ย้อนรอยเส้นทาง PhD ของโอ๋-อโณ (6): เรื่องประทับใจเกี่ยวกับอาสาสมัครในงานวิจัยต่างๆ


ความจริงในต้นฉบับที่ลงในวารสารสายใยพยา-ธิต่อจากตอนที่แล้ว จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานที่ทำในแล็บ แต่อ่านดูแล้วคงจะทำให้คนอ่านบล็อกนี้ปวดหัวเป็นแน่แท้ แต่ก็น่าจะเอามาเล่าไว้ จะนำไปลงไว้ในบล็อก ประสบการณ์งาน Molecular มาแลกเปลี่ยน แล้วค่อยมาลิงค์ไปจะดีกว่า ก็เลยข้ามไปจนถึงเรื่องอาสาสมัครที่มาร่วมเป็นกลุ่มทดลองให้งานของเราเลยค่ะ อ่านเองอีกก็ยังประทับใจทุกท่านเลย


งานวิจัยที่ทำช่วงหลังๆจะเป็นงานที่ต้องการอาสาสมัครทั้งสิ้น เริ่มจากตอนที่พัฒนาการทดสอบวัดปริมาณ RNA ต้องทำการเก็บ sample จากคนเดียวกันในช่วงต่างๆของวัน และห่างกัน 2 สัปดาห์ ต้องขอ sample จากเพื่อนๆนักศึกษาและนักวิจัยที่ Royal Perth</strong> นั่นแหละ ทั้งหมด 10 คน น่าประทับใจที่ทุกคนตอบรับทันทีที่ขอ </span>

ต่อมาเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบการเผาผลาญไขมันในคนที่มี gene variant คนละกลุ่ม การวิจัยนี้เราต้องโทรไปติดต่อกับคนที่เป็นอาสาสมัครเพื่อให้มาร่วมโครงการ  จะขอเล่าขั้นตอนในการเข้าถึงอาสาสมัครเป็นตอนต่างหากเพราะชอบระบบของเขาอีกเหมือนกัน ตอนนี้เล่าความประทับใจเกี่ยวกับคนที่มาก่อน เรามีเป้าหมายไว้กลุ่มละ  10 คน ขบวนการในการร่วมเป็น subject ให้เรานั้นไม่ธรรมดาเลย ตอนที่ร่างจดหมายกันเพื่อเป็นข้อมูลแจ้งแก่อาสาสมัครว่าเราจะทำอะไรบ้างนั้น อ่านดูเองแล้วก็คิดว่าจะมีใครยอมมาเป็น subject ให้หรือนี่ เพราะเราต้องบอกขั้นตอนอย่างละเอียดว่าเขาจะต้องมาทำอะไรบ้าง ข้อดี ข้อเสียของการปฏิบัติตามขั้นตอนนั้นๆ เริ่มกันตั้งแต่ต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย  2 วันและอดอาหารอย่างน้อย 10 ชั่วโมงก่อนจะมาให้เราเจาะเลือดตอนเช้า ประมาณ 7 โมง แล้วก็ต้องดื่ม milk shake ที่ประกอบด้วยไขมันปริมาณมากกว่ามื้ออาหารปกติพร้อมๆกับกินวิตามิน A เพราะเราต้องการติดตามการเผาผลาญไขมันโดยใช้วิตามินเอ เป็น marker ต่อจากนั้นก็ยังคงต้องงดอาหารเป็นเวลาอีก 10 ชั่วโมง โดยเราจะเจาะเลือดทุก 1-2 ชั่วโมงไปจนครบเวลา ในข้อมูลเหล่านี้รวมทั้งตอนที่เราโทรติดต่อ เราต้องแจ้งละเอียดและยืนยันให้มั่นใจว่าเขาเข้าใจว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยผลดีที่จะได้ต่อตัวอาสาสมัครมีเพียงว่าจะรายงานค่าไขมันต่างๆที่เราตรวจให้เท่านั้นเอง แต่เขาต้องเสียเวลาทั้งวันอยู่กับเราที่โรงพยาบาล ปรากฎว่าเราได้อาสาสมัครจำนวนเกือบครบตามเป้าหมาย โดยที่ทุกรายเป็นคนทำงานที่ยอมสละเวลามาเพื่อเป็น subject ให้เรา ตัวเองรู้สึกประทับใจกับทุกคนที่ได้เจอ เพราะเราต้องพบกันทุก 1-2 ชั่วโมงทั้งวันเลย

ตัวเองจึงคิดขึ้นมาว่าไหนๆเขาก็อยู่กับเราทั้งวัน จึงขออาจารย์พาอาสาสมัครเข้าไปในห้อง lab ให้เขาได้ดูว่าเราเอาเลือดเขาไปทำอะไรบ้าง ระหว่างนั้นก็อธิบายให้ฟังและตอบข้อซักถามที่เขามี ได้พบว่าทุกคนเป็นคนมีจิตใจสาธารณะจริงๆ ทำเพราะเห็นว่างานวิจัยแบบนี้จะช่วยให้เราค้นพบวิธีการแก้ปัญหาโรคหัวใจก่อนวัยอันควร อ้อ ลืมบอกไปว่ากลุ่มนี้เป็นคนที่เคยบริจาคเลือดเพื่อเป็น control DNA ให้แก่โรงพยาบาล Royal Perth มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว อายุอยู่ระหว่าง 40 – 50 ปีและให้ความร่วมมือเป็น subject ให้กับงานวิจัยต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่ที่แตกต่างก็คืองานอื่นๆส่วนใหญ่จะเป็นแค่มาทำอะไรในช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง เพิ่งมีอันของเรานี่แหละที่ขอเขาทั้งวัน แถมให้อดอาหารอีกต่างหาก ตัวเองก็เลยทำขนมถั่วกรอบแก้วที่ได้สูตรมาจากพี่คนไทยที่มาเรียนเหมือนกัน ที่พบว่าฝรั่งชอบ เอาใส่ขวดโหลให้เป็นของที่ระลึก กับขอให้คุณสามีช่วยทำแกงใส่กล่องพร้อมข้าวสวย เอาเตรียมไว้ให้อาสาสมัครหลังจากเจาะเลือดครั้งสุดท้ายตอนประมาณ 5-6 โมงเย็น พบว่าทุกคนที่มาชอบมากและดีใจที่ได้สิ่งที่เขาไม่คิดว่าเราจะเตรียมไว้ให้ แถมด้วยว่าทุกคนชอบอาหารไทย มีหลายคนที่ส่งโน้ตหรือการ์ดมาขอบคุณและอวยพรให้เราเรียนจบกลับบ้านไวๆสมใจปรารถนา เขารู้จากตอนที่เราคุยกันระหว่างพาชม lab  ระยะเวลาที่ทำงานโครงการนี้ก็รวมแล้วเกือบๆปีครึ่ง และผ่านมาแล้วถึง 2-3 ปีก็ยังจำทุกคนได้อย่างละเอียด จะขอเล่าคนที่เด่นๆให้ฟังสัก 2-3 คนในตอนหน้านะคะ


อ่านซ้ำเองก็ยังคิดถึงทุกคนได้อยู่เลยนะคะนี่

หมายเลขบันทึก: 102641เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2007 00:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม 2014 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

โฮโห ไม่น่าเชื่อนะคะ

ถามตัวเองว่าอ่านแล้วจะสมัครไหม เอ้อ ขอคิดก่อน ถามอีก ก็คงบอกว่า  อื๋อ  ขอคิดต่อก่อน

อดข้าว โดนเจาะเลือด มาเฝ้าอยู่ตั้ง 10 ชั่วโมง

น่ารักจังนะคะ อาสาสมัครเหล่านี้

เชื่อว่า  ต้องมีจุดก่อกำเนิดจากคน คิดดี ทำดี อย่างอ โอ๋ ค่ะ

นั่นสิคะ คุณหมอหน่อย ตอนแรกนั้นลุ้นมากเลยค่ะ เป็นตัวเองก็คงไม่ทำเหมือนกัน ก็เลยประทับใจมากๆค่ะ ทั้ง 10 คนที่ทำนั้นน่าประทับใจหมดเลย ทำให้รู้สึกเลยว่า เราต้องทำดีเพื่อคนอื่น เพื่อโลกนี้ต่อๆไปค่ะ เพราะแต่ละท่านไม่หวังผลอะไรตอบแทนเลย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กับใจเรามากๆค่ะ

ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งคนดีๆที่พบเจออยู่เสมอในชีวิต เป็นจุดกำเนิดให้โอ๋เองอยากทำดี เพื่อคนอื่นมากยิ่งขึ้นมากกว่าค่ะ รู้สึกว่าเราโชคดีมากแล้ว เราต้องให้ ให้สมกับที่เราโชคดีอยู่เสมอและเป็นการตอบแทนคนที่เขาทำดีๆกับเราโดยไม่หวังอะไรตอบแทนนั่นเองค่ะ

ชอบคำว่า pay it forward มากๆค่ะ ได้ฟังมาบ่อยๆเวลาใครทำอะไรให้เราแล้วเราถามว่า แล้วเราจะตอบแทนเขายังไงดี ก็คือให้เราทำให้คนอื่นๆต่อๆไปน่ะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท