ชีวิตที่มีความแตกต่าง


ชีวิตที่มีความแตกต่าง

"ชีวิตที่มีความแตกต่าง"

สืบเนื่องจากการรับราชการไทยในสมัยเดิมเท่าที่ผู้เขียนทราบว่าจากที่ชีวิตได้รับราชการและได้ฟังคำกล่าวเล่าจากผู้บังคับบัญชา...จากพี่ พี่ ที่รับราชการ ตลอดจนคนรอบข้างที่เป็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่รับราชการมานั้น...ส่วนใหญ่วิถีดั้งเดิมของบุคคลดังกล่าวข้างต้น จะมาจากฐานะ ครอบครัวที่ยากจนเป็นส่วนใหญ่...แต่ก็มีบ้างที่บางคน พ่อ – แม่ ก็รับราชการ มีฐานะค่อนข้างดีกว่าคนอื่น...แต่ส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนได้รู้จัก หรือได้ฟังคำกล่าวเล่าบอกว่า...พ่อ – แม่ เป็นชาวไร่ ชาวนา บางคนก็รับจ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่บุคคลดังกล่าวข้างต้น เลือกที่จะเป็นหรือจะทำให้ดีได้...พวกเขาเล่าว่า...บางคนในสมัยก่อนต้องไปหาปลา หากบ ซึ่งสมัยก่อนธรรมชาติตามท้องไร่ ท้องนา ยังสมบูรณ์มาก ผิดกับสมัยปัจจุบัน ปลากลัวยาเบื่อ กบก็กลัวสารเคมี หลบเข้าหลุมหมดแล้ว...หายากมาก ๆ จนต้องมีการเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ โดยใช้อาหารเสริมเลี้ยงเป็นปลาเลี้ยง กบเลี้ยงแล้วนำมาขายแทน...(รสชาติเลยไม่ค่อยถูกปากเหมือนกับสมัยก่อนที่ปลา กบ เป็นไปตามธรรมชาติ)...พวกเขาเล่าว่า...ถ้าจะเรียนให้สูงขึ้น ต้องหาปลา หากบ แล้วขึ้นรถไฟไปขายที่ตลาดสดในจังหวัดพิษณุโลก เพราะพ่อ – แม่ ไม่ส่งเรียน ความที่ตั้งใจจะเรียนให้สูงขึ้น กับคำที่ฝังใจว่า “รับราชการ” ในสมัยก่อน คือ การได้เป็นจ้าวคนนายคน...ความมีมานะ ความพยายาม ความอดทน ความยากลำบากสารพัด...ทำให้พวกเขาเก็บเงินเรียน ส่งตัวเองเรียน...เวลามาเรียนในตัวเมือง ก็มาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัด...เวลาไปโรงเรียนก็เดินไป...รองเท้าที่ใส่อย่างดีก็รองเท้าแตะ...รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลแทบไม่ได้ใส่เลย...บางครั้งกลางวันก็ไม่ได้รับประทานข้าวกลางวัน เพราะสตางค์มีน้อย ต้องอดบ้าง อิ่มบ้าง...พี่เขาเล่าว่า...บางครั้งต้องตำน้ำพริกมาจากบ้าน แล้วมาเก็บผักกฐินริมรั้วโรงเรียนเพื่อกินประทังท้องให้อิ่ม...

บางคนก็เข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับพระที่วัด เพราะสมัยก่อนอย่าพูดถึงเรื่องหอ...ถ้ายิ่งเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้เจอกับการที่พ่อ – แม่ ส่งไปอยู่หอหรอก เพราะพ่อ – แม่ มีลูกมาก ถ้าลูกคนไหนอยากเรียนก็หาทางหรือปัญญาส่งตัวเองเรียนเอง...(คนที่ผู้เขียนเล่าและได้ฟังมาส่วนใหญ่เป็นเพศชาย เพราะผู้เขียนมีเพื่อนชายมากกว่าเพื่อนหญิง เพื่อนหญิงมีบ้างไม่เกิน 5 คน เหตุเพราะผู้หญิงชอบนินทาและจู้จี้จุกจิก ซึ่งนิสัยผู้เขียนไม่ชอบเลยทำให้มีเพื่อนหญิงน้อยมาก และนิสัยของผู้เขียนก็จะเหมือนผู้ชายมากกว่า เลยทำให้มีเพื่อนชายมากกว่าเพื่อนหญิงเพราะตอนเรียนก็เรียนโรงเรียนชายประจำจังหวัด...การคบเพื่อนผู้ชายก็ดีไปอย่างทำให้เราได้ความแข็งแกร่ง เข้มแข็ง ความกล้าหาญติดนิสัย หรือติดตัวเรามา เวลาทำงานก็เหมือนกัน ทำให้เราเหมือนเป็นผู้นำ นี่คือ ข้อดี...ที่ตัวเรามีเพื่อนผู้ชาย...แต่คนอื่นชอบคิดในเรื่องชู้สาว เพราะสังคมไทยชอบคิดกับคนอื่นในทางที่ไม่ดี...แต่ชอบชมตัวเองว่าดี...(นี่คือ...สังคมไทยในสมัยก่อน)...ผิดกับสมัยปัจจุบัน เหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นผ่านมาประมาณ 40 – 45 ปี นี้เอง พอมาดูเหตุการณ์ในปัจจุบัน ผิดกันริบลับ...เปลี่ยนจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ...เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นกลายเป็นอดีต...บุคคลดังกล่าวข้างต้นได้ศึกษาจนจบและได้ทำงานรับราชการจนปัจจุบันตำแหน่งซี 8 (เดิม) พวกเขาบอกว่า พอมาถึงรุ่นลูก ๆ กลับไม่ลำบากเลย ลูกจะมาเรียนในเมือง อยู่หอ พ่อ – แม่ ก็หาสตางค์ให้ ขาดเหลืออะไร พ่อ – แม่ มีให้ทุกอย่าง เรียกได้ว่า ไม่เดือดร้อน...แถมลูก ๆ อยู่ในฐานะที่สบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร...แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่มีความแตกต่าง...

ทำให้เห็นว่าวิถีชีวิตสมัยปัจจุบันกับสมัยก่อนมีความแตกต่างกันมาก ๆ แต่จะมีใครบ้างไหมสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่จะเห็นถึงความลำบากของคนรุ่นเก่า ยิ่งเป็นลูก ๆ ที่จะเห็นความลำบากของพ่อ – แม่ ว่ากว่าจะได้ตำแหน่งใหญ่โต มีเงินเดือนประจำ ว่า พ่อ – แม่ มีความลำบากเช่นไร...ทำให้เห็นว่า เหตุการณ์ในอดีตกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่บุคคล ๆ นั้น ตระหนักและนึกถึงในมโนความคิดของแต่ละบุคคลว่า การที่ตนเองได้รับราชการนั้น ไม่ได้มาด้วยความสบาย สวยหรู เหมือนที่คนอื่นได้มองเห็น...เช่นเดียวกับ...การปลูกดอกกุหลาบ ที่คนอื่นเห็นตอนกุหลาบออกดอกสวยงาม เขาจะชมว่าดอกกุหลาบที่เราปลูกนั้นสวยงาม...แต่คนอื่นจะทราบบ้างหรือไม่ว่า กว่าจะเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามนั้น...ผู้ปลูกผ่านขั้นตอนที่ลำบากมาอย่างไรบ้าง?...ไม่มีใครรู้ นอกจากผู้ปลูกท่านนั้นเอง...เช่นเดียวกับบุคคลดังกล่าวข้างต้น...เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่ผ่านมานั้น นั่นคือ...ประสบการณ์ของท่านเอง...ที่เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป...แล้วเด็กรุ่นใหม่ล่ะ ท่านคิดหรือไม่...ว่าชีวิตท่านสุขสบายกว่าคนรุ่นเก่ามาก ๆ เลย...แล้วก็อยากเห็นประสบการณ์ของเด็กรุ่นใหม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?...มีความมานะ มีความอดทน มีความพยายาม มีความเพียร เหมือนกับคนรุ่นเก่าหรือไม่?...เป็นสิ่งที่ผู้เขียนและบรรพบุรุษอยากเห็นและต้องการให้เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่และสังคมไทยในอนาคตค่ะ...

“ขอขอบคุณพี่ พี่ ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเอง

ให้ผู้เขียนได้นำมาเล่าต่อให้ผู้อื่นได้อ่านค่ะ”

หมายเลขบันทึก: 414736เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2010 09:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 เมษายน 2016 14:55 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีปีใหม่ค่ะ อาจารย์

หนูมีเรื่องอยากเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับระบบพนักงานราชการ

คือหนูได้ยินพี่ที่โรงเรียนบอกหนูว่า ถ้าหนูทำงานครบ 5 ปี ทางราชการจะลดเงินเดือนพนักงานราชการทุกคนให้เหลือ เท่าฐานวุฒิปริญญาตรี อันใหม่ 8700 ไม่มีการขึ้นเงินเดือน ไม่มีค่าครองชีพ หนูอยากให้อาจารย์ช่วยตอบให้หายข้องใจที เพื่ออาจารย์จะได้ข่าวเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพนักงานราชการบ้าง

ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

มะนาว

ตอบ...คุณมะนาว...

  • การทำสัญญาจ้างพนักงานราชการ จะทำทุก 4 ปี นะค่ะ...ไม่ใช่ 5 ปี ค่ะ...
  • สำหรับการลดเงินเดือนพนักงานราชการ ฯ พี่ก็ยังไม่เคยได้ยินนะค่ะ เพิ่งจะได้ยินจากคุณนี่แหล่ะค่ะ...ข่าวก็ยังเป็นข่าวค่ะ เอาให้ทราบเรื่องจริง ๆ แล้วพี่จะรีบนำมาแจ้งให้ทราบก็แล้วกันนะค่ะ...
  • อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องใดง่าย ๆ ค่ะ...ถ้ายังไม่มีเรื่องหรือหลักฐานที่แท้จริงค่ะ...

ขอขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ที่เป็นกำลังใจให้พนักงานราชการทุกคน วันที่หนูได้ยินพี่ที่โรงเรียนพูดหนูใจไม่ดีเลย เพราะหนูทำงานใกล้จะครบ 5 ปีแล้ว ขนาดหนูอธิบายว่าพนักงานราชการเงินเดือนสองหมื่นกว่ายังมีเลย พี่เขาบอกไม่มี แล้วหนูอธิบายว่าพนักงานราชการขั้นพิเศษยังมีเลย เขาถามหนูว่ารู้มาจากไหน หนูบอกว่า พูดแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์คนหนึ่งในเว็ป พี่เขาบอกว่าในเว็ปเชื่อถือไม่ได้หรอกใครก็เขียนลงได้เราตรวจสอบประวัติเขาไม่ได้จริง

แต่อย่างไรหนูก็เชื่อมั่นในตัวอาจารย์ เพราะหนูเพิ่งใส่ชุดปกติขาวไปรับปริญญาโท มาแล้ว

มะนาว

ขอบคุณค่ะ...การที่เขาพูดนั้น...อาจแสดงว่าส่วนราชการนั้นไม่ต้องการจ้างเราก็ได้ค่ะ...เขาถึงพูดเช่นนั้น...แต่ขอบอกว่าที่ มรพส.ที่พี่อยู่ พี่ดำเนินการเอง ตอนนี้ พนักงานราชการดังกล่าวบรรจุมาตั้งแต่ปี 2548 แล้วค่ะ...เราเคยสอบถามไปที่ คพร. ว่าถ้าจ้างต่อไป เราจะต้องมาเริ่มเงินค่าตอบแทนใหม่หรือไม่ คพร. ตอบมาว่า ไม่ต้อง ให้จ่ายค่าตอบแทนต่อไปได้เลยค่ะ...เป็นลักษณะโครงการต่อเนื่อง...แต่บางส่วนราชการอาจไม่ใช่ในลักษณะของ มรพส. ก็ได้นะค่ะ...ลองศึกษาใน ถาม - ตอบ 108 คำถามที่พี่นำลงในเว็บสิค่ะ...อ่านมาก ๆ ค่ะ จะได้ทราบความเป็นมาของเรื่องตนเอง ปัจจุบันจะมีคนที่ไม่ค่อยรู้จริงหรอกค่ะ...นอกจากเราเรียนรู้ด้วยตนเอง...และสอบถามจากผู้ที่รู้จริง ๆ ค่ะ...สำหรับพนักงานราชการขั้นพิเศษ คงต้องอาศัยระยะเวลาด้วยค่ะ...ต้องเป็นการจ้างจากผู้ที่มีประสบการณ์ ความรู้ มาก ๆ ค่ะ...ที่ มรพส. พนักงานราชการ ก็มีค่าตอบแทนประมาณ 13,000 บาท ขึ้นไปแล้วค่ะ...เอาไว้ได้มากเมื่อใด ผู้เขียนจะนำมาเขียนให้ทราบก็แล้วกันนะค่ะ...(อีกอย่างการดำเนินการในการของบประมาณ ขึ้นอยู่ที่ฝ่ายแผน + งานการเจ้าหน้าที่ด้วยว่า เสนอของบประมาณในการจ้างไปแบบไหนค่ะ)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท