การฝีก Brain Map สามารถได้ประโยชน์ตามที่ท่านต้องการอะไรได้บ้าง ?


คนเรานั้นสามารถฝึกสมองตนเองให้เก่งจำและคิดอย่างโลดแล่น คล่องแคล่วตามที่ต้องการอะไรได้บ้าง ? บทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่จะทำได้ ....

สวัสดีครับ เราจะพูดเกี่ยวกับความคาดหวังประโยชน์อะไรได้บ้าง ? จากการฝึก Brain Map ท่านอาจเลือกฝึกเอาความสามารถพิเศษตามที่ท่านต้องการข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลาย ๆ ข้อก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่การเล็งเห็นคุณค่า และมีความมุ่งมั่นในการฝึกอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่าบางข้อฝึกได้ง่าย บางข้อฝึกยากหน่อย แต่เมื่อท่านตั้งใจจริงแล้ว จะฝึกข้อไหน ๆ ก่อนก็ได้ หรือ ท่านจะเลือกใช้วิธีการเรียนลัด ก็สมัครเข้ารับการฝึกได้ก็ยิ่งดี เพราะจะสะดวกกว่ากันมากครับ 

1. Names List: สามารถจำรายการสิ่งของมาก ๆ เรียงตามลำดับ ไปข้างหน้า และย้อนหลังได้

    ข้อนี้สามารถฝึกให้ทำได้จริงในขณะที่ฝึก แต่ความชำนาญและการขยายผล

    นั้น ผู้ฝึกจะต้องตั้งใจนำไปใช้จริงบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน และฝึกเป็นประจำ

2. Name & Face: สามารถจำรายชื่อบุคคล และใบหน้า จำนวนมาก ๆ ได้เก่ง แม่น และนาน

    ข้อนี้ก็สามารถทำได้คล้ายกับในข้อแรก

3. Numbers: สามารถจำรายการตัวเลขสำคัญ ๆ จำนวนมาก ๆ เรียงกันอย่างไม่สับสน และย้อนกลับได้ด้วย เช่น การจำชุดตัวเลข

    182839586875791101151221451551091836965

    ข้อนี้สำคัญอยู่ที่ผู้ฝึกจะต้องมีชุดตัวเลขอยู่แล้ว ที่ผู้ฝึกเห็นว่าจำเป็นต้องจำใน

    ชีวิต และการงาน และสามารถฝึกให้เห็นผลทันทีในทันทีที่เข้าร่วมฝึก แต่

    ความสามารถพิเศษที่จะจำตัวเลขจำนวนมาก ๆ นับ 100 ตำแห่นงนั้นจะต้อง

    อาศัยเวลาฝึกฝน และใช้งานเป็นประจำสักระยะเวลาหนึ่งครับ คล้ายกับการ

    ฝึกเล่นเปียนโน หรือฝึกวาดภาพ เป็นต้น

4. Short Messages : สามารถจำข้อความต่าง ๆ ที่เป็นสาระสำคัญ เรียงกันหลาย ๆ ข้อความ เช่น การจำข้อความที่เป็นสาระเนื้อหาของหลักสูตรนี้ ได้อย่างแม่นยำ คล่องแคล่ว

    ข้อนี้สามารถฝึกให้เห็นผลทันทีในขณะฝึก เช่น จำสาระสำคัญของ

    เนื้อหาหลักสูตรในวิชานี้ เรียงกันเป็นข้อ ๆ จำนวน 11 ข้อ 

5. Book Contents: สามารถจำประเด็นสาระสำคัญของหนังสือทั้งเล่มได้ เช่นเนื้อหาสาระสำคัญ ของหนังสือทั้งเล่ม "ความลับของสมอง เรียนอย่างไรให้สมองมีความสุข”

    ข้อนี้ผู้ฝึกสอนสามารถทำสาธิตให้ผู้เรียนเห็นผลได้ทันที แต่การใช้

    งานจากการฝึกที่แท้จริงนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้เวลาจัดเตรียมสรุป

    สาระของเนื้อหาที่ต้องการจะจำ จัดทำโน๊ตย่อ พร้อมทั้งเขียนภาพ

    สัญลักษณ์เตรียมการไว้ ก่อนที่จะทำการจำ และทำการฝึกซ้อม

    บ่อย ๆ เพื่อฝึกสมองให้คุ้นเคยก็จะจำได้ดีขึ้น ๆ ตามลำดับตามที่

     ต้องการ

6. 认 汉 字: สามารถจำตัวอักษรจีน (认 汉 字) สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเรียนรู้หนังสือจีนมาก่อน ได้ 50 ตัวอักษรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง

       ข้อนี้สำคัญมากสำหรับผู้ฝึกที่มีความตั้งใจที่จะเรียนตัวอักษรจีน คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าเรียนภาษาจีนมักมีอุปสรรคมากที่สุดตรงที่จำตัวอักษรจีน ตัวอักษรจีนไม่ได้เขียนตามเสียงอย่างภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แต่ภาษาจีนได้สร้างมาจากภาษาภาพเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่สามารถที่จะทำการท่องจำได้อย่างธรรมดา ครูผู้สอนจึงนิยมใช้วิธีบังคับให้ผู้เรียนฝึกเขียนบ่อย ๆ เขียนซ้ำ ๆ จนกว่าจะจำได้ แต่วิชา Brain Map ใช้ภาพเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน ฉะนั้น จึงง่ายสำหรับจำตัวอักษรจีนโดยการใช้เทคนิค Brain Map เข้าช่วย และเมื่อใช้เทคนิคนี้ การจำตัวอักษรจีนจึงเป็นของง่ายดาย ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด ยิ่งกว่านั้นไม่เพียงแต่ผู้เรียนภาษาจีนเท่านั้นที่มีโอกาสพบช่องทางสะดวก ผู้เรียนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ก็สามารถใช้ Brain Map เข้ามาช่วยได้สะดวกเช่นเดียวกัน เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่นได้นำเอาคำอักษรจีนมาใช้ในชีวิตประจำวันและการงานมากถึง 1,850 ตัวอักษรจีน

7. Calander & Appointment: สามารถจำเวลาตาม ปฏิทิน ข้อความนัดหมาย วันเกิดบุคคลสำคัญ และข้อมูลส่วนบุล ดูรายละเอียด

8. Words or Messages Without Meanings: ในบางครั้ง เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์ หรือ ข้อความ ที่ไม่ทราบความหมาย ก็ยังใช้ Brain Mapได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง

9. Brain Seeding: สามารถ "หว่านเมล็ดพันธุ์" ให้สมองพร้อมทำงานแบบ “ขนาน (ทำหลากหลายกิจกรรมในขณะเดียวกัน)”อย่างอัตโนมัติในขณะนอนหลับลึกและขณะที่ตื่นอยู่ อย่างมหัศจรรย์  เช่นการตั้งโปรแกรมให้สมองทำงานในขณะนอนหลับ เพื่อใช้งานอย่างลื่นไหลในตอนที่เราตื่นขึ้นมาหลัง

จากนอนพักแล้ว

     ข้อนี้น่าตื่นเต้นมาก ผู้เขียนได้เริ่มพัฒนาการฝึกด้วยวิธีนี้มาไม่นาน ประมาณ 6 เดือนเศษ ปรากฎว่าใช้ได้ผลอย่างมหัศจรรย์มาก เป็นการพิสูจน์ให้เราเห็นว่าสมองของเราสามารถฝึกให้ทำงานให้แก่เราได้ดีเยี่ยมในขณะที่เรานอนหลับอยู่ แม้แต่ในขณะที่เราตื่นอยู่ในสภาวะผ่อนคลายมาก ๆ สมองก็ทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์ให้เราได้อย่างดีเยียม ในการทำงานให้แก่เราดังกล่าว สมองทำงานในระดับ "ใต้สำนึก" ซึ่งสามารถทำงานให้แก่เราได้ "อย่างไม่รู้ตัว และเป็นการทำงาน แบบขนาน ซึ่งหมายถึง สามารถทำงานให้เราหลายหน้าที่ได้ในขณะเดียวกันพร้อมกันไป" เพียงแต่เราต้องมีการ "หว่วนเมล็ดพันธุ์" เอาไว้ ในตอนที่เราตื่นตัวอยู่ การหว่านเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวเป็นการทำงานของสมองที่จะรับข้อมูล และรับเอาคำสั่งให้ทำงานเข้าไป ในระดับสำนึก และเป็นการทำงานแบบ "อนุกรม" หรือ ทำทีละอย่าง

         ฉะนั้นในข้อ 7 นี้ไม่สามารถฝึกให้เห็นผลได้ในทันทีทันใด แต่ต้องฝึกเอาวิธีไว้ก่อน และทำการบ่มเพาะสักระยะหนึ่งอย่างต่อเนื่องโดยสม่ำเสมอ ไม่ต่ำกว่า 21 วันติดต่อกัน ก็จะเริ่มเห็นผลได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นผลแล้วก็ยังพัฒนาต่อยอดได้อย่างต่อเนื่อง "ไร้ขีดจำกัด" ครับ

10. Instant Focus: สามารถใช้สมองให้มี "สมาธิในทันที" เพื่อการอ่านหนังสือ เขียน และการทำงาน อย่างมีประสิทธิผลสูง

     ข้อนี้ต้องฝึกไปสักระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็นเดือนต่อเนื่องหรือหลายเดือนติดต่อกัน สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะฝึกฝนให้ตนเองสามารถตั้งสมาธิได้ดีทันที ในการอ่าน เขียน หรือทำงาน โดยอาศัย 3 ปัจจัยเกื้อหนุนกัน คือ

      1. การฝึกทำให้เร็วขึ้น และเร็วขึ้น ในแต่ละครั้ง แม้ว่าจะเป็นค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม เมื่อนำมาสะสมรวม ๆ เข้าไว้ ก็จะได้ความเร็วสูงเสมือนการฝึกของนักกีฬา

      2. การเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น และมากขึ้น ในแต่ละครั้ง แม้ว่าจะเป็นค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม จะเป็นการตั้งกรอบเวลาทำให้สำเร็จ โดยมุ่งทำให้เสร็จภายในเวลากำหนด

      3. เพิ่มความรู้สึกมุ่งมั่นอย่างทุ่มเท และมากขึ้น ๆ ถึงขนาดที่แยกตัวออกจากสิ่งแวดล้อม จนเหลือเพียงระหว่างตนเองกับงานที่กำลังทำอยู่ แบบสมานกันอย่างกลมกลืนจะเป็นเนื้อเดียวกัน ระหว่างการกระทำ และงานนั้นเข้าด้วยกันลงตัวอย่างมีความสุข

11. Effective Speaking: สามารถเตรียมการพูดจากใจ ให้ลื่นไหลพลั่งพรูโดยไม่ต้องพึ่งการอ่านโพยในขณะที่ขึ้นพูด

    ข้อนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้ที่มีอะไรดี ๆ ที่จะพูดอยู่แล้ว เพียงแต่มีความติดขัด ไม่สามารถดึงคำพูดออกมานำเสนอ ได้อย่างรื่นไหลพรั่งพรู เป็นการพูดจากใจที่คล่องแคล่วเป็นอัตโนมัติ โดยมีการฝึกฝนดังนี้ครับ

     1. ต้องมีอะไรดี ๆ ที่จะพูด หรือ นำเสนออยู่แล้ว

     2. เขียนเป็นภาพในสิ่งที่จะพูดลงในกระดาษเพียง 1 แผ่น โดยให้ภาพที่เขียนนั้นแทนความหมายในเนื้อเรื่องอย่างครบถ้วน และใช้ตัวอักษรให้น้อยที่สุด เขียนเป็นภาพเป็นส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นภาพที่สวยงาม ขอเพียงเป็นภาพที่สามารถสื่อสารให้เข้าใจ ในเรื่องที่ตั้งใจจะแสดงออกก็เป็นการเพียงพอแล้ว

     3. ซักซ้อมการพูดสักหน่อยไว้ก่อน ตามหลักของวิชา Brain Map

     4. ตั้งสมาธิไว้พร้อม ด้วยการหายใจลึก ๆ ตอนขึ้นพูด ในท่าทางที่องอาจ ก็จะสามารถดึงพลังคำพูดออกมาจากใจได้ อย่างเป็นธรรมชาติ และรื่นไหลครับ

      เท่าที่ประกฏมา ในหลักสูตรฝึกภาคปฏิบัติ ผู้ฝึกทุก ๆ คน สามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่วในระหว่าง 2 วันที่เรียนรู้ร่วมกันนั้น เป็นไปอย่างน่ามหัศจรรย์

12. Brain Navigator : สามารถสร้าง "ญาณนำวิถีการกระทำ" สำหรับงานที่ทำประจำ ให้มีความสะดวกในชีวิต และการงานอย่างคล่องแคล่ว 

     ข้อนี้มีความสำคัญสำหรับการพัฒนางานประจำให้มีประสิทธิผลสูงได้โดยเร็ว ปกติโดยไม่ได้ใช้ Brain Map ก็ทำได้อยู่แล้วกับงานทุกชนิดที่เรามีประสบการณ์ทำไปในระยะหนึ่ง ก็จะเกิดความคล่องแคล่วมากยิ้งขึ้นจากเดิมมาตามลำดับ แต่วิธีใช้ Brain Map ช่วยจะได้ผลรวดเร็วกว่านี้มากครับ สนใจเรื่องเล่าบรรยากาศการฝึก Brain Map

หมายเลขบันทึก: 424627เขียนเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2011 21:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ  มารับความรู้ใหม่ๆ  น่าสนใจฝึกนะคะ

ดูจะยากเหมือนกัน  บางตอนไม่ค่อยเข้าใจ  เช่นฝึกจำตัวเลข

ต้องจำตัวเลขทั้งแถวตามตัวอย่างหรือคะ  หรือยังไง? 

ตัวเลขกำหนดขึ้นเองก็ได้..รึเปล่า เช่นจำเบอร์โทรศัพท์

เลือกตอนที่เข้าใจแล้วฝึกดูก่อนครับ

ตัวเลขที่เขียนไว้เป็นเพียงตัวอย่าง

เราสามารถกำหนดชุดตัวเลขใด ๆ เอาเอง

ที่เราต้องการจะจำครับ

  • เป็นช่วงกำลังฝึก  มาเรียนรู้เพิ่ม  ค่ะ
  • ลองสรุป ความรู้จากบันทึก ท่านผศ.โสภณ   เปียสนิท

 

สุดยอดครับ การพัฒนาความจำ พลังแห่งสมอง 

สวัสดีครับ เมื่อท่านได้นำมาฝึกใช้ด้วยตนเอง

ฝึกแล้วได้ผลดีประการใดบ้าง ? หรือ พบว่ามีอุปสรรค์ใดบ้าง ?

โปรดนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง หรือ นำมาให้คำแนะนำด้วย

ก็จะเป็นการดียิ่งขึ้นครับ ขอบคุณที่ท่านให้ความสนใจ

ในเรื่องฝึกการเขียนแผนที่สมองด้วยตนเองครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท