มหัศจรรย์...น้ำนมแม่


คุณค่าที่สำคัญที่สุดของน้ำนมแม่ไม่ใช่คุณค่าทางอาหาร อันดับหนึ่งคือความรักความอบอุ่น อันดับสองคือมรดกแห่งภูมิคุ้มกัน

มหัศจรรย์

น้ำนมแม่

 

                        เรื่องของคุณค่าน้ำนมแม่ทุกคนล้วนทราบดีว่ามีประโยชน์มาก  แต่จากข้อมูลข้อเท็จจริงปรากฎว่าทารกที่เกิดใหม่ในประเทศไทย มีทารกเพียง 16 % เท่านั้นที่รับประทานนมแม่เพียงอย่างเดียวในระยะ 4 เดือนแรก  มีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้นที่รับประทานนมแม่บ้างนมกระป๋องบ้าง  อะไรจะเกิดขึ้นกับทรัพยากรมนุษย์อันเป็นอนาคตของชาติไทย ก.ขาดสารอาหาร ข.มนุษย์ภูมิแพ้และสารพัดโรค ค.ขาดความอบอุ่น  ง.ไอคิว อีคิวต่ำ   คำตอบคือ จ.ถูกทุกข้อ

 

                         ทำไมบรรดา แม่ ๆ ทั้งหลายซึ่งไม่ว่ายากดีมีจนล้วนรักลูกกว่าชีวิตตนเองทั้งสิ้น ถึงได้ทำกับลูกตัวเองได้ถึงเพียงนี้  ด้วยเหตุผลจำเป็นในชีวิตยุคปัจจุบันที่ต้องทำมาหากินทั้งพ่อและแม่  ไม่มีเวลามากนัก  คลอดบุตรแล้วพักได้ไม่กี่วันก็ต้องรีบกลับไปทำงาน  ต้องใช้บุคลิกภาพที่ดีในหน้าที่การงานให้นมลูกเองบ้างก็เกรงว่าจะหุ่นไม่ดี  ต้องรักษาหุ่นเพื่อเอาใจคนบางคน  ฯลฯ  ล้วนมีความสำคัญและล้วนเพื่อเงินทองมาดูแลลูกทั้งนั้น  อะไรสำคัญกว่ากัน  ระหว่างการเสียโอกาสทำมาหากิน  กับ โอกาสในการได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของลูก ๆ จะต้องสูญเสียไป ลองมาพิจารณาดู

 

                        น้ำนมแม่ เป็นแหล่งสำคัญของโปรตีนคุณภาพสูง สามารถย่อยง่าย ดูดซึมได้ดีได้แก่อัลฟ่า-แลคตัลบูมิน เป็นโปรตีนที่ช่วยให้ลูกเจริญเติบโตได้ดี และไม่ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้เหมือนโปรตีนในนมวัว ที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย

 

ทอรีน  ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ช่วยบำรุงสมองลูกและยังช่วยพัฒนาเรื่องการมองเห็นได้ดีมาก แลคโตเฟอร์รินโปรตีนที่ย่อยได้ง่ายกว่าโปรตีนในนมผง ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร สามารถจับกับธาตุเหล็กในลำไส้ได้ดี ทำให้แบคทีเรียซึ่งต้องใช้โมเลกุลของธาตุเหล็กอิสระ ช่วยในการเจริญเติบโตไม่สามารถเจริญเติบโตต่อได้ จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อในลูกได้อย่างยอดเยี่ยม

 

โคลอสตรัม ทารกที่เกิดมาใหม่ๆ ยังสร้างภูมิคุ้มกันเองได้ไม่ดี ยังขาดภูมิต้านทานเชื้อโรค แต่จะรับภูมิต้านทานโรคได้จากนมแม่  โคลอสตรัม คือน้ำนมใสสีเหลืองซึ่งอยู่ในน้ำนมแม่ในระยะแรกๆ หรือจะเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าหัวน้ำนมนั่นเอง จะมีภูมิคุ้มกันสูง และยังช่วยระบายขี้เทา ทำให้ทารกหายตัวเหลืองได้อย่างรวดเร็ว

 

DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของไขมันในสมอง โดย DHA ในน้ำนมแม่นั้นจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณอาหาร ที่คุณแม่รับประทานเข้าไป ไลโซไซม์ (Lysozyme) ในน้ำนมแม่จะมีไลโซไซม์ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ย่อยสลายผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เชื้อตาย และไลโซไซม์นี้มีในน้ำนมแม่มากกว่านมวัวถึง 3,000 เท่า และเมื่อถูกความร้อนในกระบวนการผลิตก็จะหายไปหมด

 

สารที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อแล็กโตบาซิลลัส ซึ่งไม่มีในน้ำนมวัว และเชื้อแล็กโตบาซิลลัสนี้จะช่วยให้เกิดกรดอินทรีย์ในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียอื่นๆ ทั้งหลายอยู่ไม่ได้  นอกจากนี้แล็กโตสในน้ำนมแม่  ก็ยังเปลี่ยนเป็นกรดแล็กติกไปช่วยให้ลำไส้มีสภาพเป็นกรด จนแบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน  มีการศึกษาพบว่าทารกที่ไม่ได้รับน้ำนมจากแม่มีโอกาสเกิดโรคสมัยใหม่เกือบทุกโรค เช่น โรคอ้วน (ตามมาด้วยโรคเบาหวาน หลอดเลือด หัวใจ) โรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ สารพัด

 

และในการให้น้ำนมแม่แก่ลูกน้อยนั้น  สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งลูกจะได้รับก็คือ การถ่ายทอดความรักความอบอุ่นจากการสัมผัส ซึ่งจะทำให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพด้านจิตใจอย่างมากและมีพัฒนาการที่ดีในทุก ๆ ด้าน  มีเชาว์ปัญญา (IQ) และเชาน์อารมณ์ (EQ) ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับน้ำนมจากอกแม่  นี่อาจเป็นคำตอบว่าทำไม่เด็กเดี๋ยวนี้จึงขี้โรค และสภาพจิตใจไม่เข้มแข็ง  อ่อนแอและเบี่ยงเบนได้ง่าย

 

แม่หลายคนบอกว่ากลับมาจากทำงานก็พยายามมาอุ้มมากอดลูก เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้  ส่วนสารอาหารที่ขาดไปก็พยายามหาซื้อนมกระป๋องที่ระบุคุณค่าสารอาหารให้มากที่สุด เรียกได้ว่ายืนอ่านอย่างละเอียดทุกกระป๋องทุกยี่ห้อที่มีขายในห้าง ก็อาจทดแทนได้บ้างเพียงบางส่วน  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของวงศ์ตระกูลที่ไม่มีทางหาสิ่งใดมาทดแทนได้ก็คือ ระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีการพัฒนาสะสมตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจะสูญหายสิ้นสุดลงทันทีในรุ่นของคนที่ไม่ได้ดื่มกินน้ำนมแม่ 

 

เผ่าพันธุ์มนุษย์ในแต่ละรุ่นมีการเรียนรู้ต่อสู่กับโรคภัย ภาวะการเจ็บป่วย และสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยเก็บสะสมประสบการณ์ไว้ในระบบภูมิคุ้มกัน  และส่งผ่านข้อมูลไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งโดยน้ำนมมารดา  เป็นเรื่องน่าเสียดายและเสียใจเป็นอย่างยิ่งหากระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นมรดกที่มีคุณค่าที่สุดของปู่ย่าตาทวดของแม่จะมาสูญหายไป ด้วยเหตุผลความจำเป็นซึ่งไม่มีคุณค่าเท่าไรนักกับอนาคตของลูกซึ่งต้อง “เผชิญโลก” และ “เผชิญโรค” ต่อไปอีกนาน.

 

หมายเลขบันทึก: 282202เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2009 21:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม 2012 22:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ชอบบทความนี้ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณในข้อมูลนะคะ จะไปแนะนำ  คนที่จะเป็นคุณแม่ต่อไปค่ะ

นมแม่ดีแท้แน่นอน

อร่อยด้วยยยย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท