ยินเกี่ยวกับโลกออนไลน์อยู่บ่อยๆ
แต่สังคมมีหลากหลาย มีให้ค้นหา ค้นคว้า และค้นพบ ทั้งสังคมที่มีความจริงใจ และตรงกันข้าม แต่หลายคนไม่ยอมที่จะค้นคว้า ค้นหาให้พบกับสังคมที่มีความจริงใจ
การปกปิดข้อมูลส่วนตัว อย่างน้อยถือว่า ปลอดภัยในระดับหนึ่ง ปลอดภัยจากมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆใน internet
แต่สิ่งที่สำคัญ หากคุณอยู่ในสังคมออนไลน์ที่มีความจริงใจสูง ย่อมปลอดภัยมากกว่า ในสังคมออนไลน์ที่มีพฤติกรรมตรงกันข้าม เพราะคนในสังคมจะช่วยกันเป็นเกราะคุ้มกัน สอดส่อง ทักท้วงต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ด้วยความจริงใจของแต่ละคนในสังคมออนไลน์นั้นเอง
ในสังคมออนไลน์อย่าง gotoknow นั้น มีความชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับความจริงใจ….ที่สามารถเสาะแสวงหาและสัมผัสได้ทันที
<h2>ในสังคมแห่งนี้ ที่มีความแตกต่างเกิดขึ้น ในส่วนของคนเขียน blog ที่ใส่รูปภาพของตัวเอง และที่ไม่ใส่รูปภาพของตัวเอง กับประเด็นคำถาม “..... มีผลต่อความรู้สึกของผู้เยี่ยมชม blog หรือไม่?”
</h2>
คำถามนี้สำคัญมากครับ เพราะคนเขียน blog มีมากมาย บางคนไม่มีใครสนใจมากนัก แต่ถ้ามีใครอยากรู้จัก อยากเห็นหน้าตา ย่อมแสดงว่า คนอ่านเกิดความสนใจในมุมมอง แนวคิดของคุณแล้ว โดยเฉพาะหากคุณเขียนบันทึกในเรื่องที่คนอ่านสนใจ และติดตามอ่านเนื้อหาในประเด็นนั้น
การใส่รูปถ่ายนั้น บางคนไม่ชอบถ่ายภาพ บางคนหน้าตาดูไม่ดี จึงไม่อยากที่จะใส่รูปภาพมากนัก
ในความหลากหลายนั้น แต่ละวันมีบันทึกที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย มีคนเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ
การที่ใครคนหนึ่งจะเป็นที่จดจำ และเข้าไปอยู่ในใจของคนอ่านได้ ย่อมจะต้องใช้ความพยายามกันพอสมควร ต้องมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ และจดจำได้บ้าง
คนที่เขียนบันทึกบ่อยๆ ในประเด็นที่น่าสนใจนั้น ได้เปรียบ เพราะจะทำให้ผู้อ่านคุ้นเคย และจดจำได้ง่าย แต่สำหรับคนที่นานๆเขียนครั้งนั้น จะต้องเขียนบันทึกในประเด็นที่โดนใจ และหมั่นแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งในบันทึกของตัวเอง และบันทึกของผู้อื่น เพื่อสร้างสายใยมิตรภาพให้เกิดขึ้น ถ้าอยู่เงียบๆก็จำไม่ได้
บางท่านเขินอายที่จะใส่รูปภาพของตัวเองลงไป แต่ไม่อยากรู้หรือครับว่า หากใส่รูปภาพใบหน้าของตัวเองที่ชัดเจนลงไปแล้ว รูปภาพที่คุณเขินอาย ที่จะนำเสนอ และคิดว่า ไม่เหมาะสมนั้น..
คนอื่นเค้าคิดเหมือนคุณหรือเปล่า เค้าเห็นรูปใบหน้าของคุณแล้ว เค้าตะโกนบอกคุณหรือว่า ให้ไปผ่าตัดทำใบหน้าใหม่เสียเถอะ .….
….. บางคนกลัวว่า คนอ่านบันทึก จะไม่ชอบ เห็นหน้าแล้วจะกลัว ….
....ถามจริง คุณอยากให้คนอื่นเห็นหน้าแล้วชื่นชอบคุณ ให้มาตกหลุมรักคุณ จนกลายเป็นแฟนเป็นคู่รักอย่างนั้นหรือ
การที่เขียนบันทึกออกมาแล้ว คนอ่านยอมรับในมุมอง เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมา ผู้อ่านย่อมยอมรับในความคิดอ่านของคุณ เพราะคุณใช้มันสมองของคุณกลั่นกรองข้อความนั้นๆออกมาจากใจ ไม่ได้ใช้หน้าตาเขียนบันทึกเหล่านั้นออกมานะครับ คุณใช้สมองต่างหาก ที่ทำให้คนอ่านยอมรับความคิด
การเปิดเผยรูปภาพในหน้าของคุณใน blog มีประโยชน์ในระยะยาว เมื่อถึงช่วงเวลาที่คุณไม่มีเวลาเขียนบันทึกได้เหมือนวันวาน แต่ผู้สนใจสามารถที่จะค้นหา และอ่านบันทึกของคุณได้ตลอด การได้เห็นหน้าตา ทำให้เกิดการจดจำ ประทับใจ ชื่นชมต่อเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดขึ้นมา
น่าเสียดายที่บันทึกดีๆหลายเรื่อง ที่น่าประทับใจ แต่ผู้อ่านต้องจินตนาการหน้าตาของคนเขียน โดยเอาหน้าตาของคนอื่นมาแทนหน้าตาของคนเขียนตัวจริง
การเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน รูปภาพที่เห็นชัด เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดมิตรภาพเข้ามาสู่ชีวิตอย่างมากมาย เช่นกรณีของครูอ้อย สิริพร กุ่ยกระโทก ที่มีมิตรสหายที่อ่านบันทึกของท่านแวะไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ หลายาคนที่ค้นหาข้อมูลจนมาพบกับบันทึกของครูอ้อย ได้เข้ามาติดตามอ่านบันทึก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือ โทรมาติดต่อให้ไปบรรยาย หรือไปสอนที่อุบลราชธานีก็ยังมี
เมื่อพูดถึงประเด็นการใส่รูปภาพของตัวเองใน blog นี้แล้ว หลายท่านคงจะเหลือบไปมองรูปของนายบอน ที่มองไม่ชัดเจน แหม เขียนมาตั้งนาน แล้วตัวเองล่ะ จะว่าอย่างไร
การใส่รูปในลักษณะนี้ เป็นเหตุผลส่วนตัวครับ….
…. เพราะนายบอนเขียนบันทึกที่หลากหลาย ทั้งในแนวที่ขัดแย้ง ดุดันบ้าง ทักท้วง โต้แย้ง ให้แนวคิดที่ต่างออกไป ในช่วงแรก หลายคนไม่ค่อยจะชอบหลายประเด็นที่นายบอนเขียนออกมามากนัก ไม่กล้าที่จะอ่านก็บ่อย รวมทั้งไม่กล้าที่จะเขียนความเห็น จนกระทั่ง ไม่รู้ว่าจะเขียนความเห็นอะไรลงไป….
ด้วยความที่เขียนบันทึกบ่อย เขียนได้เยอะ ได้หลายร้อยบันทึก สามารถค้นพบได้ง่าย เพราะมีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น จึงได้รับการติดต่อตามช่องทางต่างๆ จากทาง blog อีเมล์ จนถึงโทรศัพท์มากมายหลายเรื่อง นี่ขนาดที่ไม่รู้จักหน้าตานะครับ ถ้ารู้จักแล้วจะขนาดไหน
มีบางบันทึกเขียนในประเด็นที่รุนแรงทางความรู้สึกพอสมควร
แต่ที่จริงแล้ว นายบอนไม่ได้ปกปิด ซ่อนอำพรางถึงเพียงนั้น สามารถพบปะกันแบบตัวเป็นๆได้ เหมือนคนปกติทั่วๆไป
การใส่รูปภาพ และการใส่รายละเอียดของตัวเองลงไปนั้น ส่วนหนึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนบันทึกเกิดความรับผิดชอบในเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมา ต่างจากคนที่ปกปิดรายละเอียดข้อมูลของตัวเอง จะเขียนอย่างไรก็ได้
แต่คนที่เปิดเผย ย่อมจะมีจุดที่จดจำได้มากกว่า ในระยะเวลาที่ยาวนาน 3 ปี 5 ปี 10 ปี คนที่ปกปิดย่อมจะถูกกลืนหายไปกับความหลากหลายของข้อมูล เหมือนกับไม่มีตัวตนในโลกนี้…..
……
ในความรู้สึกของผู้อ่าน เมื่อนั่งอ่านบันทึกแล้ว ประทับใจ อยากรู้จักกับผู้เขียนมากขึ้น การที่ใส่รูปภาพและข้อมูลที่ชัดเจน เป็นการเติมความประทับใจ และแสดงความจริงใจที่เพิ่มขึ้นไปอีก
ในกรณีของนายบอน แม้จะใส่รูปภาพของตัวเองที่ไม่ชัดเจนก็ตาม แต่มีความชัดเจนในมุมมอง เนื้อหาของบันทึกที่ถ่ายทอดออกมา ทั้งแนวที่ให้แง่คิด และเนื้อหาระดับชาวบ้าน อย่างเพลงลูกทุ่ง และใส่รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูล ที่สามารถติดต่อได้
ด้วยความชัดเจนเช่นนี้ ทำให้ได้รับการติดต่อ ทั้งทางโทรศัพท์ อีเมล์ มาแนะนำตัว ให้เบอร์โทรศัพท์มาด้วย เปิดช่องให้ติดต่อพูดคุยกันได้ตามใจปรารถนา…
<h2>เมื่อแสดงความจริงใจออกไป ก็ย่อมที่จะได้รับความจริงใจกลับคืนมา…..</h2>
ถึงคุณบอน
กัมปนาท อาชา (แจ๊ค)
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สวัสดีครับ
รูปที่โชว์ไม่เห็นหน้าเหมือนกันครับ แต่ข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลจริง ทุกบันทึกที่พิมพ์ไปรับผิดชอบได้ทุกถ้อยคำครับ และสุดท้ายจริงใจเหมือนคุณแจ็คครับ
ส่วนตัวคิดว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่ต้องโชว์รูป ถึงจะเป็นการแสดงความจริงใจ จริงอยู่การเห็นหน้าอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกวางใจมากขึ้น ทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น แต่คิดว่าหลายท่านก็ไม่ได้สนใจ อย่างเพื่อนใน gotoknow หลายท่านผมก็เรียกเพื่อนได้อย่างสนิทใจ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าก็ตาม
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
คุณบอนค่ะ
วิเคราะห์ได้ดีมากค่ะ ยอดเยี่ยม ค่ะ
สวัสดีค่ะ โดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าการใส่รูปนั้น "หารูปสวยๆ ยากค่ะ" เลยไม่ใส่ดีกว่า นี่เลือกมาแบบดูดีที่สุดแล้วนะคะ จากการเลือกประมาณ 500 ภาพ ได้ภาพนี้ดีสุดแค่ภาพเดียว ฮา ................. แจกดอกไม้ค่า
คุณบอนค่ะ
ขออนุญาตนำบันทึกนี้ ไปนำเสนอให้สมาชิกท่านอื่น ๆ ได้อ่านนะค่ะ ในบันทึก การแสดง รูปถ่าย เจ้าของบล็อก
ขอบคุณมากค่ะ
จริงๆผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ทั้งเพื่องานและสะสมส่วนตัว พอมาเป็นสมาชิกใหม่ G2K พบว่าไม่มีรูปของตัวเองเลย เพราะมัวแต่ถ่ายรูปคนอื่น กว่าจะค้นรูปที่คนอื่นถ่ายรูปตัวเองไว้ก็ใช้เวลานาน เลยบอกน้องๆที่ office ว่าทีหลังถ่ายรูปพี่บ้างนะ เขาก็ งง งง วันนี้พี่มาแปลกอะไรทำนองนั้น..
แต่เห็นด้วยครับคุณบอน..
ขอบคุณ คุณบอนมากค่ะ เอารูปมะปรางมาโชว์ให้เห็นกันในบันทึก ความเหมือนที่ดูแตกต่าง ชอบใจคำนี้จังเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะที่กระตุกต่อมคิด...สัญญาว่าจะหาเวลาเขียนประวัติส่วนตัวซักวัน แต่รับประกันว่า เป็นคนจริงใจแน่นอนค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ความจริง..หลังจากอ่านบันทึกนี้จบ ความจริงคิดว่าจะไม่โพสต์อะไร ...เก็บความคิดเห็นส่วนตัวไว้ดีกว่า เพราะความเห็นที่มัน "ขัดแย้ง" มีแต่สร้างความรู้สึก negative ให้เกิดขึ้น
แต่ในใจมันรู้สึกเสียใจ และสะเทือนใจบอกไม่ถูกน่ะคะ
อาจจะเป็นเพราะว่า แวะเข้ามาอ่านบันทึกของคุณบอนอยู่บ่อยๆ ผ่านมาทางบันทึกของ พี่ "ครูอ้อย" จึงบังเกิดมีความรู้สึกที่ดี และสนิทสนมกับคุณ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เข้ามาโพสต์ความเห็นเท่าใดนัก ดังนั้นพออ่านเจอบันทึกนี้ จึงรู้สึกเหมือนว่า ถูกตำหนิตำเตียน ด้วยคำว่า "ไม่มีความจริงใจ"
และ..อาจจะเป็นเพราะว่า เวลานี้ เริ่มรู้สึกว่าตนเอง เป็นคนของที่นี่ เป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชน G2K แห่งนี้ แต่สุดท้ายก็เหมือนพบว่า ..ยังคงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ด้วยเหตุนี้...จึงได้แต่ขอพิมพ์คำว่า
"ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ"
จากบทสรุปของบันทึกนี้ที่บอกว่า
" เมื่อแสดงความจริงใจออกไป ก็ย่อมที่จะได้รับความจริงใจกลับคืนมา "
อยากจะบอกว่า.. เป็นคำพูดที่สะเทือนใจนะคะ สำหรับคนที่เขามีความจริงใจจริงๆ แต่ก็มีความไม่พร้อมบางอย่าง หรือความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่รู้จะอธิบายต่อคนอื่นอย่างไรให้เข้าใจ
คุณเคยไหมคะ... ตอนเด็กๆ ที่คุณแม่สั่งให้ทำอะไร ในสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำ หรือให้คุณกินอะไรที่คุณไม่อยากจะกิน แล้วคุณแม่ก็บอกว่า
" แม่อุตส่าห์ทำให้กิน ลูกไม่กินแสดงว่าไม่รักแม่สินะ "
แม่อาจจะพูดไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่รู้ไหมว่า คำว่า "ลูกไม่รักแม่" นั้น มันเป็นคำพูดที่เจ็บปวดแค่ไหนสำหรับลูก ที่รักแม่นะ (แต่มันอึดอัดใจ ที่จะทำในสิ่งที่แม่สั่ง)
กินของที่ไม่อยากกิน หรือทำสิ่งที่ไม่อยากทำ มันเกี่ยวอะไรกับรักไม่รักแม่
เช่นเดียวกับความจริงใจ คำว่า "ไม่จริงใจ" มันเป็นคำพูดที่สะเทือนใจ สำหรับมิตรภาพ
จริงๆนะคะ
ต้องขออภัย หากว่าพิมพ์อะไรผิดพลาดไป แต่อยากจะบอกว่า มีความรู้สึกที่ดีต่อคุณบอนมากค่ะ แม้กระทั่งบัดนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ จึงรู้สึกเสียใจและสะเทือนใจ ต่อบันทึกนี้จริงๆ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณบอน และคุณจูน
คุณจูน..ไม่ต้องพะวงอะไรค่ะ
สวัสดีครับคุณบอน!
พี่ K-jira ค่ะ
หนูอ่านข้อคิดเห็นของพี่แล้ว ไม่สบายใจเลย ไม่อยากให้พี่คิดมาก อันนี้ต้องมองว่าเป็นมุมมองหนึ่งของคุณบอน ที่เขียนในบันทึก คนเรามองกันต่างมุมค่ะ
หนูเข้าใจคำพูดความหมายของประโยค "อยากจะบอกว่า.. เป็นคำพูดที่สะเทือนใจนะคะ สำหรับคนที่เขามีความจริงใจจริงๆ แต่ก็มีความไม่พร้อมบางอย่าง หรือความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่รู้จะอธิบายต่อคนอื่นอย่างไรให้เข้าใจ"
ความจริงใจ แสดงกันได้จากคำพูด หรือสิ่งที่เขียนลงไปในบันทึก หรือข้อคิดเห็น ไม่ใช่แค่เพียงภาพอย่างเดียวค่ะ
พี่จูน สบายใจเถอะนะค่ะ ข้อความที่เขียนในบันทึก และข้อคิดเห็นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความจริงใจ ได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกันค่ะ
ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมา และข้อความที่ตั้งใจสื่อออกมา คือ สิ่งที่แสดงความจริงใจที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วของคุณจูน K-jira เป็นอย่างดีแล้วครับ
แม้ว่าในช่วงหนึ่ง อาจจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อได้ปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาใจออกมาแล้ว ความไม่สบายใจพลันหายไป
เ้หมือนกับหลายคนที่กดดัน เครีย ดจนต้องหลั่งน้ำตาละลายความกดดันนั้น แม้ในช่วงเวลาที่น้ำตาหลั่งไหล จะทำให้ผู้คนที่พบเห็น รู้สึกเศร้าไปด้วย
แต่หลังจากนั้น ผู้ที่หลั่งน้ำตากลับรู้สึกดีึึ้ขึ้น เพราะน้ำตาได้ชะล้างสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบออกไปแล้ว.....
ไฟล์อีก 500 ภาพนั้น ไม่สมควรจะเผยแพร่ค่ะ เพราะว่าเข้าข่ายจะทำให้ผู้เข้าชมเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้ชมแล้วอาจจะเกิดอาการนอนไม่หลับก็เป็นได้ .... ฉะนั้นขออนุญาตไม่เผยแพร่ละกันนะคะ ฮิๆๆ
สวัสดีครับ คุณ ปิ๊กก้าจัง (จินตนา)
โอ เสียดายจังครับ เมื่อ 500 ภาพที่ว่า เผยแพร่ไม่ได้ ก็โชว์ฝีมือถ่ายภาพใหม่ 500 ภาพ ทยอยลงมาโชว์็ก็้ได้นะครับ
ชุดใหม่ คงจะทำให้ผู้ชมนอนหลับนะครับ...
... เอ หรือว่า คุณปิ๊กก้าจัง ถ่ายภาพช่วงที่นอนไม่หลับ ???
เคยอ่านบทกวีของโจสิด ที่ท่านอาจารย์ ยงค์ เคยแปลไว้ (ไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อถูก ถ้าผิดช่วยท้วงนะครับ) คิดว่า ตรงใจ ตัวเองครับ
ไม้สูง พายุไกว ทะเลใหญ่ มีคลื่นลม
ในหัตถ์ ไร้ดาบคม จะคบมิตร มากเพื่อใย
อิอิ
ครูอ้อยครับ
คุณมะปรางเปรี้ยว ขออนุญาตนำบันทึกนี้ ไปนำเสนอให้สมาชิกท่านอื่น ๆ ได้อ่าน ในบันทึก การแสดง รูปถ่าย เจ้าของบล็อก
ก็เลยมีคนมาร่วมแลกปลี่ยนมากขึ้นก็เท่านั้นเองครับ
คุณบอน ครับ
ผมว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากเลย ขอบคุณมากครับ ที่หยิกยกเรื่องนี้ขึ้นมา
ผมเริ่มติดและเป็นแฟนคุณบอนแล้วนะครับ ทั้งในด้านเนื้อหา ความคิดเห็น และความขยัน post ขอชื่นชมด้วยความจริงใจครับ
ผมมีความเห็นเรื่อง การแสดงภาพรูปถ่ายเจ้าของ blog และพาดพิงถึงคุณ k-jira อยู่ที่บันทึกอาจารย์สกล ที่นี่ ครับ ไม่อยาก post ซ้ำครับ
ลืมไปนิด
อยากบอกว่า ภาพของ นายบอน และ คุณเจษฎา ถูกใจมาตั้งแต่เห็นครั้งแรก ตอนใช้ blog ใหม่ๆแล้ว
เท่ห์มากเลย
อยากทำแบบนั้นมั้ง แต่ไม่มีปัญญา
ขอเสนอมองอีกมุมหนึ่ง...อายที่จะบอกแต่เราก็พบว่ามีพี่ๆในโรงพยาบาลที่เปิดบันทึกหลายคนไม่ใส่ภาพมีเหตุมาจากเขาใส่ภาพไม่เป็น..เหมือนอย่างการเชื่อมบันทึก(Link)ดิฉันเองก็ยังทำไม่ถูก..รอให้น้องสอนอยู่ค่ะ..
ต่อข้อคำถามที่ว่าการใส่รูปมีผลไหม..ส่วนตัวยอมรับว่าถ้าเห็นหน้าค่าตากันจริงๆก็จะดีเพราะเมื่อเราอ่านข้อความของเขาแล้วเราชอบมากๆเราก็จะจดจำได้ชัดเจนและมากขึ้น
เรื่องการใช้เครื่องมือ และโปรแกรมนั้น สามารถเรียนรู้กันได้ครับ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว หากตั้งแล้ว ย่อมทำได้สักวัน ถ้านายบอนไปป้วนเปี้ยนที่ สถาบันบำราศนราดูร นี่ นายบอนก็อยากจะไปทักทาย เจอตัวจริงของหลายท่านด้วย ซึ่งนายบอนมักจะทำ surprise ไปแบบไม่ค่อยจะบอกกล่าวล่วงหน้ามากนัก
ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นหน้าค่าตาจากรูปที่ใส่ไว้ หรือเนื้อหาในบันทึก ก็สร้างความประทับใจให้ผู้ที่ติดตามอ่านได้ทั้งนั้นครับ
เหมือนนักเขียนใช้นามปากกา นามแฝง
เหมือนดีเจที่ไม่มีวันเผยหน้าตา
เหมือนนักร้องที่รอเปิดตัว
เหมือนนักสืบพันหน้าที่ไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
เป็นไปได้ทั้งหมดในโลกใบนี้ ทั้งโลกจริง และโลกลวงครับ
แต่สำหรับผม อยากดังอยู่แล้วอยากเป็นที่น่าจดจำอยู่แล้ว แต่เคารพผู้อื่นครับ นับถือกันด้วยงาน ความคิดและการกระทำ
สวัสดีครับ mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง
เื่รื่องนี้ ต่างจิตต่างใจจริงๆครับ เมื่อรู้จัก
ศรัทธาในความคิด ย่อมอยากเห็นหน้า แต่ที่สุดแล้ว ก็อยู่ที่แต่ละท่านว่า จะยินยอมเปิดเผยหรือปกปิด
ในยุคนี้ที่มีความหลากหลาย จนแทบจะจดจำไม่ได้ ขนาดบุคคลที่เปิดเผยใน gotoknow ยังไม่เป็นที่จดจำและสนใจของหลายๆคน
เพราะทุกๆวันมีบันทึกที่หลากหลายให้เลือกอ่านจริงๆครับ
สวัสดีค่ะ
น่าสนใจมากค่ะ สำหรับบันทึกนี้
ในประวัติของตัวเอง ไม่ได้เขียนอะไรมาก เพราะจริงๆก็ได้เปิดเผยในบันทึกต่างๆที่เขียนอยู่แล้วค่ะ
กรณีความปลอดภัยทางinternet ไม่ค่อยกังวล เพราะ ถ้าเป็นmailแปลกๆ ไม่รู้จักเลย ก็ไม่เปิดค่ะ
อ่านบันทึกคุณบอนประจำ แม้บางบันทึกค่อนข้างแรงหน่อย ก็o.k.ค่ะ ได้อ่านมุมมองที่ต่างจากคนอื่น ประเทืองปัญญาดีค่ะ