สวัสดีครับชาว Blog และลูกศิษย์ กฟผ. รุ่น 3 ทุกท่าน
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ คือ เป็นผู้จัดโครงการพัฒนาภาวะผู้นำและผู้บริหารมือาชีพของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งปีนี้ก็นับเป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับการจัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ. ผมรู้สึกชื่นชมในวิสัยทัศน์ของท่านผู้ว่าฯ ไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการฯ คนปัจจุบันของ กฟผ. ซึ่งท่านให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรมาก ทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่องตลอดมา และต้องขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความไว้วางใจให้ผมสานต่องานที่สำคัญนี้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
การจัดโครงการพัฒนาภาวะผู้นำ และผู้บริหารมืออาชีพของ กฟผ.ทุกรุ่นที่ผ่านมาผมได้พยายามปรับปรุงคุณภาพของหลักสูตรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รุ่นที่ 1ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้น กฟผ. ยังเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจซึ่งมีแนวโน้มในเรื่องที่จะแปรรูปไปเป็นบริษัทมหาชนอยู่บ้างแต่ยังไม่ชัดเจนมากนัก สำหรับรุ่นที่ 1 มีผู้เข้าร่วมโครงการรวม 18 ท่าน (ซึ่งปัจจุบันก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการฯ กันไปแล้วกว่าครึ่ง) เนื่องจากจำนวนไม่มากนักเนื่องจากเป็นโครงการนำร่อง ทำให้เรามีโอกาสได้เดินทางไปทัศนศึกษาดูงานไกลถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนั้นเราได้ไปเข้าเรียนหลักสูตร Global Development Program ที่ Business School มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็เข้าเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของเมืองซีแอตเติ้ล ซึ่งกระแสตอบรับจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการก็ดีมาก จนกระทั่งผมได้รับความไว้วางใจให้จัดโครงการต่อเนื่องสำหรับรุ่นที่ 2
โครงการพัฒนาภาวะผู้นำ และผู้บริหารมืออาชีพของ กฟผ. รุ่นที่ 2 มีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 31 คน สถานการณ์ของกฟผ. ในช่วงนี้เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการแปรรูปฯ ซึ่งมีแนวโน้มและความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ดังนั้น หลักสูตรสำหรับรุ่นนี้ผมก้ได้ปรับเนื้อหาบางส่วนให้ตรงประเด็น และเข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปทัศนศึกษาดูงาน ณ เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเน้นการเข้าไปดูตัวอย่างของกรณีศึกษาของรัฐวิกตอเรียซึ่งได้ทำการแปรรูปหน่วยงานที่ดูแลเรื่องไฟฟ้า ( Privatization ) ไปแล้ว 100% การมีโอกาสได้เรียนรู้จุดอ่อน จุดแข็งของการแปรรูปฯ จากรัฐบาล รัฐบาลท้องถิ่น นักธุรกิจ และนักวิชาการของออสเตรเลียทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ นำความรู้ที่ได้รับมาประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ยังได้เข้าเรียนหลักสูตรระยะสั้น (2 วัน) ที่ School of Enterprise, University of Melbourne ประเทศออสเตรเลีย
สำหรับโครงการพัฒนาภาวะผู้นำ และผู้บริหารมืออาชีพของ กฟผ. รุ่นที่ 3 นี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 34 คน ซึ่งทุกท่านเป็นผู้บริหารระดับผู้อำนวยการฝ่ายผู้มีสมรรถนะและความสามารถที่จะก้าวขึ้นเป็นระดับผู้ช่วยผู้ว่าการฯ เช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา การเรียนรู้ในโครงการนี้ประกอบด้วย การเรียนรู้หลักสูตร 60 ชั่วโมง (ภายในประเทศ) และจากนั้นจะเดินทางไปทัศนศึกษาดูงาน ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นเวลา 8 วัน
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้นเป็นพิธีเปิดโครงการฯ ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณอภิชาติ ดิลกโสภณ รองผู้ว่าการบริหารของ กฟผ. เป็นประธานในพิธีซึ่งผมก็ถือโอกาสขอบคุณท่านอย่างสูงมา ณ ที่นี้ด้วย บรรยากาศของงานพิธีเปิดฯ ในวันนั้นดีมากทีเดียวเพราะผมได้มีโอกาสได้รู้จักและได้รับฟังความคิดเห็นต่อโครงการฯ และความคาดหวังจากทุกท่านซึ่งจะทำให้หลักสูตรที่ผมและทีมงานตั้งใจจัดขึ้นในครั้งนี้นั้นตรงกับความต้องการ และจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านอย่างแท้จริง ซึ่งผมก็ได้ให้ทีมงานสรุปความคิดเห็นของทุก ๆ ท่านในวันนั้นมาไว้ใน Blog นี้ด้วย และก็ตั้งใจว่าจะใช้ Blog นี้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และเป็นคลังความรู้ของพวกเราต่อไปครับ <p> จีระ หงส์ลดารมภ์ </p>
เดินทางไปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าและเหมืองที่แม่เมาะ
วันศุกร์ที่ 20 ก.ค. 50
ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่เรือนรับรอง
บริเวณด้านหน้าเรือนรับรอง
ชมภูมิทัศน์จำลองของเหมืองและโรงไฟฟ้า
เข้าชมพิพิธภัณฑ์
จุดชมวิวบนภูเขาเทียม
</span>
เรียน
ศ.ดร.จิระ
จากการอ่านหนังสือทั้งสองเล่มที่อาจารย์ให้มาประกอบการเรียน ขอสรุปและวิจารณ์ดังนี้ 1. เกิดแรงกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น และคงต้องเพียรพยายาม อดทน และเพิ่มความมุ่งมั่นให้มากขึ้น2. กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่าต้องปรับปรุงตัวเองในเรื่อง IT และภาษาอังกฤษ 3. การที่คนเราจะอยากได้หรืออยากเป็นต้องสร้างขึ้น ต้องลงทุน เริ่มด้วยพ่อแม่ สังคม ประเทศชาติ และที่สำคัญ คือ ตัวเราเอง4. โอกาสของคนเราไม่เท่ากัน แต่ไม่ควรท้อ ต้องพยายามค้นหาโอกาส5. การที่คนเราจะประสบความสำเร็จ พื้นฐานครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ Human Capital สำคัญสุด ตามด้วย Intellectual + Talent Capital นอกจากนั้นยังต้องเสริมด้วย Social , Happiness + Digital Capital 6. เห็นด้วยว่า การสร้างผู้นำในองค์การ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำ และทำต่อเนื่อง7. ขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม คือ ขอเสนอเรื่องความสำคัญของสุขภาพ Heath Capital เพราะถ้าสุขภาพกาย สุขภาพจิต และ EQ ไม่ดี สิ่งที่ลงทุนไปมากมาย จะไม่ได้กลับคืนมา และยังขาดทุนในการดูแลรักษาอีกด้วยผมขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม Blog ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณหมอที่ได้อ่านหนังสือของผม และได้วิจารณ์มาครับ ขอบคุณครับ เป็นประโยชน์มาก
ทั้งนี้ ผมอยากให้ทุกคนเป็นสังคมการเรียนรู้ และใช้ Blog เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ระหว่างที่มีการจัดการเรียนรู้ และจบการเรียนรู้ไปแล้วครับ จีระ หงส์ลดารมภ์เรียน ท่านอาจารย์จีระ และเพื่อน ๆ SEDP-2
เมื่อวานนี้ (17 พ.ค. 50) ได้ยืมหนังสือที่ห้องสมุดจำลองของออาจารย์คิดว่าชื่อเรื่องน่าสนใจตรงกับที่กลุ่ม 3 ของเราได้นำเสนอออกไปเรื่องประชาสัมพันธ์ หนังสือ ชื่อ CEO PR & Image เขียนโดยคุณพจน์ ใจชาญสุขกิจ เพื่อน ๆ กลุ่ม 3 ก็เลยแสดงบทบาท Leadership โดย More use other brain to make more knowledge มอบหมายให้ไปอ่านแล้วมาเล่าให้ฟังด้วย ก็เลยใช้เวลาหลังจากกลับจาก Party แล้วประมาณ 1 ชั่วโมง อ่านแบบ Fast Reading ตามที่เคยไปเข้าอบรมมา รู้สึกว่ามัน “โดนใจ” หรือ จะเรียกว่า “โป๊ะเชะ” ก็ได้
- ภาพลักษณ์ของ CEO เชื่อมโยงอย่างมากต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและ PR จะมีส่วนช่วยสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของ CEO และองค์กร”
- CEO กับ PR ในการบริหารวิกฤต
“CEO เป็นใคร” ตอนแรกก็นึกแต่ว่า CEO คือผู้ว่าการ พออ่านไปได้ความคิดใหม่กับตัวเองนะคะว่า CEO คือทุกคนในองค์กร และที่สำคัญที่สุด พวกเราชาว SEDP-3 นี่แหละคะ คือ CEO (ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลกันทุกคนนะคะ) แต่หมายความว่าเราคือภาพลักษณ์ของ กฟผ.ของสายงานของหน่วยงานของครอบครับ และของสังคม
ดังนั้น CEO ต้องให้ความสำคัญกับ PR เป็นแบบ Strategic Partner แล้วเราอาจจะบ่นน้อยลงว่า “เราทำงานเหนื่อยแทบตาย ทำดี ทำประโยชน์ตั้งเยอะแยะ ทำไมนะลูกน้องก็ยังไม่ค่อยเชื่อฟังแล้วทำงานไม่ได้ดั่งใจ นายก็ไม่ค่อยรัก ชุมชนก็ไม่ค่อยเชื่อ รัฐบาลก็ไม่ค่อยเข้าใจเรา และลูกทำไมไม่ชอบคุยกับเรา”
สุดท้ายนะคะ ขอเชิญชวน SEDP-3 ไปอ่านหนังสือ CEO PR&IMAGE สักนิดนะคะ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณอาจารย์ที่จัดทำห้องสมุดจำลองค่ะ วันนี้จะลองไปเลือกเล่มอื่นมาอ่านต่อบ้างค่ะ
สุนันทา เกียรติศิรกุล
Dear Sir,
I just want to try whether I can access to the blog or not. After two days at Cha-Am I am looking forward to the study next week at The Grand. The HR topic is always in my interest so I am glad to have this chance participating in this class. I have to apologize to others that I have to write in English because it will take me forever to write in Thai.
Best regard,
Nipon P.
ไล่ล่าความเป็นเลิศ ด้วยทฤษฎี 8 H’s
ทฤษฎี 8 H’s เป็นทฤษฎีที่ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ คิดขึ้นขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้
ข้าราชการในกระทรวงนำแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ เมื่อได้มีโอกาสได้อ่าน ทำความเข้าใจในแนวคิดของท่านแล้ว เห็นว่าน่าจะสรุปออกมาเป็นหัวข้อที่ เกี่ยวข้องใกล้เคียงกับ องค์กร กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) และน่าจะนำไปปฏิบัติ ดังนี้
1. มีวัฒนธรรมที่ดี (Heritage)องค์กรมีวัฒนธรรม ที่สะสมกันมายาวนาน จนรู้สึกเคยชิน เช่น ผู้บังคับบัญชาไม่สั่งไม่ทำ ทำเฉพาะที่สั่ง นายถูกเสมอห้ามโต้แย้ง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
วัฒนธรรมที่ดี ก็คือ การให้โอกาสผู้ร่วมงานทุกระดับได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน มีวิสัยทัศน์
มีวัฒธรรมของการทำงานเป็นทีม มีการเรียนรู้ร่วมกัน กล้าแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ยอมรับในความสามารถความคิดของกันและกัน เกิดกิจกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยผลักดันองค์สู่ความเป็นเลิศ
2. มีความคิดสร้างสรรค์ (Head) นอกจากที่ทุกคนต้องมีความรู้ในงานที่รับผิดชอบแล้ว ยังต้องมีความคิด วิเคราะห์ ริเริ่ม สร้างสรรค์ การที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยการช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ปัญหา สร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ
จะช่วยให้ภาระกิจสำเร็จสู่จุดหมายอย่างมีประสิทธิผลที่ดีที่สุดได้
3. ลงมือทำ (Hand)หากไม่ลงมือทำก็จะไม่รู้ปัญหาหรืออุปสรรค์ เมื่อลงมือทำทันที จะพบความสำเร็จ เมื่อมีปัญหาก็แก้ปัญหา ลงมือทำจะได้รู้วิธีการทำ มีการปรับปรุงวิธีการ ช่วยเพิ่มทักษะ และเพิ่มประสบการณ์
4. มีความรักในงานที่ทำ (Heart)การทำงานด้วยความรักเป็นหัวใจของความสำเร็จ เพราะเมื่อมีความรักในงาน ก็มีความสุขกับการทำงาน ไม่ทำอย่างซังกะตาย มีความใส่ใจในงานที่รับผิดชอบ มีความคิดสร้างสรรค์ ทุ่มเท และไม่เครียด
5. มีสุขภาพดี (Health)สุขภาพที่ดีสามารถดูเป็น 2 แง่ คือสุขภาพองค์กร กับสุขภาพ ของคน สุขภาพองค์กร ก็คือสุขภาพทางการเงินที่ดี ซึ่งมีผลต่อการดำเนินกิจการ และมีโบนัสเป็นผลลัพท์ส่วนสุขภาพ ของคน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สุขภาพทางจิต และสุขภาพทางกายสุขภาพทางจิตที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตใจดี แจ่มใส ไม่เครียด ช่วยให้องค์กรมีความโปร่งใส สุขภาพทางกายที่ดี ช่วยให้มีความสุข สมองปลอดโปร่ง สามารถทุ่มเทให้กับองค์กรอย่างเต็มที่ มีสิ่งแวดล้อมที่มีความสุข ไม่หดหู่
6. มีทีมงานที่ดี (Home)ทีมงานที่ดี มีความอบอุ่น เหมือนครอบครัวเดียวกัน ช่วยเหลือกันอย่างเสียสละ เอาใจใส่ให้คำปรึกษากันและกัน สร้างประชาคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
7. มีความสุขในการทำงาน (Happiness)ความสุขกับการทำงาน ช่วยให้มีความรักในงานที่ทำ ในทำนองเดียวกันการทำงานด้วยความรักช่วยให้มีความสุข และเป็นหัวใจของความสำเร็จ เพราะไม่ทำอย่างซังกะตาย ไม่เครียด มีความคิดพิจารณาปรับปรุงพัฒนาการทำงาน
8. มีสิ่งแวดล้อมที่ดี (Harmony)องค์กรที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี คือองค์กรที่มีความปองดอง สมานฉันท์ สอดคล้อง กลมเกลียว ประนีประนอม ใฝ่สันติ ล้วนมีส่วนช่วยให้สมาชิกร่วมกันขับเคลื่อนองค์ไล่ล่าสู่ความเป็นเลิศได้
ในความเห็นของผม เห็นว่า H ตัวที่ 5 คือ มีสุขภาพดี สำคัญที่สุด ทั้งนี้เพราะ ปัญหาสุขภาพเป็นตัวถ่วงสำคัญ ขององค์กร ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกในองค์กรมีสุขภาพดี ก็จะมีส่วนส่งเสริมให้ H อื่นๆ ดำเนินไปได้ดีด้วยการมีสุขภาพดี จะช่วยให้มีสมองที่ปลอดโปร่ง แจ่มใส มีความคิดใหม่ๆ ออกมา มีเวลาให้กับงาน สุขภาพจิตที่ดี ช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี บรรยากาศการทำงานดี เพื่อนร่วมงานพลอยมีความสุขในการทำงาน
การมีสุขภาพไม่ดี จะบั่นทอนทุกอย่าง
บั่นทอนสุขภาพ ทำให้ร่างการขาดความกระฉับกระเฉง สมองล้า มีภาระ เช่น ต้องคอยรับประทานยา(เป็นประจำ) ทุกวัน ต้องไปหาหมอบ่อยๆ
เวลา ต้องไปหาหมอบ่อยๆ แต่ละครั้งใช้เวลานาน ต้องลางาน ลูกเมียต้องเสียเวลามาคอยดูแล
กำลังสติปัญญา กำลังสติปัญญาลดทอนลง เป็นกังวล ขาดความสุขมีข้อสรุปที่ได้อ่านเจอจากเอกสารด้านสุขภาพ ต่างๆ สิ่งสำคัญที่จะมีผลต่อสุขภาพ เป็นข้อสรุปอย่างคนที่ไม่ใช่หมอ ได้ดังนี้
อาหาร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่รสเค็มจัด อาหารไขมัน
การออกกำลังกาย ออกกำลังกายเป็นประจำ
ไม่นำพิษสู่ตัว ลดสุรา (ไม่ใช้คำว่างดสุรา เพราะว่าดื่มสุรานิดหน่อยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่รู้ว่าพี่หมอจะว่าหรือเปล่า) งดบุหรี่ (ใช้คำว่างด เพราะเห็นว่าการสูบบุหรี่ ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย)
มีจิตที่แจ่มใส มีจิตใจแจ่มใส ร่าเริง ไม่เครียดจึงควรกำหนดไว้ในหลักสูตรผู้บริหาร และหลักสูตรต่างๆ ตั้งแต่ระดับต้นๆ ให้เห็นความสำคัญของสุขภาพ และมีกิจกรรมที่ช่วยสร้างสุขนิสัยที่ดี โดยการป้องกันไว้ดีกว่าแก้
ขอขอบคุณพี่หมอ (หมอนงนุช อังกุราภินันท์) รองประธานของรุ่น ที่ได้ดำเนินกิจกรรมหลายอย่างเพื่อส่งเสริมการรักษาสุขภาพของทุกๆคนภายใน กฟผ. ทั้งยังเป็นที่ปรึกษา ด้านสุขภาพแก่พวกเรา ตลอดมา
ทฤษฎี 8 H’s มีอยู้แล้วในอากาศ เพียงแต่ สรุปออกเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น พวกเราทุกคนผ่านหลักสูตรอบรมพัฒนาบุคลากร พัฒนาสู่ความเป็นเลิศ มีเครื่องมือประกอบมากมาย เช่น KPI, BSC, Competency เป็นต้น แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถไล่ล่าให้ทฤษฎี 8 H’s สามารถนำมาใช้ปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ อย่างจริงจัง จนเป็นวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรได้
การที่ ต้องมาสรุปทฤษฎี 8 H’s ตามการบ้านของอาจารย์ จิระ ทำให้เครียด เพราะต้องเจียดเวลามาอ่าน
2 พลังความคิด ชีวิตและงาน ของ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และศ. ดร. จิระ หงส์ลดารมภ์ ที่สำคัญคือต้องสรุปมาเป็นรายงานฉบับนี้ อดดู DVD ที่ตั้งใจไว้ แต่ก็คิดว่าจะได้ประโยชน์ต่อทุกคนที่มีโอกาสได้อ่านการอ่านแล้วสรุปทำรายงาน ต้องใช้พลังสมองและเวลา กว่าการอ่านผ่านๆ และต้องคิดวิเคราะห์ตามไปด้วยจึงมีประโยชน์กว่าการอ่านแบบผ่านๆ
ขอขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจอ่าน สวัสดีครับ
นายวิรัช โรจนพิทยากร
21 พฤษภาคม 2550
เรียน อาจารย์และทีมงานทุกท่าน เมื่อวันแรกที่ได้รับบันทึกให้มาอบรมด้านทรัพยากรมนุษย์ มีความรู้สึกว่าในระหว่างการทำงานที่ กฟผ. ก็ได้รับการอบรมด้านทรัพยากรมนุษย์มาหลายหลักสูตร ทั้งที่เป็นการอบรมโดยตรงหรือเป็นส่วนหนึ่งของการอบรม ทำให้มีความรู้สึกว่าจะเหมือนๆ กับที่เคยอบรมมาแล้วหรือไม่ เมื่อได้มาฟังอาจารย์บรรยายทฤษฎีเกี่ยวกับ 8 H และ 8 K ก็ทำให้ได้ความคิดที่หลากหลายมากขึ้น เมื่อนึกถึงการบริหารด้านบุคคล ผมเองจะนึกถึงเรื่อง 1. การวางแผนบุคคล 2. การมีส่วนร่วม 3. การพัฒนา 4. ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม 5. การประเมินผลและการให้รางวัล (Promotion) ในองค์กรผมเองก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นจำนวนมาก เมื่อไปพบปะ ผมเองก็จะพยายามพูดให้ทุกคนได้ทราบว่าทุกๆคนมีความสำคัญต่อองค์กร เปรียบเสมือนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่ความสำเร็จ เพราะฉะนั้นการที่ท่านพารณได้ให้ความสำคัญกับบุคลากรขององค์กรนั้น ผมมีความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และผมเองก็ยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน และเมื่อได้มาเรียนรู้กับอาจารย์และทีมงานของอาจารย์ทำให้ได้ความรู้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานที่เป็นทีมที่ดี ส่วนในด้านการทำงาน ผมยึดหลัก 4 ข้อ 1. ทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2. มีคุณธรรม 3. มีจริยธรรม 4. โปร่งใส อีกส่วนหนึ่ง ในการจัดการด้านการฝึกอบรมในครั้งนี้ ผมเองมีความสนุกในขบวนการการสอนของอาจารย์ เพราะไม่ใช้วิธีการสอนเหมือนอยู่ในห้องเรียนสมัยเรียนหนังสือตอนเป็นเด็กๆ เพราะอาจารย์ได้ใช้ประสบการณ์จริงมาเล่าสู่กันฟังผสมผสานกับทฤษฎีที่มีอยู่ในตำรา ส่วนอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็ได้มีแบบฝึกหัดซึ่งทำให้ผู้เข้ารับการอบรมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนางานด้านทรัพยากรมนุษย์ ผมหวังว่าเมื่อผ่านหลักสูตรนี้แล้ว จะได้นำประสบการณ์จากการเข้ารับการฝึกอบรมในครั้งนี้ไปใช้ปฏิบัติงานจริง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับองค์กรมากที่สุด นายชูยศ สุธารัตนชัยพร 21 พฤษภาคม 2550 เวลา 08.30 น.
|
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์จีระ และเพื่อนๆทุกท่าน
ได้อ่านข้อความที่เขียนในBlog.ในหัวข้อต่างๆแล้ว เห้นว่าเป็นประโยชน์ ให้ข้อคิดมากมาย เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่ดี รวมทั้งเป็นช่องทางสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย
รู้สึกชื่นชมที่ท่านอาจารย์ได้สละเวลาให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปผ่านทางรายการวิทยุ และยังเดินทางไปพบปะกับผู้นำชาวบ้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับชุมชนและประเทศ น่าจะช่วยให้ประเทศเรามีผู้นำที่ดี มีคุณธรรม และยังเป็นคนเก่ง เพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก้ตาม การสร้างผู้นำ หากได้เริ่มต้นสร้างตั้งแต่ยังเด็ก ในวัยเรียน โดยการให้แนวทางที่ถูกต้อง ปลูกฝังให้เป็นผู้นำที่ดี มีคุรธรรม และให้โอกาสในการเรียนเพื่อเป็นคนมีความรู้ความสามารถ เป็รคนเก่ง ก็ยิ่งน่าจะได้ประโยชน์ ระบบการศึกษาของเราควรจะต้องปรับปรุงเพื่อสร้างทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี
สุดท้ายนี้ ขอเชิยชวนเพื่อนๆให้อ่านBlog.ในหัวข้ออื่นๆด้วย และขอบคุณท่านที่ช่วยกันสรุปใจความสำคัญของหนังสือต่างๆด้วยคะ
ถึง กฟผ.รุ่น 3
ผมขอแสดงความยินดีที่คุณหมอเป็นรองประธาน แล้วใช้ Blog เป็นคนแรก ครับ
คุณสุนันทาที่อ่านหนังสือเรื่อง PR ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ และคงช่วยให้การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรดีขึ้น
คุณนิพนธ์ นอกจากร้องเพลงเก่งแล้ว ยังชอบใช้ภาษาอังกฤษด้วย ยินดีครับ ในตอนไป Sydney ผมอยากขอให้คุณนิพนธ์ช่วยสรุปด้วย ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากครับ
คุณอมรชัย พบว่า กฟผ. ได้มีโครงการทำเรื่องโรงเรียนในฝัน เป็นสิ่งที่ดีครับ ที่ทราบว่า กฟผ. ได้ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสังคมและเข้าไปช่วยในเรื่องการศึกษาซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างสูงครับ
คุณวิรัช และคุณชูยศ ได้สรุปการอ่านหนังสือ ทั้ง 2 เล่ม ที่ผมให้ไปนั้น เป็นประโยชน์มากครับ และรู้สึกดีมากที่ทั้งสองท่านจะนำไปปรับใช้กับองค์กร ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ดีครับ
คุณวไลรัตน์ ยินดีครับที่เห็นความสำคัญของการอ่าน Blog และให้ความสำคัญของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งของการสร้างสังคมการเรียนรู้ และผมหวังว่าแม้จบหลักสูตรแล้ว ทุกคนคงร่วมแสดงความคิดเห็นผ่าน Blog กันต่อไปครับ
ส่วนผมนั้นกำลังรออีก30 ท่านที่ยังไม่ได้ส่ง Blog มาด้วยความกระวนกระวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้ท่านประธานคุณกมลช่วยแสดงความคิดเห็นมาใน Blog ด้วยครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
เรียน อ.จีระ
ผมได้อ่านหนังสือที่อาจารย์มอบให้ทั้งสองเล่มจบแล้ว ผมชอบวิธีการเขียนให้ความรู้ในแบบฉบับของอาจารย์มากที่แตกต่างจากตำราด้าน HR ทั่วๆไปที่อ่านน่าเบื่อแล้วยังไม่รู้ว่าจะนำมาใช้กับคนไทยที่แตกต่างทั้งวัฒนธรรมและมรดกทางความคิดได้หรือไม่ ผิดกับที่อาจารย์นำมาเขียนซึ่งนำมาจากสิ่งที่ ท่านพารณและคุณหญิงทิพาวงค์ นำไปปฏิบัติแล้วและประสพความสำเร็จมาแล้ว ผมเลยได้ความคิดว่าวิธีเขียนของอาจารย์เป็นวิธีการสร้างบรรยากาศในการอ่านให้น่าติดตามไม่เบื่อหน่ายคล้ายๆกับการสร้าง Learning Environment อย่างหนึ่ง จึงทำให้ผมคิดถึงปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่สำเร็จ คือผู้ใต้บังคับบัญชาผมหลายๆคนที่เก่งแต่เทคนิคในงานที่ทำแต่มักจะ anti การถูกส่งเข้าอบรมในความรู้ด้านอื่น ผมพยายามพูดให้คิดตั้งหลายครั้งแล้วแต่รู้สึกไม่ได้ผล จะยอมเข้าอบรมเพียงเพื่อให้ผ่าน PA เท่านั้น แต่ ณ เวลานี้ผมคิดว่าคงเป็นผมยังไม่ได้สร้าง Learning Environment ในหน่วยงานที่ดีพอ และหากทำให้เกิด Learning Community ในหน่วยงานได้ปัญหานี้ก็น่าจะหมดไป
นอกจากหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวแล้ว บทความต่างๆใน website ของอาจารย์ก็น่าสนใจเยอะ เมื่อผมมีเวลาว่างจะทะยอยอ่านไปเรื่อยๆ ขอขอบคุณมากสำหรับสิ่งดีๆต่างๆที่อาจารย์สรรหามาให้พวกเรา ( SEDP-2 รุ่นที่ 3 )
22 - 05 - 50 - 12.58
ถึง กฟผ.รุ่น 3
ความสำเร็จของรุ่น 3 แม้ผ่านไปแค่ 3 วัน น่าจะสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. HRD , HRM
2. การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Management
3. Social Innovation ซึ่งจะรวมถึงการบริหารภายในองค์กรด้วย
4.องค์กรแห่งการเรียนรู้
4. ประเด็นสุดท้ายนั้น ระหว่างอยู่ด้วยกัน และเตรียมตัวไปต่างประเทศ ถ้ามีโครงการอะไร ที่จะทำงานร่วมกัน ก็แนะนำมาด้วยครับ ซึ่งการเรียนรู้ในครั้งนี้นั้น ผมคิดว่าควรเน้น ในเรื่อง Action Plan ต่อยอด ซึ่งมีประโยชน์อย่างแท้จริงครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
เรียนอาจารย์และเพื่อน
ผมกำลังทำความเข้าใจ 4L,2R เพื่อนำมาใช้กับการเรียนรู้ในหลักสูตรนี้สรุปได้ว่า
1 การเรียนรู้ครั้งนี้เน้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และประยุกต์นำไปใช้งานจริง
2 เราต้องกระตือรือร้น สนุกและมีความสุขที่จะเรียนรู้
3 การเรียนรู้ไม่ต้องรอทำทันทีทุกรูปแบบเมื่อมีโอกาส
4 มีส่วนร่วมสร้างมูลค่าเพิ่ม blog นื้
5 อย่าลืมเน้นของจริงตรงประเด็น
สมยศ ธีระวงศ์สกุล
Workshop อ.เฉลิมพล
เพื่อให้ผู้เข้าอ่าน WorkShop นี้ ได้มีความเข้าใจในเหตุผลของการพิจารณา และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากยิ่งขึ้น ผมจึงขอ นำ กรณีศึกษามาลง เพิ่มเติมในที่นี้ไว้ด้วย
เรื่อง สมานฉันท์
คำชี้แจง....เรือท่องเที่ยวได้รับลมพายุและหลงเข้าสู่น่านน้ำสากล โดยไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้ ภายในเรือมีคน 20 คน สุนัข 1 ตัว มีอาหารพอสำหรับคน 20 คน เป็นเวลา 2 วัน เรือได้รับความเสียหาย น้ำเข้าเรือ หากปล่อยเป็นเช่นนี้ เรือจะจมใน 3 วัน และมีน้ำจืดพอเพียง สำหรับ คน 10 คน ใน 2 วัน หากท่านเป็นสมาชิกในเรือ ท่านจะทำอย่างไร
หมายเหตุ ...โดยให้บันทึกรายละเอียดเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องจัดการเช่นนั้น
เรื่อง ความสามารถเชิงบริหาร
คำชี้แจง...ครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อและคุณแม่ ขยันขันแข็งทำงาน จนไม่มีเวลาดูแลให้ความอบอุ่นกับลูก ลูกชายคนเล็ก จึงถูกคนไม่ดีหลอกให้มกหมุ่นกับอบายมุขและคบกับเพื่อนไม่ดีมีนิสัยก้าวร้าว และสร้างปัญหากับคนรอบข้างอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ลูกสาวคนโต มีอัธยาศัยเอื้ออารี เป็นที่รักของคนรอบข้าง
การวิเคราะห์.. อะไรคือสาเหตุแท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้ลูกทั้งสองคนแตกต่างกัน อะไรคือสิ่งที่ทำให้ลูกชายมีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น และจะแก้ไขอย่างไรที่ดีที่สุด
เรื่อง การตัดสินใจ
คำชี้แจง...เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดอย่างรุนแรง มีเครื่องบินที่จะบรรทุกคนไปได้ 8 คน โดยมีคนที่เหลือในเมืองทั้งหมด 10 คน ดังนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำเพื่อพาคนให้รอดพ้นและสามารถไปสร้างเมืองใหม่ที่มั่นคงและยั่งยืนได้ ท่านจะเลือกผู้ใดให้เดินทางไปกับท่าน
นายแพทย์ หมอแผนโบราณ นักกฏหมายสูงอายุ เด็ก คุณครูผู้หญิง นักการเมือง เกษตรกร กรรมกร นักวิทยาศาสตร์
จากกรณีศึกษา เรื่องการตัดสินใจ
ใช้กระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาจาก
- เหตุและผล ...พิจารณาจาก ความจำเป็น ประโยชน์ที่จะได้รับ การพัฒนาที่ยั่งยืน(เทคโนโลยี ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ คุณภาพมนุษย์)
- การวิเคราะห์/สังเคราะห์...ข้อมูลคุณสมบัติของแต่ละคน
- การจัดลำดับความสำคัญ...จัดเรียงความจำเป็นและสำคัญตามลำดับ และตัด 2 คนสุดท้ายออก
ข้อคิดการแก้ปัญหา และข้อพึงระมัดระวัง
จากการบรรยายของ ดร.เฉลิมพล
- หาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง โดยใช้เหตุและผล
- ในสภาวะคับขัน ทำให้เราเร่งหาคำตอบ มากกว่าการพิจารณาอย่างท่องแท้
- คนที่อยู่ใกล้ชิดปัญหา คือคนที่รู้ดีที่สุดว่า ปัญหาคืออะไร
- การคิดใหม่ที่แตกต่าง เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ
- ไม่ใช้ความรู้สึก อารมณ์ และประสบการณ์ มีสติเพื่อสร้างสรรปัญญา
- มีการประเมิน เพื่อสร้างสรรสิ่งที่ดีขึ้น
- เชื่อมั่น ในความส่มารถของมนุษย์
- แรงจูงใจที่ดี และเหมาะสม จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่ดีและยั่งยืน
จัดสมดุลย์ ของ IQ(Thinking) EQ(Felling) MQ(Sensing) และ SQ(Intuition) เพื่อสร้าง ศรัทธา ที่จะทำให้เกิด ปัญญา ที่ยั่งยืน
นัตถิ ปัญญา สมาลาภา
แสงสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญาไม่มี
เรียนอาจารย์จีระและเพื่อน
เราได้อะไรจากบทความ Lessons From A Student Of Life By JIM COLLINS Business Week November 28 2005
บทความนี้กล่าวถึงวิธีคิดของยอด Guru ด้านการจัดการท่านหนื่งคือ Peter F. Drucker มีประเด็นน่าสนใจคือ
1. Not just to give the right answers but more important to ask the right questions ในการทำงานทีเป็นระบบ ถ้าข้อมูลเข้ามาดีชัดเจน กระบวนการดี ผลลัพท์ที่ออกมายอมดีแน่ คำถามที่ดีเหมือนข้อมูลเข้า คำถามที่ถูกต้อง จึงมีความสำคัญมากกว่า การที่จะได้คำตอบที่ดีหรือถูกต้องมากนัก บ่อยครั้งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เกิดจากการจุดประกายจากคำถามที่ดีนั้นเอง
2. องค์กรที่ประสบความสำเร็จมีความเข็มแข็งและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน มีผลประกอบการที่ดี จะต้องมีระบบการจัดการที่ดีเป็นเลิศและมีความคล่องตัวปรับเปลี่ยน ทำให้เราสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งเหนือคู่แข่งอยู่เสมอ
3 การแลกเปลียนเรียนรุ้ซึ่งกันและกันก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ บ่อยครั้งอาจารย์ก็ได้เรียนรู้สิ่งดีมีประโยชน์จากลูกศิษย์เหมือนกัน
สมยศ ธีระวงศ์สกุล
เรียน อาจารย์จีระ และเพื่อน ๆ SEDP-3 ทุกท่าน
อาจารย์ได้ให้การบ้านไปอ่านบทความเล็ก ๆ 2 บท และขอให้พวกเราช่วยแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จะได้ความคิดหลากหลายในมุมมองที่แตกต่างกัน
บทความแรก “The new office social contract : Loyalty is out Performance is in” บทความนี้ได้กล่าวถึงการจ้างงานใน 2 ยุคที่มีความแตกต่างกัน
ยุคช่วง 1960 – 1990 พนักงานไม่ได้คาดหวังถึงการที่จะเป็นคนร่ำรวย เขาพอใจที่มีงานมั่นคง และมีเงินเดือนขึ้นทุกปีอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้ว ส่วนองค์กร/บริษัท ก็เน้นการจ้างงานตราบเท่าที่พนักงานยังมีความจงรักภักดีต่อองค์กร ดังนั้น บริษัทจึงมุ่งฝึกอบรมคนเพื่อให้เขาทำงานหนัก ทำงานดี และมีความก้าวหน้า
ยุคหลัง 1990 เป็นต้นมา มีแนวคิดแตกต่างจากยุคก่อน ตัวอย่างเช่น Steven Cohn อายุ 29 ปี เขาเคยทำงานใน Investment Bank และบริษัทโฆษณาทาง Internet นอกจากนั้น เขายังไปศึกษาต่อจนจบ MBA ก่อนที่จะเข้าทำงานที่ IBM เป็นพนักงานขาย Software ซึ่ง Cohn มีเกณฑ์การคัดเลือกองค์กร และงานที่เขาจะทำดังนี้
- งานต้องตื่นเต้นท้าทาย
- วิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ของบริษัท รวมทั้งการบริหารจะต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ทำประโยชน์ต่อองค์กร จากทักษะ และความสามารถของเขา
- จะต้องมี Career Path ระยะยาว
- มีสิทธิประโยชน์บนระบบแห่งคุณธรรม และควรจะสอดคล้องกับตลาดแรงงานด้วย
ดังนั้น การจ่ายเงินเดือน และโบนัสจึงขึ้นอยู่กับ Performance แทนที่จะเป็น Seniority เหมือนยุคก่อน ๆ
บทความที่ 2 “Lessons from a student of life”
บทความนี้สนับสนุนแนวคิดของอาจารย์ว่า “ผู้บริหารทุกคนเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต เมื่อมีความรู้แล้วต้องเผื่อแผ่ เอื้ออาทร ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย”
Jim Collins ได้กล่าวยกย่อง Peter F.Drucker ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ว่า ไม่เพียงแต่เสีย Guru เท่านั้น แต่สูญเสียครูผู้เป็นที่รักยิ่งของศิษย์ เป็นผู้ซึ่งพร้อมที่จะต้อนรับลูกศิษย์ทุกคน ด้วยความอบอุ่น และคอยกระตุ้นให้กำลังใจอยู่เสมอ Drucker ไม่เพียงแค่สอนลูกศิษย์ เขายังปรารถนาที่จะเรียนรู้จากลูกศิษย์ทุกคนด้วย นั่นคือเขาเรียนตลอดชีวิต และทำประโยชน์โดยการสอน และเขียนหนังสือ การสอนหนังสือ ทำให้เพิ่มคนที่รัก และศรัทธาในความรู้ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวเขาตลอดมา
ประเด็น : ผู้บริหารในดวงใจของผู้ปฏิบัติงาน คือการเป็นครูที่ดี เป็นที่รักของพนักงาน ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ เพื่อความก้าวหน้าของลูกศิษย์ (ลูกน้อง) .....ความก้าวหน้าของลูกน้องคือรางวัลที่น่าชื่นใจของผู้บริหารที่เป็น Coach ที่ดี...อยากให้ชาว SEDP-3 ของเราเป็นครูที่เป็นที่รักของศิษย์ตลอดไป มาร่วมกันสร้างความฝันร่วมกันนะคะ
สุนันทา
จากดีสู่ดีเลิศจากดีสู่ดีเลิศ
เป็นหนังสือที่เขียนโดย จิม คอลลินส์ ในชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Good to Great แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทย โดย ขุนทอง ลอเสรีวานิช ใช้ชื่อเรื่องว่า จากบริษัทที่ดีสู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ อ่านแล้วน่าจะใช้ว่า จากบริษัทที่ดีสู่ความเป็นบริษัทที่ดีเลิศ (ประเสริฐศรี) หรือ จากบริษัทที่ดีสู่ความเป็นบริษัทที่โคตดี หรือพูดสั้นๆ ให้น่าสนใจเป็น จากดีสู่ดีเลิศ และบางครั้งอาจใช้คำว่า องค์กร แทน บริษัท เพื่อให้ใกล้เคียงกับ องค์กร กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เป็น จากองค์กรที่ดีสู่ความเป็นองค์กรที่ดีเลิศจากดีสู่ดีเลิศ เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากการวิจัย เป็นระยะเวลา 5 ปี และจัดพิมพ์ออกมาเพราะความที่มีจิตใจของความเป็นครูของผู้เขียน เพื่อเผยแพร่แบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้มาให้กับนักเรียนทั่วโลก หนังสือมีความหนาทั้งสิ้นประมาณ 240 หน้า มีสาระที่น่าสนใจ สำหรับใช้เป็นแนวทางในการสร้างองค์กร จากองค์กรที่ดีสู่องค์กรที่ดีเลิศ สรุปได้ ดังนี้องค์กรที่ดีเลิศ คืออย่างไรองค์กรที่ดีเลิศ ในที่นี้หมายถึงบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ก้าวกระโดดจากผลการดำเนินงานที่ดี ไปสู่
ผลการดำเนินงานที่ดีเลิศ และสามารถดำรงผลการดำเนินงานที่ดีเลิศได้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี มีผลตอบแทนสะสมเฉลี่ยจากการลงทุนในหุ้นของบริษัท สูงกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยของตลาด 6.9 เท่า ตัวอย่างเช่น ถ้าลงทุน 1 เหรียญสหรัฐ กับกองทุนรวมที่ซื้อหุ้นจากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ
ในปี 1965 พร้อมทั้งลงทุน 1 เหรียญสหรัฐในกองทุนรวมที่ซื้อหุ้นบริษัททั่วไปในตลาด เมื่อถึง
วันที่ 1 มกราคม 2000 ทุน 1 เหรียญสหรัฐ กับกองทุนรวมที่ซื้อหุ้นจากองค์กรที่ดีสู่องค์กรที่ดีเลิศ จะมีมูลค่าเพิ่มถึง 471 เท่า ในขณะที่ ทุน 1 เหรียญสหรัฐ กับกองทุนรวมที่ซื้อหุ้นในตลาดทั่วไป มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพียง 56 เท่า เท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น บริษัทที่ดีเลิศ มีผลตอบแทนที่เท่ากับหรือต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดในการศึกษาวิจัยเป็นการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ กับบริษัทเปรียบเทียบ ในกลุ่มบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีโอกาสเหมือนกัน มีทรัพยากรที่ไม่ต่างกัน และบริษัทที่เปรียบเทียบไม่สามารถ
ดำรงความเป็นเลิศได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเพียงช่วงสั้นๆ ไม่สามารถคงความยั่งยืนได้ (เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี)
ลักษณะของผู้นำ
การวิจัยพบว่า ลักษณะผู้นำในการนำบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ (เรียกว่า ผู้นำระดับ 5) มีลักษณะ ดังนี้
Ø มีความถ่อมตนและเจตจำนงแน่วแน่ ผู้นำของบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ มีความปรารถนาอย่างแรกและอย่างมากที่สุดเป็นไปเพื่อบริษัท และเป็นห่วงอนาคตของบริษัทมากกว่าความร่ำรวยและชื่อเสียงส่วนตัว ต้องการเห็นบริษัทภายใต้การนำของผู้บริหารรุ่นต่อไปประสบความสำเร็จมากกว่าในยุคของเขาและจะรู้สึกพอใจถ้าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า รากฐานแห่งความสำเร็จมาจากความบากบั่นของพวกเขา ตรงกันข้ามกับผู้นำของบริษัทเปรียบเทียบ ที่เป็นห่วงชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ส่วนตัว มากกว่าความสำเร็จของบริษัทในรุ่นต่อไป แต่ในที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่จะเป็นประจักษ์พยานถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ดีกว่าความเสื่อมของบริษัทหลังจากที่พวกเขาจากไป
Ø มีความทะเยอทะยานเพื่อบริษัท ไม่ใช่เพื่อตัวเอง
Ø เลือกทายาทเพื่อสานต่อ เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในรุ่นถัดไป
Ø ความมุ่งมั้นไม่หวั่นไหวทำทุกอย่างที่ให้บริษัทเป็นเลิศได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือยากลำบากเพียงใด
การคัดเลือกทีมงาน
บริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ จะเลือกคนที่เหมาะสมมาร่วมงานสร้างทีมบริหารที่ดีเลิศ แล้วจึงค่อยมาคิดว่า
จะก้าวไปสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไร เพราะถ้ามีคนที่เหมาะสม ก็ไม่ต้องห่วงปัญหาการบริหารคน การสร้างแรงจูงใจ ไม่จำเป็นต้องพึ่งการจัดการที่เคร่งครัด หรือต้องคอยกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่ตลอด เพราะจะมีแรงจูงใจภายในตัวเองอยู่แล้ว สิ่งสำคัญ คืออย่าบั่นทอนแรงจูงใจของคนคนที่เหมาะสมมุ่งไปที่บุคลิก นิสัย ใจคอมากกว่าความรู้เฉพาะทาง ความรู้ ความชำนาญ เป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ แต่บุคลิกลักษณะที่ทำให้คนๆหนึ่งที่มีความเหมาะสมกับองค์กร เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้
บริษัทเปรียบเทียบ ชอบใช้รูปแบบการจัดการแบบที่มีผู้นำที่เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ แล้วหาผู้ช่วยเก่งๆ หลายคนมาช่วยทำตามวิสัยทัศน์ รูปแบบนี้ล้มเหลวเมื่อผู้นำนั้นจากไป ถ้าจำเป็นต้องตัดสินใจทำการเปลี่ยนแปลงในเรื่องคน อย่ารีรอลงมือเลย ต้องแน่ใจว่าได้วางคนอยู่ในที่ที่ถูกต้องสมาชิกในทีมผู้บริหารชอบถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด แต่เมื่อต้องตัดสินใจ ทุกคนเป็นเอกภาพกันหมด โดยลืมผลประโยชน์เฉพาะส่วนไปได้เป้าหมายของการจ่ายค่าตอบแทน ไม่ใช่เพื่อจูงใจให้คนที่ไม่มีความสามารถที่เพียงพอสร้างผลงานที่ดี แต่เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมมาอยู่กับบริษัทในตอนแรก และรักษาคนเหล่านี้เอาไว้คนที่เหมาะสมที่สุดคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด มิใช่คนคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรงานสำคัญในการสร้างบริษัทที่ดีเลิศ คือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับฟังเสียงของคนในองค์กร ซึ่งในที่สุดจะทำให้ความจริงได้รับการรับฟัง เพราะการได้รับฟังความจริงแม้จะเป็นความจริงที่เจ็บปวด จะนำสู่การพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่งตรงไปตรงมา และนำสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องได้ในขณะที่บริษัทเปรียบเทียบ มักไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องนี้
การสร้างบรรยากาศที่จะทำให้ความจริงได้รับการรับฟัง มีหลักปฏิบัติ 4 ข้อ คือ
1. ชี้นำด้วยคำถาม ไม่ใช่ให้คำตอบ
2. ใช้การมีส่วนร่วมในการพูดคุย หารือ ไม่ใช่การบังคับ
3. วิเคราะห์ความผิดพลาด โดยไม่โยนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่ง
4. สร้างกลไกเตือนภัย ธงแดง เป็นเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อทำให้ข้อมูล ข่าวสารที่เกิดขึ้น เป็นข้อมูลข่าวสารที่ได้รับการการพิจารณา โดยไม่ถูกมองข้ามไปปัจจัยด้านจิตวิทยา ที่สำคัญในการนำบริษัทให้ก้าวจาก บริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ คือ Stockdale Paradox หมายถึงการมีศรัทธาและความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า คุณจะชนะในที่สุด ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไร และในขณะเดียวกัน ก็กล้ายอมรับความจริงอันโหดร้ายที่สุดที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม
มุ่งมั่นทำในสิ่งที่มีศักยภาพที่จะทำได้ดีกว่าองค์กรอื่นบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ กำหนดเป้าหมายอย่างเข้าใจที่แท้จริง มิใช่การกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์จากความฮึกเหิม ทะนงตน ต้องมีแนวคิดใน แบบตัวเม่น (วงกลมสามวง) นั่นคือ
1. ทำในสิ่งที่มีศักยภาพที่จะทำได้ดีกว่าองค์กรอื่น สู่ความเป็นหนึ่งได้ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและกำหนดอนาคตตัวเอง โดยการจัดสรรทรัพยากรลงไป
2. ได้รับผลตอบแทนอย่างดีจากการทำงานนั้น
3. รักและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความกระตือรือร้น
สร้างความมีวินัยบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ เต็มไปด้วยคนที่มีความมานะพากเพียร เอาจริงเอาจัง และเข้มงวดกับตัวเอง สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่คนในองค์กรต้องมีวินัยในตัวเอง มีการกระทำที่มีวินัย และยึดมั่นในวงกลมสามวง การสร้างกฏ ระเบียบขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความไร้สมรรถภาพและขาดวินัยขององค์กร จะสร้างความยุ่งยาก ไล่คนที่ดีๆออกไป การสร้างวัฒนธรรมภายใต้แนวคิดในเรื่อเสรีภาพ และความรับผิดชอบ โดยหาคนที่มีวินัยในตัวเอง คนเหล่านี้พร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ตามความรับผิดชอบของตน
แนวคิดเรื่องเทคโนโลยี บริษัทที่ดีเลิศ ไม่สนใจเทคโนโลยีที่เป็นกระแส ที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ แต่จะเป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแล้วอย่างรอบคอบ โดย พิจารณาว่าเทคโนโลยีนั้นเข้ากับแนวคิดแบบตัวเม่นหรือไม่ ถ้าเข้ากัน ก็จะ เป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคโนโลยีนั้น แต่ถ้าไม่เข้ากัน ก็ไม่ต้องให้ความสำคัญมาก หรือไม่ต้องสนใจก็ได้การเปลี่ยนแปลงจาก บริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีเลิศ เกิดจากกระบวนการสั่งสมทุกขั้นตอน ใช้ความคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่จะต้องทำอย่างรอบคอบ แล้วลงมือทำ มีความสม่ำเสมอและมั่นคง ทุกปฏิบัติการและทุกๆ การตัดสินใจ รวมกันขึ้นเป็นผลงานที่ยั่งยืนและโดดเด่น มิใช่การเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างใหญ่โต
บทสรุปจากบทสรุปจากหนังสือ Good to Great มีข้อสรุปที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้คิดถึงองค์กร กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) นั่นคือ การที่จะนำ กฟผ.สู่ความเป็นองค์กรที่ดีเลิศ จะต้อง
Ø มีผู้นำที่เรียกว่า ผู้นำระดับ 5 น่าจะเรียกว่าผู้นำหรือผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีส่วนในการนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศ
Ø มีทีมงานที่ดี เป็นทีมงานที่มีลัษณะตาม H ที่ 6 (Home) ของ ทฤษฎี 8 H’s โดยเลือกคนที่เหมาะสม มาร่วมทีม แต่ไม่อาจกำจัดคนที่ไม่เหมาะสมออกไปได้ ต้องหาทางพัฒนาคนที่มีอยู่ตามแนวทางที่ได้ เขียนไว้ในเรื่อง ไล่ล่าสู่ความเป็นเลิศ ตาม ทฤษฎี 8 H’s
Ø มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เป็นวัฒนธรรมที่ มีลัษณะตาม H ที่ 1 (Heritage) ของ ทฤษฎี 8 H’s
Ø มุ่งมั่นทำในสิ่งที่มีศักยภาพที่จะทำได้ดีกว่าองค์กรอื่น เป็นแนวทางแบบตัวเม่น (วงกลมสามวง) นั่นคือ
o ทำในสิ่งที่มีศักยภาพที่จะทำได้ดีกว่าองค์กรอื่น สู่ความเป็นหนึ่งได้ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและกำหนดอนาคตตัวเอง โดยการจัดสรรทรัพยากรลงไป
o ได้รับผลตอบแทนอย่างดีจากการทำงานนั้น
o รักและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความกระตือรือร้น ตามแนวทางนี้ เมื่อเปรียบเทียบตาม ทฤษฎี 8 H’s คือ
เมื่อมีความรักในงานที่ทำ (Heart) จะเกิดความกระตือรือร้น
มีความคิดสร้างสรรค์ (Head) และใส่ใจในงานที่ทำด้วยความรับผิดชอบโดย
ลงมือทำทันที (Hand)
Ø สร้างความมีวินัย บุคคลที่อยู่ในทีมงานที่มีคุณภาพจะเป็นผู้ที่มีวินัย
Ø แนวคิดเรื่องเทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแล้วอย่างรอบคอบมิใช่ตามกระแส จะเห็นว่า
ทฤษฎี 8 H’s สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือสู่การสร้างองค์กรที่ดีเลิศได้ ซึ่งน่าจะต้อง ประกอบด้วย H’s อื่นๆ ที่เหลือด้วย คือ
มีสุขภาพดี (Health)
มีความสุขในการทำงาน (Happiness) และ
มีสิ่งแวดล้อมที่ดี (Harmony) แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถไล่ล่าให้ทฤษฎี 8 H’s สามารถนำมาใช้ปฏิบัติให้
ประสบความสำเร็จ อย่างจริงจัง จนเป็นวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรได้
ทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปและความเข้าใจที่ได้จากที่อ่านมาในระยะเวลาที่จำกัด Good to Great ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งได้จากการวิจัย อยากให้พวกเราหาโอกาสอ่านและให้ข้อโต้แย้งหรือให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อขยายแนวคิดทางปัญญา และสามารถนำไปสร้าง กฟผ. ให้เป็น องค์กรที่ดีเลิศ ต่อไปขอขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจอ่าน
สวัสดีครับ
นายวิรัช โรจนพิทยากร
25 พฤษภาคม 2550
25 พค. 2550
เรียน ท่านอาจารย์จีระที่เคารพ และเพื่อนร่วมรุ่นที่นับถือทุกคน
ผมขอแสดงมุมมองถึงความรู้ และความคิดที่ได้รับจากบทความล่าสุดซึ่ง ท่านอาจารย์มอบให้อ่านดังนี้ครับ
กรณี The new office social contract
บทความนี้เตือนให้เราตระหนักถึง ค่านิยมในสัญญาจ้างงานที่เปลี่ยนไปมาก จากยุคสมัยเพียง 30 ปีเศษที่ผ่านมา
ในยุคทศวรรษ '70 คนสมัยนั้นไม่ได้คาดหวังที่จะร่ำรวยอย่างรวดเร็ว หากมุ่งเพียงจะได้งานที่มั่นคง มีการขึ้นค่าแรงอย่างสม่ำเสมอ และได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาศเช่นครอบครัวขยาย โดยผู้รับจ้างพร้อมที่จะทำงานหนัก และสามารถสนุกสนานรื่นเริงได้เต็มที่ในโอกาสอันควร แนวทางปฏิบัติเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆอย่างมั่นคง และวางใจได้ว่าจะทำงานไปได้นานเท่าที่ทั้งสองฝ่ายจะพอใจ
แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ต้นศตวรรษที่ 21 เนื้อหาในสัญญาจ้างงานได้เปลี่ยนไปเป็นการเน้นความคาดหมายในสิทธิและความรับผิดชอบต่างตอบแทนที่ทั้งสองฝ่ายพึงมีพึงได้จะขึ้นกับผลงานซึ่งประจักษ์ชัดตามความคาดหมายของผู้ว่าจ้าง ซึ่งมักจะประสงค์ให้ผู้รับจ้างต้องทำงานเต็มที่ตามทักษะที่มี โดยต้องมุ่งให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามแต่จะตกลงกันไว้ ซึ่งผลงานเหล่านั้นจะต้องตอบสนองต่อวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของผู้ว่าจ้างด้วย สิ่งตอบแทนที่ผู้รับจ้างจะได้รับขึ้นอยู่กับคุณค่าความสามารถ และมูลค่าผลงานของเขาเมื่อเทียบกับตลาดแรงงานทั่วไป
จากเนื้อหาในสัญญาจ้างงานที่เปลี่ยนไปนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะการจ้างงานแบบเก่าที่อยู่บนฐานค่านิยมในความจงรักภักดีต่อบริษัทเพื่อแลกกับความมั่นคงในชีวิตการทำงานได้จางหายไปจากตลาดแรงงานในอเมริกาแล้ว ในปัจจุบันผู้ว่าจ้างไม่ได้เน้นให้ความสำคัญต่อสภาพการทำงานที่ผู้รับจ้างจะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขเพื่อที่จะให้เกิดพันธะทางใจต่อกัน และมีความรู้สึกจงรักภักดีกับบริษัทไปนานๆ อีกต่อไป แต่สภาพการจ้างงานกลับมุ่งเน้นถึง"ผลิตภาพ" ที่จะได้ และ "พันธะสัญญา" ที่มีต่อกัน ซึ่งตามสัญญาว่าจ้างที่ผูกอยู่กับผลิตภาพของผลงานนี้ จะทำให้ความจงรักภักดีต่อองค์กรในรูปแบบใหม่สามารถยั่งยืนอยู่ได้ นานเท่าที่ทั้งสองฝ่ายพอใจในผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ตนได้รับเท่านั้น ด้วยลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนและโบนัสในยุคนี้จะขึ้นกับผลประกอบการที่วัดได้ชัดเจน โดยไม่ได้นำเอาความจงรักภักดีหรือความมีอาวุโสในหน่วยงานมาเป็นฐานเพื่อพิจารณาอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเกิดความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต่อสภาพการว่าจ้างที่มุ่งเน้นเพียงในเรื่องผลิตภาพเป็นสำคัญเช่นที่เป็นอยู่ แม้จะมีผู้เห็นแย้งว่าชีวิตการทำงานของมนุษย์ไม่น่าจะผูกพันทุกอย่างไว้กับผลิตภาพ โดยไม่ได้คำนึงถึงความสุข ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตการทำงาน ความจงรักภักดีที่ผู้รับจ้างจะมีให้กับหน่วยงานเช่นที่เคยเป็นในอดีต สภาพการว่าจ้างซึ่งผูกอยู่กับผลิตภาพของผลงานตามกระแสโลกาภิวัตน์ก็ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปเช่นนี้ ในตลาดแรงงานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาพการทำงานรูปแบบใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ ในรูปแบบการรวมกลุ่มประชาคมขึ้นอย่างหลวมๆ เพื่อร่วมมือกันทำงานในอาชีพต่างๆ ระหว่างปัจเจกบุคคล ที่มีทักษะคล้ายคลึงกัน และอยู่ในสังคมการเรียนรู้ที่มีความสนใจไปในทิศทางเดียวกันขึ้น
รูปแบบนี้นับเป็นทางเลือกใหม่ของสภาพการทำงานที่เข้ามาแทนที่รูปแบบการมีสัญญาทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่เช่นที่ยังคงดำรงอยู่ทั่วไป ลักษณะการทำงานเช่นนี้กำลังได้รับความนิยม และเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอเมริกา อาจเป็นเพราะรูปแบบการทำงานแบบใหม่นี้ ทำให้ปัจเจกบุคคลสามารถเลือก และรวมกลุ่มกันประกอบการบางอย่างร่วมกันได้อย่างเป็นอิสระ และสามารถทำให้เกิดความสำเร็จของงานได้สูงเช่นกัน
สมชัย กกกำแหง
จากการอ่านบทความ The new office Social Contract : "Loyalty is out,performance is in" ซึ่งกล่าวถึงสถานภาพของบุคคลากรบริษัท IBM ในอดีตและปัจจุบัน วิธีคิดดังกล่าวเป็นกระแสที่แรงขึ้น สะท้อนมาถึงบ้านเราโดยเฉพาะในภาคเอกชน การเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนขึ้นใน กฟผ. ปีนี้ โดยมีระเบียบคำสั่งให้ดำเนินการนำผลการประเมินผลงานบุคคลทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์มาใช้ในการพิจารณาความดีความชอบประจำปีในบางสายงาน
อย่างไรก็ตามสายงานทรัพยากรบุคคล กฟผ. พยายามผดุงรักษาให้ Loyalty ยังคงอยู่คู่ขนานกับ Performance ผลโดยรวมจะเป็นอย่างไร คงจะสะท้อนในอนาคตอันใกล้
พันธุ์ศักดิ์ โกเมศ
See |
Do |
get |
Principles |
1 |
2 |
3 |
4 |
มาก |
น้อย |
น้อย |
สำคัญ |
เรียนอาจารย์ จีระ และ ทีมงาน และ เพื่อนๆ
ผมเห็นว่า การอบรมหลักสูตรนี้เป็นประโยชน์ และสามารถนำไปปรับใช้ในงานได้อย่างดียิ่ง แต่ผมมีข้อเสนอเกี่ยวกับเอกสารประกอบการบรรยายว่า น่าจะมีรายละเอียด และใช้ภาษาไทยเป็นหลัก เพราะถ้าเป็นภาษาอังกฤษศัพท์บางคำไม่เข้าใจก็จะต้องพยายามจดบันทึกไว้ เพื่อจะได้เปิดเอกสารดูได้ในอนาคต การจดทำให้เสียสมาธิในการฟัง ซึ่งโดยปกติผมชอบฟังให้เข้าใจไปเลย ไม่ชอบจด สำหรับคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่จำเป็นก็ยังควรมีไว้
ขอบคุณท่านอาจารย์และทีมงานอย่างยิ่ง
ทรงยศ เจิดนภาพันธ์
รายชื่อคณะกรรมการรุ่นที่ 3 | ||||
ลำดับ | ชื่อ-สกุล | กรรมการ | ||
1 | ดร. | กมล | ตรรกบุตร | ประธาน |
2 | พญ. | นงนุช | อังกุราภินันท์ | รองประธาน |
3 | นาง | วไลรัตน์ | ศุภางคเสน | เหรัญญิก |
4 | นาง | สุนันทา | เกียรติศิริกุล | ผช.เหรัญญิก |
5 | นาย | พันธุ์ศักดิ์ | โกเมศ | วิชาการ |
6 | นาย | สมชัย | กกกำแหง | วิชาการ |
7 | นาย | สุวิทย์ | สิงหจันทร์ | กิจกรรม |
8 | นาย | นิพนธ์ | เพี้ยนภักตร์ | กิจกรรม |
9 | นาย | อมรชัย | ตรีรัตน์สกุลชัย | ประชาสัมพันธ์ |
10 | นาย | พิสิษฐ์ | อิงคะสุวรรณ์ | ประชาสัมพันธ์ |
11 | นาย | วิรัช | โรจนพิทยากร | เลขานุการ |
· อาทิ QCC จนกระทั่งมาถึง TQM ในปัจจุบัน
· กมล ตรรกบุตรการบรรยายเรื่อง Leadership & Change Managementโดย อาจารย์ประกาย ชลหาญวันที่ 25 พฤษภาคม 2550
Jack Weltch สอน Customer Centric เอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง
- ปัญหาของเด็กไทย คือเรื่อง Discipline เรื่องวินัย- ปัญหาของผู้นำส่วนใหญ่ คือ
“Left Brain is not right and Right brain is nothing left.”
Life begin is 40
- คนที่อายุ 40 กับ 20 คบกันเป็นเพื่อนไม่ค่อยได้ แต่คนที่อายุ 40 กับ 60 คบเป็นเพื่อนได้ นั้นหมายความว่า ชีวิตเริ่มต้นที่ 40
ผู้นำควร ทำตัวเองเป็น General Leader
- เรียนรู้เรื่องบัญชีการเงิน
- เรียนรู้เรื่องคน
การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Acceleration Program : CAP
ทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสิ่งที่ดีของ GE คือ การ Share กับลูกค้า
การเรียนรู้ วันรุ่งขึ้น จะจำได้แค่ 10 %
หน้าที่หลักของผู้นำ ทำอย่างไรให้คน perform ทำอย่างไรให้ลูกน้องทำกิจกรรม และประกอบกิจกรรมให้ได้ ใช้ระบบคุณทำ ส่วน หัวหน้ามีหน้าที่ Monitor , Train
คนจะทำได้ ต้องประกอบด้วย 2 ส่วน
1. Ability ความรู้ ความสามารถ ซึ่งประกอบด้วย
2. Motivation ต้องมีแรงจูงใจในการทำงาน ถ้าคนไม่มีAbility แต่ไม่มี Motivation หรือ มี Motivation แต่ไม่มี Ability ก็คือ 0
ดังนั้น ควรทำอย่างไรให้ลูกศิษย์เก่ง และอาจารย์สามารถถ่ายทอดได้ดี ทำอย่างไรให้ Ability และ Motivation Perform ได้สูงสุดเช่น
1.ทำอย่างไรที่จะ Motivate เขาให้เขาทำงาน เช่น เงิน , การให้งานที่ท้าทาย , โบนัส , ต้องมีทั้งพระเดช พระคุณ
2.ทำอย่างไรให้ลูกน้องมีความกระตือรือร้นในการทำงานต้องทำในสิ่งที่ลูกน้องอยากได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ ดังนั้น ควรเน้นในเรื่องการสร้างความอดทนขึ้นมา
Human Performance Framework
1. Environment : PEST
2. Strategies
3. Operation กระบวนการในการทำงาน Process ,Technology, Physical setting
4. Structure ในการทำงานต้องมีความชัดเจน
ระบบการประเมินผลของ กฟผ. ให้ลูกน้อง 5 4 3 2 1 5 คือ ดีสุด 1 คือ น้อยสุด
ชีวิตจริง จะถูกให้ Grade ตลอดเวลา
หลักในการทำ Performance
****หลักที่สำคัญคือ What Measure get done อยากให้ลูกน้องต้องทำอะไร ก็บอกว่าจะวัดเรื่องนั้น ถ้าไม่บอกเขาก็จะไม่ทำ อาจารย์ควร Grade ในสิ่งที่สอนคุณ
Mutual Agreement ให้ลูกน้องเสนอมา แล้วทำการตกลงร่วมกัน จะทำให้ได้ใจกับลูกน้อง แล้วสามารถช่วยบรรลุเป้าหมายของคุณ
- การวัดลูกน้องเรา จะเป็นการสะท้อนตัวเราว่าเราได้สอนเขาแล้วมีปัญหาอย่างไรบ้าง
- เวลาชมให้ Public เวลาลงโทษให้ Private
*** แต่อย่างไรก็ดูในเรื่องวัฒนธรรมและความพึงพอใจของผู้ที่จะรับด้วย และควรเป็น reward จริง ๆ
- Retention Program แบบ Top performer เป็นการ Ranking โดยการ Force มี Special Bonus ตัวอย่างของต่างประเทศมีการกระจายbonus เป็น 4 ปี เพื่อ เป็นการรักษาให้เขาทำงานอยู่กับเราด้วย
- การจะทำอะไรต้องมี Communicate และสื่อสารให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเสมือนเป็นการลงโทษ
- ปัญหาองค์กรหลัก อยู่ที่ Communication ทั้งนั้น
Managing Changes
Jack Weltch : CEO of the century
GE ยอดขายต่อปี 3แสนล้านเหรียญแต่ งบประมาณประเทศไทย 1.2ล้านล้านบาท
“Change before you are forced to change” ต้องเปลี่ยนก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนที่หลังจะก่อให้เกิดการเสียหายอย่างมหาศาล เช่น สึนามิเพราะถ้ารอให้เขาบังคับให้เปลี่ยนมันก็สายไปแล้ว
“Control your destiny or someone help you” ต้องรู้จัก Control ตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะมีคนมา Control คุณ
- Manage Down ง่ายสุด
- Manage Side way ใช้ Connection ใช้ความคล่องตัว
- Manage Up ยากสุด
ที่สำคัญที่สุดคือ
1. ต้องมีความรู้ความสามารถ และมี Integrity มี trust น่าเชื่อถือทั้งเรื่องส่วนตัว และงาน
2. ต้องสามารถประเมินความต้องการของนายให้ได้
3. อย่าปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผิดศิลธรรม หรือ หลักการ ต้องรู้จัก Adapt ตัวเองในการทำหลาย ๆ เรื่องให้ได้ ต้องรู้จัก Flexible และรู้หลาย ๆ เรื่อง
Jack Weltch สอนว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องมี 4 อย่างด้วยกัน
1. Energy มีพลังในการทำงานของตัวเอง
2. Energize ต้องรู้จักกระตุ้นคนอื่นให้คิดท้าทาย และทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ต้อง Challenge ลูกน้องให้ได้
3. Edge มีความได้เปรียบเหนือคนอื่น ต้องเก่งกว่า ขยันกว่า มีไฟกว่า มีความรู้มากกว่า
4. Execution ต้องทำให้เกิดสัมฤทธิผล หรือ ต้อง Perform ให้ได้
เพิ่ม Ethics คุณธรรม จริยธรรมในผู้นำ
Relationship
Win –Win
Win – Loose
Loose – Win
Loose – Loose
สิ่งที่เราต้องสอน สอนให้รับความจริง ไม่จำเป็นว่า ได้รับ Promote ก่อนจะดีกว่าคนอื่น คนที่พร้อมที่สุด ก็จะต้องได้ โอกาสนั้น
***การแข่งขันเป็นอะไรที่ Healthy จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และเข้มแข็งขึ้น
***อัตราการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อะไรที่เรียนรู้สมัยก่อนช้า แต่ตอนนี้จะเรียนรู้เร็วขึ้น
ตัวผลักดันที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีอะไรบ้าง
1. Technology
2. Economic Shocks
- อัตราดอกเบี้ยลด ทำอย่างไรถึง Invest ให้ปลอดภัย
3. Competition
4. Social trend – Internet chat room
5. Politics ตัวอย่าง 9/11
ทำไมองค์กรถึง Fail
1. Failure to Anticipate change ไม่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าได้ ต้องสามารถเรียนรู้ช่องทาง เช่น รู้ Edge คาดว่าดอกเบี้ยจะลง ฝากเงินระยะยาว ดอกเบี้ยขึ้น ฝากระยะสั้น คนที่สามารถคาดการณ์ได้มากกว่าคนอื่นจะเป็นผู้ชนะ
2. Allogance and over confidence :Victim of your own success เป็นองค์กรที่หยิ่งยโส แล้วคิดว่าองค์กร แน่ ตัวอย่างเช่น บุญรอด มาร์เก็ตแชร์เบียร์สิงห์เดิม 90% แต่ปัจจุบัน ช้างเข้ามาแซง ต้องตื่นตัวและปรับตัวตลอดเวลา ในวงการธุรกิจ ต้องขอบคุณลูกค้าตลอด
3. Arability it implemented change
4. A failure to manage change process
Program ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
1. Reengineering
2. Restructuring
3. Quality Program
Strategic Change Cultural Change วัฒนธรรมองค์กร ต้องมี Culture ของตัวเอง ต้องนำ Culture กับ Value ไปรวมกัน เป็นค่านิยมขององค์กร เกิด Lasting Change เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนStrategic Change เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ปี , 3ปี , 5ปี
Change Work
1. ต้องมีการสนับสนุน
2. ต้องมีการพัฒนาคนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลง
3. มีการมอบหมายงานที่ชัดเจน
4. ต้องมีการฝึกฝนและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ
5. มีการสื่อสารที่ดี อย่าให้เกิดข่าวลือในองค์กร ต้องสื่อสารให้องค์กรทราบล่วงหน้า
6. ต้องมีการสนับสนุน และจัดการตลอดเวลา
7. ต้องมี Leader ที่ดี และ Manager ทีดี
Leader do the right thing.
Manager do the thing right.
Knowledge สำคัญมากในองค์กร ต้องสร้างให้คนมี Knowledge และ Information ในองค์กรต้องสร้าง Knowledge ไว้ และควรเก็บเป็น Document ไว้
Standard Practice Manual ต้องมีการ update อยู่ตลอดเวลา เช่น ศาลสมัยก่อนต้องมีเอกสารตัวจริง Knowledge management กับ Information เป็นตัวชี้วัดว่าเราจะสามารถได้เปรียบคนอื่น
Tool อันนึงที่ GE ใช้
1. CAP : Change Acceleration Process : ทำอย่างไรเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างรวดเร็ว และมีความยั่งยืน Built to last
2. ไม่ว่าเปลี่ยนแปลงอะไรจะมี 3 ขั้นตอน
· Current Stage การเปลี่ยนจากสถานการณ์ปัจจุบันไปสู่ Improve Stage
· Transition stage ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจะสั้นจะยาวขึ้นอยู่กับ ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ Transition จะต้องใช้เวลา อาจเป็นแค่ 1 นาที หรือ 10 ปี
ขั้นตอนที่จะต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลง
- Leading Change ต้องมี Leaderในการเปลี่ยน
Manage Attention : Adopt Change Roles Change Sponsor : คนที่บอกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่น เจ้าของบริษัท , CEO
Change Agent : คนที่เอาไปบอกต่อ เอาไปใช้ เช่น หัวหน้าแต่ละหน่วยงาน หรือ HR
Change Advocate : คนที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกที่เป็นSilent leader ผู้นำที่ไม่เป็นทางการ เป็นพวกที่มีอิทธิพล พูดแล้วคนอื่นเชื่อ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ
Change Target : ต้องมีเป้าหมายถึงคนที่จะเปลี่ยน
โดยสรุปแล้วต้องมี Lead Change
- Create A Shared Need ต้องสร้างความต้องการร่วมกัน และผลประโยชน์ที่ทุกคนจะได้ สร้างให้คนเห็นค่าของความเปลี่ยนแปลง ความต้องการในการเปลี่ยนแปลง จะมากกว่าแรงต้านทาน
- Shaping A Vision สร้าง Share vision ให้ได้ สร้างฝันให้ลูกน้องให้ได้ เปลี่ยนแล้ว เราจะไปสวรรค์กันหมด
- Mobilizing Commitment สร้างให้เกิดความอยากทำ หรือเป็นพันธะสัญญาที่จะทำ เป็นการสร้าง Awareness สร้างให้คนตื่นตัว มี Commitment ที่จะทำ ตัวที่จะช่วยได้คือการให้ลูกน้องมีส่วนร่วม เข้ามามีส่วนของความคิดที่คุณจะทำ
- Making Change last ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้น มีความยั่งยืนให้ได้ สิ่งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงยั่งยืนขึ้น คือ ต้องมีผลกระทบที่ดีขึ้น
- Monitoring Progress มีการตรวจสอบ
- Changing Systems and Structure สร้างระบบให้สนับสนุนการทุ่มเท มีการตอบแทนที่ชัดเจน ระบบเอื้ออำนวย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง คนเยอะไปก็มีปัญหา เรื่อง Budget , เกี่ยงงานกัน , ว่างงานกัน คนน้อยไปก็ทำงานไม่พอ
· Improved stage Changing System and Structure
Staffing หาคนให้เหมาะสมกับงาน
Developing มีการเตรียมความพร้อม
Measures มีระบบการวัดที่ดี เมื่อทำให้เกิดผลสัมฤทธิอันไหนให้วัดนั้น ๆ
Rewards ให้ตรงตามความต้องการที่เขาต้องการ
Communication การสื่อสารที่ดี
Designing ออกแบบรูปแบบให้ตรงตามความต้องการ
คำถาม กรณี กฟผ.เปลี่ยนเป็น บมจ.กฟผ. และกลับเป็น กฟผ. นั้น เป็นอย่างไร
เมื่อได้อ่านบทความจบแล้ว ผมอดเข้าใจไม่ได้ว่า ท่านอาจารย์เองก็ได้มีแนวคิด และได้พัฒนาวัตรปฏิบัติของตนไปในแนวทางที่มุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ศิษย์ และแก่สังคมโลก เช่นเดียวกับที่ Guru Peter F. Drucker ได้ประพฤติปฏิบัติมาเช่นกัน ใช่ไหมครับ?
" ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
ว่าอาจจักยังชนม์ เลิศได้ และยามจักบรรลัย ทิ้งซึ่ง รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย " (พระราชนิพนธ์ ร.6)
Dear sir and SEDP-2(3) friends
Now that half way of the course in Thailand has passed, I am very pleased that I choosed not to bypass this class. As I am a believer in HR I have established the KM (Knowledge Management) and tried to build up the LO (Learning Organization) within the Hydro Power Engineering Division to lay up the base for the future.
The topic I would like to share my opinion is "Leadership" because without it we will go " nowhere".
As a nation we need "Leader" who we can "trust" and able to lead us through "crisis".
As an organization/company we need the "leader"who posses "Integrity". Always makes right decision at appropriate time.
As a small working unit we need 'Leader" who always "care". Listen, Understand and Help.
The other point that touches my mind is the "4 Dimensions of people". Body , Heart, Mind and Spirits. You have to has all four to be " Human".
That's it for now, thank you all,
Nipon P.
จาก นายวีระพันธุ์ ลังคุลจินดา
28 พฤษภาคม 2550
เรียน ท่านอาจารย์ จีระ และเพื่อน SEDP-3 (กฟผ. รุ่น 3)
สำหรับ Mr.Peter F.Drucker ที่ได้อ่าน ชอบตอนที่ว่า Peter F.Drucker was driven not by the desire to say something but by the desire to learn something from every student (one) he met
Paper ของอาจารย์ เรื่อง ทฤษฎี 2 R'S ที่อาจารย์ชอบนำมาพูดถึงและแจกให้อ่าน ถือได้ว่าผู้นำและผู้บริหารมืออาชีพควรจะยึดเป็นหลักใช้ในการพิจารณาก่อนจะตัดสินใจดำเนินการต่อไปได้เป็นอย่างดี คือ Realityมองความจริง มองตรงประเด็นและเข้ากับสถานการณ์ (Relevance)
สำหรับทฤษฎี 4 L'S L1 Learning Methodology วิธีการเรียนรู้แบบใหม่เน้นการวิเคราะห์
แลกเปลี่ยนความคิด L2 Learning Environment การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ L3 Learning Opportunity
การสร้างโอกาสในการเรียนรู้เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน L4 Learning Communities การ
สร้างชุมชนในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ซึ่งทั้ง 4 L'S สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการสร้างองค์กรแห่งการเรียน
รู้ ( Learning Organization) ได้ ในส่วนของ กฟผ. หลายสายงานได้พัฒนาระบบบริหาร KM มาหลายปีและ
ถูกประเมินผล PA ในหน่วยงาน 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้ประเมินผลการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ของแต่ละหน่วย
งาน โดยแต่ละหน่วยงานก็จะมีการกำหนดแผนและกลยุทธ์ในการพัฒนาหน่วยงานให้เป็นองค์กรแห่งการ
เรียนรู้ เช่นในหน่วยงานของผมก็ได้กำหนดแผนออกแบบ และสร้างให้เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้
หลักการและเหตุผล
เพื่อให้หน่วยงานเป็นองค์กรที่มีการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ และสามารถจัดการความรู้ให้เกิด
ประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นองค์กรที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการ
ถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในระหว่างบุคลากรควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เป้าประสงค์
สำคัญ คือ เอื้อให้เกิดโอกาสในการหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อนำไปสู่การพัฒนา และ
สร้างฐานความรู้ที่เข้มแข็งขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
วัตถุประสงค์
เพื่อสร้างระบบบริหารองค์ความรู้และส่งเสริมให้เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อยกระดับความ
รู้ขององค์กรให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องยั่งยืน
เป้าหมาย
1. เครือข่ายการเรียนรู้
1.1 มีเครือข่ายการเรียนรู้มีทีมงานผู้บริหารร่วมกันเป็นเจ้าขององค์ความรู้หลักขององค์กร
1.2 มีเครือข่ายชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้ (Communities of Practice:CoP) เพื่อให้พนักงานแบ่ง ปันความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยมี CoP ของแต่ละกองเทคนิคภายในองค์กร
กองละ 1 กลุ่ม และระหว่างฝ่ายของสายงานระบบส่ง 10 กลุ่ม
1.3 มีการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้เดิมหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมองค์
ความรู้หลักของแต่ละหน่วยงาน โดยเน้นการเปรียบเทียบ วิธีการปฏิบัติงานที่ดีที่สุด
(Best Practice) ทั้งภายในและภายนอกกองอย่างน้อย 1 ลักษณะงานต่อ 1 กอง รวม 6
กอง
1.4 มีการจัดกิจกรรมเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์
คิดค้นของฝ่ายโดยมีการคัดเลือกส่งเข้าเผยแพร่ระดับสายงานระบบส่ง
1.5 มีการแบ่งปันความรู้ผ่านคลังความรู้ของฝ่าย และสายงานระบบส่งบนระบบ
EGAT Intranet ได้ไม่น้อยกว่า 7 % ต่อวันของผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด
2. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.1 มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือให้ทันสมัยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์
จากการบริหารองค์ความรู้โดยกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ
2.2 พัฒนาความรู้จากองค์กรภายนอก และเชื่อมโยงจัดเก็บความรู้ในระบบคลังความรู้
3. คลังความรู้
มีการวบรวมจัดเก็บองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง โดยจัดทำ Web
KM และแต่ละกองจัดทำข้อมูลทางวิชาการให้ครบถ้วน
4. วัฒนธรรม
4.1 กระตุ้นให้พนักงานพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยต้นเองและยินดีแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่นโดย
การจัดบรรยายทางวิชาการทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือน
4.2 ให้นำวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) มาใช้ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4.3 จัดให้มีระบบการให้รางวัลเพื่อสนับสนุนพฤติกรรมการใฝ่รู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
5. บทบาทผู้บริหาร
องค์กรประกาศนโยบาย 5 ข้อ สร้างองค์กร สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
6. สร้างความเข้าใจ
องค์กรนำเสนอวิสัยทัศน์เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้แก่ผู้บริหารและเผยแพร่ถึงผู้ปฏิบัติงาน
7. การวัดประเมินผล
กำหนดเกณฑ์วัดผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ติดตาม ประเมินผลอย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงกับ
การประเมินหน่วยงาน
การดำเนินการ
1. องค์กรประกาศนโยบายด้านองค์กรแห่งการเรียนรู้
2. แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
3. สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างฝ่ายของสายงานระบบส่งและแต่ละกองเทคนิค
4. พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
5. พัฒนาคลังความรู้
6. เสริมสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้
7. สรุปผลการดำเนินงาน
เรียน ท่านอาจารย์จิระ พี่ ๆ และเพื่อน ๆ รุ่น 3 ทุกท่าน
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550 สัมมนาที่โรงแรมเมธาวลัย ชะอำ ในคืนนั้นนอนดึกกันทุกคน ได้จัดเลี้ยง ร่วมกันร้องเพลงและเต้นรำกันทุกคน สนุกมาก ก่อนแยกกลับห้องอาจารย์ได้นัด ถ้าใครตื่นเช้าไหวให้ไปเดินชายหาดกัน (Morning Walk) ธรรมดาผมไม่ใช่คนตื่นเช้า แต่ครั้งนี้ต้องบังคับตัวเองให้ตื่นให้ทัน เพราะอยากรู้ว่ามีอะไร ในเช้านั้นพวกเราได้เดินไปตามขอบถนน (แบ่งเป็นช่องทางเท้า) เลียบไปตามชายหาดชะอำ มีการคุยกันหลายเรื่อง ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และไอที แล้วก็วกกลับมาที่การเรียนของพวกเรา ความรู้ที่ได้ก็คือว่า การเรียนต้องมีตลอดเวลาของการทำงานหรือตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง เป็นการเติมให้เต็มอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ความรู้เกิดพร่อง เปรียบเสมือนตัวเรา เช้า เที่ยง เย็น ต้องคอยเติมอาหารกินเข้าไปตลอด เพื่อให้ร่างกายคงสภาพอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ฉันใดก็ฉันนั้น นอกจากนั้นยังได้แนวคิดมากมายผมถือว่าการได้เรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์จริง รู้จริง เพราะอาจารย์จิระเคยร่วมในเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของบ้านเมืองมาก่อน ถือว่าเป็นการเรียนรู้จากต้นฉบับ (Original) จึงไม่มีการผิดเพี้ยนใด ๆมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ได้เป็นข้อคิดของผมในวันนั้นคือ การจัดอบรมให้ผู้บริหารของ กฟผ. ในลักษณะนี้ ควรจัดให้กับผู้บริหารระดับกลาง (หัวหน้ากอง) ด้วย เพราะอายุตั้งแต่ 40 – 45 ปี จะมีเวลาทำงานให้ กฟผ. อีกนาน ระบบการเรียนของอาจารย์ใช้ระบบครูฝึก และผู้แนะแนว Coaching and Mentoring System ในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งระบบนี้ไม่ค่อยเห็นในองค์กรไทย ๆ อาจารย์จะแนะนำด้าน Acticulate Vision and Values คือมีวิสัยทัศน์และคุณค่าที่ชัดเจน มีการมองการณ์ไกล มองเห็นการเพิ่มคุณค่า ซึ่งผู้บริหารจะต้องคิดแบบนี้ได้ ต้องค้นคว้า คิด คบผู้รู้ มีจินตนาการ เช่น เข้าสังคม อ่านตำรา อ่านวารสาร ฟังสัมมนา มีเพื่อนที่ดี มี Forum ที่ดี มีอาจารย์ที่ดี เป็นต้น
ก่อนจบวันนี้ ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวกับอาจารย์จิระสักนิด ตัวผมเคยพูดคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาหลายท่าน แต่ไม่เหมือน ดร.จิระ ทุกครั้งที่คุยอาจารย์จะพูดจูงใจคอยกระตุ้นตลอดเวลาให้เกิดกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้อยู่นิ่ง มีความอยาก (กระทำสิ่งต่าง ๆ หรือเรียนรู้) กระหายอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตัวผมเองมีความรู้สึกว่าเป็นเหยื่อ (Victims) แต่ก็ยินดี เพราะการเปลี่ยนแปลงมีอยู่ 2 ประการคือ “ได้ประโยชน์” กับ “ไม่เสียประโยชน์” ถ้าไม่ถูกต้องอย่างไร อาจารย์กรุณาบอกด้วย
วาทะ “คำคมวันนี้” จาก ดร.จิระ
“พวกคุณ (คน กฟผ.) ทำงานหนัก” อันนี้น่าสนใจ การทำงานหนักน่าจะดีและภูมิใจ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น อาจารย์คงหมายถึงการทำงานด้านเทคนิคอย่างเดียว ประโยชน์ที่องค์กรได้รับยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องเรียนรู้เรื่องภายนอก กฟผ. มาก ๆ ด้วย แต่มันก็ยากนะครับอาจารย์ เขาเรียกว่ามันเป็นอิทธิพลของทักษะ (คน กฟผ. เก่งเทคนิค) คนที่ชำนาญอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ได้ง่าย ๆ อุปมาสอนปลาให้เดินบนดิน สอนงูให้บินได้ ฯลฯ แต่พวกเราก็จะพยายามและทำให้ได้
เรียนท่านอาจารย์จีระ
การบ้านทั้งสองบทความนั้นสมาชิก SEDP-2 รุ่น 3 ได้แสดงความหมายมาแล้ว เนื้อหาคงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะพี่สมชัยค่อนข้างแปลมาโดยละเอียด ผมจึงใคร่ขอสรุปเพียงสั้นๆดังนี้
Paper แรกโดย Steve Lohr เขียนถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับคน(ทำงาน) ซึ่งสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี กระแสโลกาภิวัฒน์ และการแทรกแซงของตลาดโลก การทำงานในยุคสมัยนี้จึงเป็นอะไรที่มากกว่าการสร้างผลิตผล และไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบขององค์กรอีกด้วย การร่วมมือของกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญและความชอบเหมือนๆกันก็สามารถสร้างผลิตผลออกมาได้ และนี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการทำงาน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับคน(ทำงาน) จึงอยู่ในลักษณะของ If you give, you'll get
Paper ที่สองโดย Jim Collins เขียนถึง Peter F. Drucker ปรมาจารย์ทางด้าน HR คนหนึ่ง กระนั้นผู้เขียนก็เห็นว่าบทเรียนที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ในตำราของเขา หากแต่อยู่ที่ตัวอย่างในการดำรงชีวิตของเขา ซึ่งอุทิศตนให้กับการให้ความรู้แก่มวลมนุษยชาติมาโดยตลอด ซึ่งผมเองก็กำลังคิดว่าอาจารย์จีระก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
28-05-50-16.05 .
เรียนท่านอาจารย์จีระ
ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าอบรมในหลักสูตรนี้ เพราะได้รับความรู้ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการทำงานทุกวันนี้ ปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้น มีมนุษย์เป็นผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น ปัญหาในเรื่องการปฏิบัติงานเป็นเพียงส่วนน้อย ดังนั้น จึงต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่ให้ความรู้ กฟผ.ที่ให้โอกาส
ขณะนี้ดิฉัน กำลังอ่านหนังสือของอาจารย์ทีมคุณหญิงทิพาวดี อยู่ค่ะ แต่พบคำผิดในหน้า 16 คือทฤษฎีของอาจารย์น่าจะเป็น 8K's ไม่ใช่ 8 H's จึงเรียนมาเพื่อให้อาจารย์ทราบในโอกาสที่จะพิมพ์ครั้งต่อ ๆ ไปค่ะ
กาญจนา ชาญสมร
เรียน ศ.ดร. จีระ และเพื่อนร่วมรุ่นทุกท่าน
ผมได้อ่านบทความ 2 เรื่อง และขอร่วมแสดงความคิดเห็นต่อบทความทั้งสอง เพื่อร่วมกันแบ่งปันประเด็นความรู้ ดังนี้
บทความเรื่องที่ 1 “ The New Office Social Contract : Loyalty is out, Performance is in ” ซึ่งเขียนโดย Steve Lohr ประเด็นของบทความได้เกริ่นนำ ตัวอย่างพนักงาน 2 คน คนแรก ชื่อ Pake อายุ 69 ปี ทำงาน อยู่ 3 ทศวรรษ จนต้องออกจากงาน จะมีความคิดมุ่งเน้น งานที่มั่นคง และความจงรักภักดีในงานค่อนข้างสูง ทั้งชีวิตส่วนตัวและครอบครัวมีกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริม Social Contract กับ คนที่ 2 ชื่อ Cohn วัย 29 ปี จบ MBA มีความคิดต้องการการยอมรับในงาน และเน้นผลผลิต และการมีส่วนร่วมในการสร้างชื่อเสียงให้บริษัท และ มีความต้องการในเรื่องผลตอบ(เงินเดือนและโบนัส ) โดยการประเมินความสามารถ มากกว่าระบบอาวุโส และกระแสสังคมการจ้างงาน สมัยใหม่จะต้องมีความชัดเจนในเรื่องระบบวัดที่ประเมินสมรรถนะจากความคาดหวังของฝ่ายนายจ้างที่ต้องการอะไร และ ฝ่ายลูกจ้างเมื่อปฏิบัติงานบรรลุควรจะได้รับอะไร เป็นเจตนาที่ผู้แต่งต้องการให้เห็นความแตกต่างทางความคิดที่เกิดขึ้นใน สังคมอเมริกา กับพนักงานของบริษัทชั้นนำ อย่าง บริษัท IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้น นวัตกรรมและ Globalization กล่าวคือมีพนักงานหลากหลายเชื่อชาติ และผมเชื่อมั่นว่า กระแสความรู้สึกเช่น Cohn นี้ จะกระจายไปทั่วโลก แต่ในฐานะผู้บริหาร ที่ดีการประยุกต์ ให้ความคิดทั้งสองกระแสคงอยู่ในจิตใจของพนักงานมีความจงรักภักดีต่องาน และนายจ้างคำนึงถึงผลตอบแทนที่เน้นความสามารถในผลิตผล จะทำให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืน
บทความเรื่องที่ 2 “ Lessons from a student of life ” ผู้เขียนคือ Jim Collins
ได้ เขียนเชิดชูเกียรติของ Professor Peter Drucker ว่าเป็นผู้ทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้ต่องาน โดยจะมีทัศนคติที่ว่า “ What do you want to contribute?” รวมทั้งคำถามที่ว่า “ What you can “get” in this world?” สามารถเป็นกรอบความคิดให้เราเป็นผู้มุ่งมั่นในการสนับสนุนช่วยเหลือกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราด้วยดีเสมอ และ Professor Peter Drucker มุ่งมั่นผลิตผลงาน จนอายุ 85 ปี นับเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ในทางบริหาร
เพราะเขาเรียนรู้จากนักเรียนด้วย ดังนั้น การมีแนวคิด เป็นผู้ให้ ถือเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่
นายประยูร พงษ์ประภาพันธ์
เรียน ศ.ดร. จีระและเพื่อนร่วมรุ่นทุกท่าน
ผมเสียดายมากที่ไม่ได้ไปอบรมในสัปดาห์ที่ 1 ณ โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เนื่องจากต้องเดินทางไป ปฏิบัติราชการที่ประเทศภูฏานกับคุณ พิบูลย์ บัวแช่ม (อคฟ) ระหว่างวันที่ 14-18 พฤษภาคม 2550จริง ๆ แล้วผมและคุณพิบูลย์ บัวแช่ม เดินทางไปกับผู้บริหารระดับสูงของกฟผ อีก 2 ท่าน
ผมเชื่อว่าภูฎาน คือจุดหมายในฝันแห่งหนึ่งที่ทุกท่านอยากมาเยือน แต่อีกนั่นแหละ มีไม่มากคนนักที่เคยได้ไปเยือนเนื่องจากค่าใช้จ่ายไปภูฎานค่อนข้างสูง จากข้อมูลคร่าว ๆ เที่ยวภูฎาน 5 วันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท หลายคนจึงเก็บแผนเดินทางไปภูฎาน ซุกเอาไว้ในความฝัน...
ผมอยากจะ SHAREประสบการณ์ในการไปภูฏาน ครั้งนี้กับการอบรมของหลักสูตรของเรา โดยเฉพาะ newsletter เป็นสกู๊ป”บทเรียนจากความจริง” ของอาจารย์ใน น.ส.พ แนวหน้า วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2550 ในหัวข้อเรื่อง คนไทยต้องเอาจริงกับการเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาซ็องค่า(Dzongkha)เป็นภาษาประจำชาติของชาวภูฎาน แต่ผู้ที่มีการศึกษาพอสมควร จนถึงระดับสูงจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีแม้กระทั่งพนักงานขับรถที่มาให้บริการเรา เท่าที่ทราบผู้ที่เรียนเก่งรัฐบาลจะส่งไปเรียนต่างประเทศเพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ หันกลับมาประเทศไทยผมว่าคนที่จบปริญญาตรียังมีปัญหาการพูดการเขียนภาษาอังกฤษพอสมควร ผมว่าแนวการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเราควรต้องพิจารณาใหม่
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ว่า ครูภาษาอังกฤษต้องมี life long learning และมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ผู้นำและผู้บริหารในวันนี้ต้องเก่งงานและเก่งคน แล้วควรต้องเก่งภาษาอังกฤษและเก่ง computer ด้วยจึงจะเจ๋งจริง
ขอขอบคุณทุกท่าน
ประยูร พงษ์ประภาพันธ์ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตรสวัสดีครับ ท่านอาจารย์จีระ และเพื่อนๆ ทุกคน
บทเรียนที่ผ่านมาจาก อจ.รัศมี ธันยธร ในวันที่ 29 พค.2550 น่าสนุก ได้เปลี่ยนอารมณ์ และเปิดกล่องในการเรียนรู้ ของพวกเราไปมากพอควร
"ฝนตกลงมา น้ำไหลเป็นทาง" คงเป็นประโยคเด็ดที่ติดใจพวกเราไปได้อีกนาน ถึงเรื่องขบวนการ Self Organizing Information System ที่ทำให้เรามักทำ หรือตอบสนองอะไรๆด้วยความคุ้นเคย ด้วยวิธีการ ซ้ำๆ จนกระทั่งแทบจะทำไปได้เองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากสมองของเราเรียนรู้โดย- เก็บข้อมูลเข้ากล่อง-Set the Pattern
- เรียนรู้เพิ่มเติมด้วยการตอกย้ำ ทำอย่างที่เคยทำ-Repeat the Pattern
"แท้จริงแล้ว อยากได้อะไรหรือ" เป็นอีกประโยคเด็ดที่ อจ.ชวนให้คิดถามตนเอง เมื่อแนวทางเดิมๆเกิดติดขัด ไม่สามารถพาไปสู่จุดหมายได้ เพื่อให้เราลองคิดหาทางเลือกอื่นๆ -Alternatives ที่อาจไปสู่เป้าหมายได้อีกหลายๆทาง และลองเลือกทำดู โดยใช้คำถามนี้เป็นธงนำความคิด ดีกว่าจะปล่อยใจไปตามขบวนการ "ฝนตกลงมา น้ำไหลเป็นทาง" เช่นเคย การที่เราคิดไม่ออก หาทางแก้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราโง่ แต่เป็นเพราะมี Information ไม่เพียงพอ อจ.จึงแนะนำให้เราเปิดกล่องความคิด หาข้อมูลใหม่ๆให้หลากหลายขึ้น ด้วยการข้ามไปสู่กล่องข้อมูลอื่นๆบ้าง โดยต้องพยายาม Come Across the Pattern
เทคนิคอื่นๆที่น่าติดใจ ซึ่ง อจ.ได้แนะนำให้พวกเราลองทำดู เพื่อทำให้ตัวเรามีความสุขในการดำเนินชีวิตมากขึ้น โดยพยายามขจัดความทุกข์ใจของตนออกไปก่อน เพื่อไม่ให้ความทุกข์นั้นเข้ามาเบียดเบียนทั้งตนเอง หรือเบียดเบียนผู้อื่นอีกต่อไป คือ การ- พยายามฟัง พยายามเข้าใจ และยอมรับคนอื่นอย่างที่เขาเป็นโดยไม่ต้องมีความรู้สึกโต้แย้ง หรือตำหนิ- ละทิ้งพฤติกรรมที่ทำต่อ เอ๋ 1 ไม่ให้กลับมาปรากฏอีกต่อไป
- สร้างเสริมพฤติกรรมที่ทำต่อ เอ๋ 2 ให้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ
- ให้อภัยตัวเองที่เคยคิดผิด ทำผิดในเรื่องที่หนักๆ ซึ่งอาจไม่มีใครรู้มาก่อน
- ให้อภัย และตั้งปรารถนากับคนที่เรารู้สึกไม่อยากให้อภัยเลย ด้วยเคยทำร้ายเรามาก่อน ให้เขาได้รับสิ่งที่ดีงามในอนาคต
- แสดงความขอบคุณให้ปรากฏออกมาตรงๆ ต่อผู้ทำคุณแก่เราโดยเปิดเผย และจริงใจ
หวังว่า Happiness in Mind จะบังเกิดแก่พวกเราทุกคน สมดังความปรารถนาดีจากท่านอาจารย์รัศมี ท่านอาจารย์จีระ และทีมงานทุกๆ คนที่กรุณาร่วมกันจัดสรรหลักสูตรนี้มาให้เราขอบคุณครับ
สมชัย เด่นดวง
นายประยูร พงษ์ประภาพันธ์
เมื่อ เสาร์ 26 พฤษภาคม 2550
เรียน ศ.ดร. จีระและเพื่อนร่วมรุ่นทุกท่าน
ผมเสียดายมากที่ไม่ได้ไปอบรมในสัปดาห์ที่ 1 ณ โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เนื่องจากต้องเดินทางไป ปฏิบัติราชการที่ประเทศภูฏานกับคุณ พิบูลย์ บัวแช่ม (อคฟ) ระหว่างวันที่ 14-18 พฤษภาคม 2550จริง ๆ แล้วผมและคุณพิบูลย์ บัวแช่ม เดินทางไปกับผู้บริหารระดับสูงของกฟผ อีก 2 ท่าน
ผมเชื่อว่าภูฎาน คือจุดหมายในฝันแห่งหนึ่งที่ทุกท่านอยากมาเยือน แต่อีกนั่นแหละ มีไม่มากคนนักที่เคยได้ไปเยือนเนื่องจากค่าใช้จ่ายไปภูฎานค่อนข้างสูง จากข้อมูลคร่าว ๆ เที่ยวภูฎาน 5 วันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท หลายคนจึงเก็บแผนเดินทางไปภูฎาน ซุกเอาไว้ในความฝัน...
ผมอยากจะ SHAREประสบการณ์ในการไปภูฏาน ครั้งนี้กับการอบรมของหลักสูตรของเรา โดยเฉพาะ newsletter เป็นสกู๊ป”บทเรียนจากความจริง” ของอาจารย์ใน น.ส.พ แนวหน้า วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2550 ในหัวข้อเรื่อง คนไทยต้องเอาจริงกับการเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาซ็องค่า(Dzongkha)เป็นภาษาประจำชาติของชาวภูฎาน แต่ผู้ที่มีการศึกษาพอสมควร จนถึงระดับสูงจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีแม้กระทั่งพนักงานขับรถที่มาให้บริการเรา เท่าที่ทราบผู้ที่เรียนเก่งรัฐบาลจะส่งไปเรียนต่างประเทศเพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ หันกลับมาประเทศไทยผมว่าคนที่จบปริญญาตรียังมีปัญหาการพูดการเขียนภาษาอังกฤษพอสมควร ผมว่าแนวการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเราควรต้องพิจารณาใหม่
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ว่า ครูภาษาอังกฤษต้องมี life long learning และมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ผู้นำและผู้บริหารในวันนี้ต้องเก่งงานและเก่งคน แล้วควรต้องเก่งภาษาอังกฤษและเก่ง computer ด้วยจึงจะเจ๋งจริง
ขอขอบคุณทุกท่าน
ประยูร พงษ์ประภาพันธ์
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
Dear sir and SEDP-2(3) friend,
As May 30, 2007 has passed with one important political issue solved. Some may agree and some may not depending on the individual believe. But the world will keep on moving, so do not stop,otherwise you will left behind.
I have several points from the past week lectures to mention in which I think I must write down before I forget.
Cresitive Thinking - Creative + Positive
Mindset
Business Model
Paradigm Shift - *Vision *Management *Direction and *Corporate Culture
The last point is that we have experienced two opposite views from two lecturers. Only time will tell who will be right or may be none at all.
Many thanks,
Nipon P.
เรียน อาจารย์ ดร. จีระ และผู้บริหาร กฟผ. รุ่น 3
จากการเข้าอบรมหลักสูตรพัฒนาภาวะผู้นำและผู้บริหารมืออาชีพในหลายวันที่ผ่านมา ได้รับความรู้และข้อคิดที่เป็นประโยชน์ อย่างหลากหลาย ทีเดียวค่ะ แต่คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือทำให้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอาจารย์ และเพื่อนร่วมรุ่นที่มาจากหลายๆ ฝ่าย ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารและการทำงานแตกต่างกันไป ถือเป็น Intellectual Interaction ที่ดียิ่ง และยังได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน อันเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน เพราะการทำงานที่ดีนั้น จะต้องทำงานเป็นทีม มีการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ต้อง Share ข้อมูลกัน เป็น Network ต้องปรึกษาหารือกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของงาน การสร้างสัมพันธภาพ และความคุ้นเคยซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อองค์กร
ขอ Share comments ในเกร็ดความรู้เรื่องภาวะผู้นำบางเรื่อง จากที่ได้เรียนในช่วงที่ผ่านมา คือ ชอบ Concept ที่ว่าผู้บริหารต้องสามารถ Manage down, Manage side way และ Manage up หลายท่านเห็นว่าการManage down นั้น ง่ายที่สุด แต่ดิฉันมีความเห็นว่า การ Manage up นั้น น่าจะเป็นเรื่องไม่ยากนัก เพราะเราแค่พยายามอ่านใจนาย เข้าใจถึงความต้องการของนายระดับสูงขึ้นไปซึ่งมีอยู่ไม่กี่ท่าน แล้วพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองในการทำงานให้เป็นที่พึงพอใจของนาย Support นายให้ได้มากที่สุด คือ ต้องทำงาน ให้ Meet หรือ Exceed Expectation ของนาย การเปลี่ยนหรือปรับปรุงตัวเรานั้น ย่อมทำได้ง่าย Control ง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น แต่ การ Manage down เป็นการที่เราต้องพยายามปรับเปลี่ยน Mindset และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ของลูกน้อง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพลูกน้องซึ่งมีจำนวนมากกว่านาย ลูกน้องแต่ละคนก็แต่ละแบบ ต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องอดทนอย่างมาก เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารต้องทำความรู้จักและใกล้ชิดกับลูกน้องของตนเพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เพื่อปรับใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป เพื่อ Manage ลูกน้องให้มีความกระตือรือร้น มุ่งทำงานให้องค์กรมากกว่าที่จะคำนึงถึงแต่ว่าตนจะได้รับอะไรบ้างจากองค์กร
จากการบริหารคนที่ผ่านมาพบว่า บางคนยังไม่เปลี่ยน Mindset ในการทำงาน ยังยึดติดกับตัวตน ยึดติดกับระบบอาวุโส โดยไม่มองว่าผลงานตนเป็นเช่นไร ผลงานคนอื่นเป็นเช่นไร ไม่ยอมรับข้อบกพร่องของตน และจะผิดหวังเสียใจมาก เมื่อไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก่อนคนอื่น ศาสตร์อย่างหนึ่งที่ยากอย่างยิ่งของผู้บริหารคือการจะบอกลูกน้องว่าเขามีข้อบกพร่องอะไร ต้องปรับปรุงแก้ไขเรื่องใด เขายังด้อยกว่าคนอื่นตรงไหน โดยเฉพาะการพูดกับคนที่มีการศึกษาระดับสูง จะยากกว่า เพราะส่วนใหญ่จะมี Ego และ มั่นใจในตนเองสูง ยากที่จะยอมรับ Comments ในเชิง Negative ได้ ผู้เป็นหัวหน้าต้องพยายามสรรหาวิธีการและคำพูดที่ Soft ที่สุด พยายามให้ Comments ได้ผลในเชิงสร้างสรรค์ ให้ลูกน้องปรับปรุงตน โดยไม่ทำให้เขาเสียกำลังใจ หรือขาดความมั่นใจในตนเองไป และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันต่อไป การพูดให้ชนะใจคนได้โดยพูดทั้งในเชิง Positive และ Negative นั้น เป็นศาสตร์ที่ยากยิ่ง ต้องมีเทคนิคและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละคนแต่ละกรณี ผู้บริหารควรได้รับการ Coach ในเรื่องนี้ด้วย นะคะตามคำแนะนำของอาจารย์รัศมี ที่ให้พูดหรือคิดเฉพาะแต่ในเชิงบวก Positive Thinking and Positive Comments อาจจะดีในเง่ที่ว่า จะมีแต่คนรักคนชอบ เพราะทำให้คนฟังเป็นสุข แต่ดิฉันมีความเห็นว่าในการบริหารคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น ยังจำเป็นที่หัวหน้าต้องให้ Comments ในเชิง Negative ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งคนฟัง (ลูกน้อง) อาจรู้สึกบั่นทอนบ้าง แต่มันก็จะเกิดผลในเชิง Positive ในที่สุด หากหัวหน้าพูดแต่คำชมเชย พูดแต่สิ่งที่ดีๆ ของลูกน้อง ทั้งที่ลูกน้องมีเรื่องต้องปรับปรุง ในที่สุดจะทำให้ลูกน้องคนนั้นรู้สึกผิดหวังหากได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งช้ากว่าคนอื่น และคิดว่าที่ผ่านมาเขาได้รับแต่คำชมแล้วทำไมเวลาเลื่อนตำแหน่งเขาจึงยังไม่ได้รับการพิจารณา
ดิฉันยังมี Comments อีกหลาย แต่เพื่อมิให้ Blog นี้ยาวเกินไป จึงขอเก็บไว้พูดคุยครั้งต่อไป ค่ะ สวัสดีค่ะจุรีย์ สมประสงค์
ผมเข้ามาติดตาม Block เป็นครั้งคราว รู้สึกดีใจที่เห็นมีการแสดงความเห็นกันกว้างขวาง คึกคัก ในblock ของรุ่น 3 เรียกได้ว่าคึกคักกว่ารุ่น 2 มาก
ขอแสดงความชื่นชมกับสมาชิกรุ่น2 ด้วย ขออนุญาติเข้ามาอ่านเป็นครั้งคราว เพื่อร่วมศึกษาไปด้วย
ขอสวัสดีกับอาจารย์และทีมงานด้วย ขอบคุณที่มีส่วนร่วมในการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นสำหรับผู้บริหาร กฟผ. ในทุกๆรุ่น ความรู้ มุมมองใหม่ๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ทัศนคติต่อลูกค้า สำหรับ กฟผ. อาจรวมไปถึง Stakeholder ทั้งหมดด้วย คงเป็นประโยชน์ที่จะนำกลับมาใช้ใน กฟผ. ต่อไป
สวัสดีครับ
เรียน อจ. ดร. จีระ
ตามที่ได้เรียนเรื่อง innovation อจ.ผู้สอนได้สอนเรื่องการลำดับความสำคัญ และได้ให้กลุ่มทำงานเรื่องการลำดับความสำคัญ โดยยกกรณีศึกษาว่า มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง มีพลเมืองอาชีพต่างฯอย่ 10 คน เช่น แพทย์ นักกฎหมาย นักการเมือง ฯลฯ วันหนึ่ง เกิดโรคระบาดขึน้มา จำเป็นต้องอพยพผู้คนไปอย่เมื่องอื่น แต่มีเครื่องบินสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 8 คน ท่านจะตัดผู้โดยสารคนใดออก ความเห็นของทางกลุ่มเป็นเอกฉันท์ให้ตัด นักการเมือง ออก เนื่องจากเป็นคนไม่มีจริยธรรม ทำให้ผมต้องเรียนถาม อจ.ดร. จีระว่า
นักการเมืองสามารถสอนให้มีคุณธรรมและจริยธรรมได้หรื่อไม่ โดยให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นผุ้สอน ซึ่งความเป็นจริงขณะนี้ นักการเมื่องระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติส่วนมากไม่มีคุณธรรมและจริยธรรม ทำอย่างไรจึงสามารถแก้ภาพพจน์เหล่านี้ได้
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
สรุปการบรรยายของ อ.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์วันที่ 30 พฤษภาคม 2550
กฟผ. เปลี่ยนแปลงเยอะ เหมือนกับ ประเทศไทย แต่ยังดีกว่าประเทศไทย
องค์กรที่ปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์ได้ เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์
สหพัฒน์ เปิด 108 Shop ในนามของชาตินิยม มีการฮั้วกัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก
1990 ประเทศไทย มีวิกฤต ถูกเวียดนามแทน เศรษฐกิจจะแย่ลง ตั้งแต่มีทักษิณมา การเมืองเกิดการปรับตัวไม่ทัน ความสามารถในการแข่งขันลด นักการเมืองคอรัปชั่นจนเสียหายหมด นักการเมืองมองไม่เห็นโลกที่เปลี่ยน รัฐธรรมนูญ ในปัจจุบัน จะประกอบด้วยพรรคเล็ก และพรรคกลาง ทำให้ไม่มองเห็นวิสัยทัศน์ของการเปลี่ยนแปลง และเสียศักยภาพในการแข่งขัน
กฟผ.เป็นแห่งแรก ๆ ที่ทำแผนกลยุทธ์
รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลง
1. Customer interface หมายถึง เราจะต้องโคตรอ่อนไหวต่อลูกค้า และในการบริหารจัดการต้องทำตัวว่าเป็นมัน Customer Centric- ทุก ๆ นาทีลูกค้าเปลี่ยน เช่น บ้านไร่กาแฟ โรตีบอยดังนั้นถ้าจะเข้าใจลูกค้าถึงกึ๋น ต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมถึงกึ๋น เข้าใจตัวเองถึงกึ๋น และต้องเข้าใจ ศ.ก.การเมืองถึงกึ๋น ถึงเข้าใจลูกค้าถึงกึ๋นได้Walk man ของ Sony ถูก ipod แทรก
- ทำแผนกลยุทธ์ ต้องทำให้ตรงเป้า คือ เป้าลูกค้า หรือ เป้าตัวเอง
- เป้าสมัยก่อน กับเป้าสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกัน
- ฟิลิปปินส์ ไม่พัฒนาระบบความคิด มีแต่ปริมาณการศึกษา
ดังนั้น การชำนาญอะไรทำตรงนั้น จะทำให้ถูกแย่งพื้นที่ เปลี่ยนจากชำนาญอย่างเดียว ให้ทำงานหลายเรื่อง เรียนรู้ความชำนาญ และความฉลาดได้ คือไปหาเพื่อนฝูง หรือ Networking ก่อนที่จะวางกลยุทธ์ ต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมถึงกึ๋น คือ อ่อนไหวต่อผู้บริโภคมาก ๆ อ่อนไหวต่อคู่แข่งมาก ๆ อ่อนไหวต่อการเมืองเศรษฐกิจมาก ๆ หลังจากนั้นมาวิเคราะห์ตัวเอง ถ้าฉลาดไม่พอ ยืมความฉลาดของพันธมิตรได้ แล้วค่อยวางกลยุทธ์ ความ fit ระหว่างต้นทุนต่อหน่วยและความแตกต่าง สินค้าทำด้วย Cost ต้องมีการลงทุนให้ต้นทุนถูกลง
กลยุทธ์ความแตกต่างโฟร์โมสต์ ขายได้ราคาดี เพราะตอนนั้นอยู่ที่ Star ถ้ารอไปอีกจะอยู่ที่ Question Mark คือ ส่วนแบ่งการตลาดลดลง เพราะฉะนั้น ควรทำให้เกิดความพอดี
บ้านไร่กาแฟ ไม่อ่อนไหวต่อลูกค้า แพง ช้า ตอนนั้นอยู่ใน Blue Ocean เลยทำให้ขายได้ แต่ปัจจุบันไม่ได้เหมือนเดิม แล้ว Fit กับ Profit ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลง
หัวใจสำคัญของธุรกิจอยู่ที่ Mindset
1989 สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงช้ามาก คนส่วนใหญ่จะเห็นแค่ปัจจุบัน แต่ Mindset ต้องการข้ามวิกฤติ
Workshop : วิเคราะห์ ภัยอันตรายที่จะเกิดกับบริษัท คืออะไร และจะแก้ไขอย่างไร
· ถ้าคุณเป็นเจ้าของสึทายา หรือ แมงป่อง ตัวไหนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและ จะแก้อย่างไร
· กสท. กับองค์การโทรศัพท์ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจะแก้ไขอย่างไร
· มันฝรั่ง “เทสโต้” กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงจะแก้ไขอย่างไร
ตั้งแต่ หลัง1989
1. 11 กันยายน
2. อเมริกาบุกอิรักไม่ฟังความมั่นคง
3. สึนามิ
4. วิกฤต 1997
5. ภาคใต้ค่ากันทุกวัน
6. ประเทศไทยค่ากันเอง
จุลภาค
1. โพลาริสเจ๊ง
2. บุญรอดส่วนแบ่งการตลาดลด
3. โกดักส์แย่
คนสอนหนังสือ ม. 1- 6 รายได้ 20,000 บาท บางคน 200 ล้านต่อปี
เปิดร้านดอกไม้ รายได้สูงสุด เป็น ล้าน ๆ ชื่อ Miss lilly
โลกเราวันนี้ คือ ทั้งเศร้า และทั้งมันส์ สภาพแวดล้อมในการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ประสบการณ์ดี ๆ บริหารดี เอาอดีตดี ๆ มาบริหารปัจจุบัน แล้วไปบริหารอนาคต เพราะอนาคตก็ไม่ต่างกับปัจจุบัน 10 กว่า ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นสิ้นสุด โลกมี Digital ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใครก็ตามที่ขยัน และลุย ไม่มีการอยู่รอด การเป็นทุนนิยม โลกยุคใหม่ ใครชนะ คือคนที่ฉลาดคนยุคนี้ มีคาแร็คเตอร์แบบหนึ่ง
คาแร็คเตอร์มี 2 แบบ
1. แบบ Mechanics เป็นคนที่ไม่คิดอะไรใหม่ ๆ คิดแบบเดิม ๆ เรียกว่า Red Ocean ระบบการเรียนการสอนของไทย สอนหูซ้ายออกหูขวา เรียนในตำรา เรียนเสร็จไม่สามารถใช้ได้ input = output
2. แบบ Organics เป็นลักษณะ ปรับ Mindset ให้คิดใหม่ ทำใหม่ เป็นข้อสอบ แบบ อัตนัย สอน 100 คืน 100 ได้ F สอน 100 คืน 300 ได้ A มีบางอย่างที่อาจารย์ไม่ได้สอน แต่นักเรียนสามารถเข้าใจเกิน 100 เซอร์ไอแซกนิวตัน เป็นประเทศเล็ก พบแรงดึงดูดของโลกจากแอปเปิ้ล เกิดยุคอุตสาหกรรม
ยุคอุตสาหกรรม ประเทศที่เจริญจะใช้สมอง ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ เยอรมัน
ไอน์สไตน์ บอกว่า โลกวันนี้มี 4 มิติ คือ กว้าง ยาว ลึก ถูกสัมผัสด้วยการเวลา คือเป็นยุคที่ใช้สมองมากกว่าเดิม ยุคเลอเนสซอง ค้นพบความกว้างของมนุษย์ เอามนุษย์มาวาดภาพ โมนาลิซ่า ของลีโอนาโด ดาวินซี่
Rethinking the future บอกว่าคุณอย่ากลัวอนาคตคุณต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
Change before you change ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการถูกบังคับให้เปลี่ยน
MIDS - Micro shift Immune Deficiency Syndrome โลกภูมิต้านทานไมโครชิฟ บอกพร่อง ดังนั้น Mind set ควรเปลี่ยนกำดักสถานภาพเดิม ๆ
การเห็นลูกค้ากลุ่มใหม่ คือ Blue Ocean เช่น
- Jett เห็นลูกค้ากลุ่มใหม่ รถไม่เติมน้ำมันก็มาปั๊ม ดังนั้น จึงปรับกลยุทธ์ใหม่โดยวิเคราะห์จากลูกค้า เพิ่ม Jiffy ห้องน้ำ ร้านกาแฟ
- อ. อุ๊ มองลูกค้าว่ามีอยู่ที่อื่นด้วย ใช้ IT ช่วยเพิ่มยุทธศาสตร์ นอกจากนั้น อ.อุ๊มองว่ามีจุดแข็งคือมีนักเรียนเป็น หมื่น เป็นแสน อ.อุ๊ ทำอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่เสี่ยง เพราะกลุ่มลูกค้า คือคนที่ไม่เสียค่าเช่าโรงแรม ไม่เสียค่า อพาร์ทเมนต์
- มั่ว ผสมกับอัจฉริยะ - ต่อมาขายกาแฟได้
- GE ขายสินค้าไม้จิ้มฟัน ยันเรือรบ
- เซเว่น อีเลฟเว่น มีเคาน์เตอร์เซอร์วิส
- ไปรษณีย์ มี เคาน์เตอร์เซอร์วิส และขายพระ
Game Theory ทำให้เห็นอะไรในอนาคตได้
กำดักของการเปลี่ยนแปลง
กลุ่มที่ 1Mechanics เป็นคนที่ไม่คิดอะไรใหม่ ๆ คิดแบบเดิม ๆ เรียกว่า Red Ocean
กลุ่มที่ 2 Over confident เป็นความเก่งที่ตกอับ เป็นกำดักแห่งความโอหัง ตัวอย่างคือ ซัดดัม ฮุสเซ็น ทักษิณ (กำดักแห่งความทรนง) ระบบความคิดเป็นขาว กับ ดำ เป็น Simple
Hamlet เป็นคนที่ตายด้วยการไม่กล้าตัดสินใจ
ธุรกิจที่ Over Confident คือ ฟิล์ม โกดัก , สีฟ้า (เคยชินกับระบบเก่า) เป็นหัวใจที่ทำให้การบริหารมีปัญหา
กลุ่มที่ 3 Framing Tract ถูกจับตัวเองใส่กรอบรูป คือคิดแต่สิ่งเก่า ๆ หรือ ถูกคนอื่นจับใส่กรอบรูป เช่น ถูกบอกว่า อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท กับดักเชื่อว่า 25 บาทไม่ลด หรือ เศรษฐกิจขยายตัว 5 % การใช้ระบบความคิด ทำให้เกิดความเสี่ยง S&P ชนะ เพราะ ไปขายในวัด South west Airline เป็น Blue Ocean ค้นพบลูกค้าใหม่คนแรก การเรียนหนังสือจะเรียนแบบซื่อ ๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่สอนถูกหรือผิด อ.อุ๊ ใช้วิธีการแบบอ.สงวนสอนหนังสือทาง Internet Miss Lilly ใช้วิธีการขายสินค้าเหมือน Amazon.com เป็น รูปแบบ Competitive Benchmarking เช่น ไทยพาณิชย์ ฟอร์ด ดูงานจากโตโยต้า
Noncompetitive Benchmarking ไปศึกษาวิธีการทำกลยุทธ์จากที่อื่น มาปรับใช้ได้อย่างดี Amazon.com ประสบความสำเร็จเพราะ
1. มีคนอ่านหนังสือทั่วโลก ทุกเวลา
2. มีร้านหนังสือทั่วโลกMiss Lilly เลยเรียนแบบ internet
Anty Ann ใช้วิธี สด ร้อน เห็นวิธีการทำ ดังนั้น โดนัท ก็สามารถทำได้
โลกในวันนี้ มี 2 โลก
1.เต็มไปด้วยความเครียด คู่แข่งเยอะ กำไรนิดเดียว ยิ่งนับวัน Margin นิดเดียว สหพัฒน์ มีปัญหา คือ เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง
2. ระบบคิดแบบ Machanics ทุกคนงงหมด คนฉลาด คือคนฉกฉวยโอกาส ขณะที่คนโง่ งง ๆ อยู่ ดังนั้น ควรเป็น Blue Ocean คือการเป็นคนแรกที่เห็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยปรับ Mindset เป็น Organics
ข้อดี คนที่เป็น Organics
1. หมุนทันกับโลก เพราะอ่อนไหวต่อลูกค้า และคู่แข่ง
2. ไม่มีกับดัก มองเห็นอนาคตก่อนคนอื่น
3. ระบบการเรียนการสอนทำให้ไม่ต้องพึ่งพาอาจารย์ Mc Donald ปรับกลยุทธ์ มี KPI ปรับดัชนีความเร็ว ระหว่างลูกค้า กับบริการ มีตัววัด 60 วินาทีMK เป็นเจ้าแรกที่เน้นเรื่องความปลอดภัย โดยเน้นเรื่องเตาปลอดภัย เอาปาล์มมาช่วยเพื่อการพัฒนาความรวดเร็วMcDonald เอาวิธีการจาก MK มาปรับใช้ เพื่อให้บริการอย่างรวดเร็วมีความคิด แบบ Organics เห็นอนาคตก่อน เห็นการเปลี่ยนแปลงถึง กึ๋น มีจำนวนมากที่ชนะใน Blue Ocean แต่มาแพ้ใน Red Ocean ก็สามารถไปไม่รอดได้ นวดฝ่าเท้าตามปั๊ม คนเดินทางไปต่างจังหวัดต้องการประหยัดเวลา ดังนั้นจึงเจ๊ง
Workshop
1. แมงป่อง – การบริหารการเปลี่ยนแปลงต้องเห็นภาพนี้ โอกาส และอันตรายไม่รอด เวลาทำแผนจะไปไม่รอด
ระบบคิดที่ 1 ต้องปรับ Mindset แยกว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ ประเภทนี้เรียกว่า IOKO-Information Overflow Knowledge Overload แยกไม่ถูกว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ
ระบบคิดที่สอง คิดว่าสำคัญทุกตัว ต้องรู้จักว่าอันไหนสำคัญมาก อันไหนสำคัญน้อย ต้องรู้จักระบายสีให้ถูก การทำแผนกลยุทธ์ ไม่ใช่เป็นแผนประชาธิปไตย แต่เป็นการทำของคนฉลาด เพราะคนฉลาดจะเห็นภาพมากกว่า
วิธีการ
1. เทคโนโลยี ต้องเห็นก่อนคนอื่น
2. Moving on Demand
3. เปลี่ยนเป็นแบบ Five Force แมงป่อง ต้องเปลี่ยน Line ทำธุรกิจ ทำ Diversify ทำสินค้าตัวอื่น คนบางคนอยากดูหนังแล้วเก็บไว้ คนบางคนอาจดูหนังที่คาเฟ่ ใช้ลักษณะ On Demand การทำแผนต้องแน่ใจว่ามีทุน และกำลังที่จะทำ
2. องค์การโทรศัพท์ ต้อง Lay off หลายรอบ ถ้าไม่ทำ แล้วอาจเจ็งได้
การใช้ internet เกิดอะไรขึ้นกับองค์การโทรศัพท์ ปัจจุบัน ได้ค่าธรรมเนียมจาก อินเตอร์เน็ต
ภาพที่ 1 Voice over internet Protocol ต้องปล่อยให้ถูกกฎหมาย
สัมปทาน เป็นศูนย์ มาจากกำแพงภาษีลดถึงศูนย์ คือการเปิด FTA เปิดเสรีอาจลดแค่ 5 %
การเปิดเสรีรอบใหม่ จากรอบ โดฮา อเมริกา กำลังใช้ทฤษฎี เกมส์ 0
คนฉลาดใช้ Positive some game เปิดเสรีเกษตรมากขึ้น เพื่อเขาจะขายสิทธิทางการบินได้มากขึ้น เป็นการเปิดเสรีทางการบินได้แน่นอน
การพัฒนาต้องพัฒนา Hardware และ Soft ware องค์การโทรศัพท์ ในอนาคตต้องเปลี่ยนรูปแบบ และต้อง Downsizing อีกหลายรอบ
บุคลากรต้องปรับ Mindset
3.มันฝรั่งเทสโต้ การเจรจารอบอุรุกวัย มีผลบังคับ AFTA มีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 1993 รอบอุรุกวัยหมายความว่า กำแพงภาษีลดลง ตัวเลขจะเหลือ 35 – 40 บุหรี่จากอาเซี่ยนจาก 0-5 ถ้ามีระบบ Organics จะเห็นก่อนรัฐบาล อุตสาหกรรมเป้าหมายมาจากไหน
อยากจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น อย่าสอน But แต่ Why
บิสกิต เมืองนอกตั้งโรงงานอยู่ที่ อินโดนีเซีย และแข่งกับ Jacob
เลย์ ต้องการแข่งไปทั่วโลก เทสโต้มีส่วนแบ่ง 11 % การทำ FTA กับต่างประเทศ จะก่อให้เกิดมันฝรั่งจากต่างประเทศขายในไทยเยอะขึ้น ซึ่งต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำกว่า แล้ว เขาจะมาพร้อมกับ สแน็ค และเทคโนโลยีต่าง ๆ 10 กว่าปี จะเจอปัญหาคือต้นทุนถูกลง รสชาติระดับโลก และถูกกระทบกับสินค้าทดแทน และ OTOP จะขายสินค้าได้น้อยลง แต่จะมีกลุ่ม 20% รวยมากถ้าสามารถปรับรสชาติ และ หีบห่อให้ขายทั่วโลก
กฟผ. หัวใจการบริหาร เจอสภาพแวดล้อมการเปลี่ยนแปลง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะความต้องการไฟฟ้าสูงขึ้น แรงกดดันมีมากขึ้น NGOs มีการปกป้องมากขึ้น ความต้องการกระทบหมด ดังนั้น
เรียน ท่านอาจารย์จีระที่เคารพ และเพื่อนๆทุกคน
ข้อคิดที่เกิดจากการอบรม
สมชัย กกกำแหง
ทรัพยากรมนุษย์จะเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงเมื่อเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและมีความตั้งใจทำงานตามภารกิจที่ตนรับผิดชอบ มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน มุ่งปฏิบัติงานให้สัมฤทธิ์ผลและเกิดประโยชน์ต่อสังคมเป็นหลัก มีมโนสำนึกและการปฏิบัติตนดี เป็นที่น่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เห็นว่า การพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับต่อสังคมในระยะยาว จึงควรมุ่งเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรให้มีคุณสมบัติดังกล่าว
สิ่งที่เห็นว่า กฟผ.ควรดำเนินกิจกรรมบางอย่างที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นกับ กฟผ.ในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเกิดความมั่นคงแก่กิจการในระยะยาว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวประกอบด้วย
1. การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในด้านเทคโนโลยีหลักต่างๆ (Core Technology) ที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน เกี่ยวกับกิจการไฟฟ้าทุกๆด้านอย่างเป็นระบบ โดยสนับสนุนให้มี สถาบันบริหารจัดการองค์ความรู้ กฟผ. และจัดสรรงบประมาณให้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ต่อบุคลากรขององค์กรในหน่วยงานต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ประกอบไปด้วย
- ฝึกอบรมเพื่อสร้างผู้จับและสะกัดองค์ความรู้(Knowledge Engineer; KE) เพิ่มขึ้นจากผู้มีทักษะและสนใจในงานนี้
- ให้ KE สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายราย เพื่อรวบรวม กลั่นกรอง ตรวจสอบความถูกต้อง และสะกัดองค์ความรู้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นสั่งสมไว้
- ติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับกิจการไฟฟ้า
- สนับสนุนให้เกิดงานวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่ช่วยเกื้อหนุนกิจการไฟฟ้า
- จัดระเบียบองค์ความรู้ที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือใช้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแกนหลัก (Backbone) ในการบริหารจัดการองค์ความรู้ โดยมุ่งให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงทุกหนทุกแห่ง และทุกเวลาที่ต้องการ (Wherever, Whenever )
- จัดอบรม ถ่ายทอด และใช้องค์ความรู้เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรและแก่สังคมอย่างเต็มศักยภาพ
เพื่อให้ กฟผ.
- สามารถพึ่งพาตัวเองจากองค์ความรู้ที่สั่งสมไว้ ได้มากขึ้นในอนาคต
- สามารถเป็นหลัก เป็นที่พึ่งที่มั่นใจได้ของประเทศ ในกิจการผลิตไฟฟ้า
- สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่องค์กรและประเทศ จากการไปลงทุนหรือให้บริการนอก กฟผ. ด้วยความสามารถที่สั่งสมมา
2. การจัดกิจกรรมเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับกิจการไฟฟ้าให้แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง
- เพื่อให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญของ กฟผ.ในเชิงกว้าง โดยการให้ข่าวผ่านสื่อประเภทต่างๆอย่างสม่ำเสมอ และ
- ควรเพิ่มการให้องค์ความรู้ในเชิงลึกที่เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในทางวิชาการเฉพาะกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องได้รับการร้องขอ เช่น
- การเผยแพร่ผ่านทาง Internet ใน web page เฉพาะ
- หาโอกาสที่จะจัดให้มีการ Presentation หรือการเสวนาทางวิชาการกับกลุ่มผู้มีความสนใจเฉพาะทาง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจเป็นระยะๆ
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยทำให้ บุคลากรของ กฟผ.มีโอกาสได้ติดตาม ทบทวน และปรับปรุงองค์ความรู้ให้ทันสมัยอย่างเป็นพลวัต (dynamic) มีภาพลักษณ์ที่สง่างาม โปร่งใส และได้รับความไว้วางใจจากสังคมเพิ่มขึ้น
3. กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake Holders)
กับภารกิจของ กฟผ. เพื่อให้เขาเหล่านั้น ได้รับความเข้าใจแนวคิด และหลักการตัดสินใจในการดำเนินงานผลิต และส่งกระแสไฟฟ้าของกฟผ.ที่เป็นไป เพื่อประโยชน์โดยรวมของประเทศ หรือได้รับทราบภาพลักษณ์จากการมารู้จักอย่างใกล้ชิดกับคน กฟผ. เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่เป็นมิตรกับ กฟผ.มากขึ้น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวอาจประกอบด้วย
- การจัดหลักสูตรฝึกอบรมประจำปี ของ กฟผ. ที่ออกแบบขึ้นอย่างเหมาะสมหลายหลักสูตร เพื่อให้เหมาะสมต่อผู้เข้ารับการอบรมซึ่งมีพื้นฐานที่หลากหลาย และเชิญตัวแทนจากกลุ่มต่างๆของผู้มีส่วนได้เสียในจำนวนที่เหมาะสม มาเข้าร่วมรับการอบรมพร้อมกับผู้ปฏิบัติงานของกฟผ. ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ติดต่อประสานงานกันต่อไป เช่น ข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ ผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากชุมชนที่เกี่ยวข้องกับงานของกฟผ. ตัวแทนจาก IPP SPP NGO
- การประชาสัมพันธ์สู่สังคม โดยเน้นตอกย้ำในเรื่องที่เป็นประเด็นเด่นๆเพียงช่วงละเรื่องเดียว (One Focus) เพื่อให้เกิด Brand Image ที่โดดเด่น แสดงนัยแห่งการสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน หรือแสดงนัยแห่งความเอื้ออาทรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเด็นที่น่าหยิบยกมาสร้างเป็น Brand Image ของ กฟผ. ควรมีลักษณะที่สะท้อนสิ่งที่ประจักษ์ชัด หรือมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำประโยชน์มาสู่สังคมไทย (Reality) และถ้าสะท้อนถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตไฟฟ้า(Relevance)ได้ด้วย ก็มีโอกาสที่จะเป็น Brand Image ที่ติดตาติดใจคนได้อย่างยั่งยืน
ตัวอย่างที่ กฟผ. อาจสร้างเป็น Brand Imageได้ คือ เรื่องการใส่ใจมุ่งหน้าหาพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตไฟฟ้า และประกาศตนเป็นผู้สนับสนุนหลักเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานที่พึ่งได้ของประเทศไทยในอนาคต และอาจจำเป็นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักมากขึ้นว่า แหล่งพลังงานจาก fossil fuel ในประเทศ กำลังลดน้อยลง และจะหมดไปในอนาคตภายในเวลาประมาณ 30 ปีนับจากนี้
แม้ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูงในระดับปานกลาง เช่น แสงอาทิตย์ แต่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังสูงมาก เนื่องจากปัจจุบันหากเราต้องการใช้งานทันที เราจะต้องนำเข้าเทคโนโลยี หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต Solar Cell เป็นจำนวนมาก ดังนั้น แนวทางที่จะเป็นไทแก่ตน และพึ่งพาการใช้แสงอาทิตย์ในประเทศได้อย่างยั่งยืน จำเป็นที่จะต้องวิจัยอย่างจริงจังเพื่อหาเทคโนโลยีการผลิต Solar Cell ที่เป็นของไทยเอง และใช้วัสดุในเมืองไทยเป็นพื้นฐาน ซึ่งขณะนี้ทราบว่า มีนักวิจัยซึ่งมีความสามารถสูงกลุ่มหนึ่งกำลังทำงานอยู่ภายใต้การดูแลของ สกว. แต่ชุดงานโครงการใหญ๋เช่นนี้ ต้องมีโครงการวิจัยย่อยเพื่อลงลึกเพื่อหาองค์ความรู้มาประกอบกันหลายส่วน จึงจะทำให้ขบวนการผลิต Solar Cell ทั้งหมดสมบูรณ์ได้ ดังนั้น งานวิจัยบางส่วนจึงดำเนินไปได้อย่างล่าช้า เพราะยังมีนักวิจัยที่มาร่วมทีมไม่มากพอ เนื่องจากอาชีพนักวิจัยเต็มเวลาในประเทศยังขาดหลักประกันความมั่นคงในด้านค่าตอบแทนการยังชีพ สภาพการจ้างจะทำกันเพียงช่วงระยะสั้นๆ นักวิจัยผู้สามารถหลายคนจึงปลีกตัวไปทำงานอื่นที่มีผลตอบแทนทางรายได้สม่ำเสมอกว่า ส่งผลให้งานวิจัยชุดโครงการโดยรวมคืบหน้าไปในอัตราที่ช้า
เห็นว่า งานวิจัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัยที่จะเปิดโอกาสให้เกิดกลุ่มนักวิจัยอาชีพเช่นประเทศที่พัฒนาแล้ว และช่วยรักษาให้มีบุคลากรอยู่ในวงการวิจัยของประเทศต่อไปได้ นอกจากนั้น เมื่องานสำเร็จจะเป็นงานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานไฟฟ้าได้ส่วนหนึ่งในอนาคต กฟผ.น่าจะมีโอกาสเลือกที่จะเป็นผู้ร่วมลงทุนในการผลิต Solar Cell ของไทยรุ่นนี้ในลำดับแรกๆ ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก Solar Cell นี้จะเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีความต้องการ Solar Cell สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุดังกล่าว กฟผ.จึงน่าจะเป็นผู้สนับสนุนหลักโดยให้ทุนวิจัยระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นหลักประกันการดำรงชีพแก่กลุ่มนักวิจัยที่สามารถสร้างผลงานออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ และ กฟผ.สามารถประชาสัมพันธ์ตอกย้ำถึงจุดเด่นต่างๆ ว่า
กฟผ.มีวิสัยทัศน์ไปในอนาคต เพื่อแสวงหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชน จึงให้การสนับสนุนงานวิจัยในเรื่องที่เป็นความหวังร่วมกันของชาติ ในด้านการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืน และเชื่อว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็น Brand Image ที่ยั่งยืน และเป็นตำนานของ กฟผ.ไปได้อย่างยาวนานเช่นกัน
การบรรยายเรื่อง แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์โดย คุณผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2550
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
4.ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
ม. 31 จะมีการแต่งตั้งกรรมการ หรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ยก่อนได้
แนวคิดการบริหารด้านแรงงานสัมพันธ์
- Bi-Partite
- Tri-Partite
- Win Win Concept คือการหาข้อยุติที่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
- ที่ทำอยู่ เป็นแรงงานสัมพันธ์เชิงรุก ไม่จำเป็นต้องมีข้อขัดแย้งก่อน แล้วค่อยทำ แต่เป็นการเอากิจกรรมต่าง ๆ มาเป็นตัวเชื่อม เช่น กีฬาฯ , ความร่วมมือทางสังคม
- ILO. Convention No 87& 98
อนุสัญญาที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพทางสมาคม และการคุ้มครองสิทธิ และ
อนุสัญญาที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติในหลักการสิทธิแห่งการรวมตัว และการเจรจาต่อรอง ประเทศไทยยังไม่ตกลงในอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ เนื่องจากทุกภาคส่วนของประเทศไทยจะต้องเห็นชอบ และให้สิทธิด้วย ดังนั้นก่อนทำต้องมีการดำเนินการที่ดี สิทธิการว่าจ้างการปลอดภัยในการทำงาน ของ กฟผ. ได้รับรางวัลสถานประกอบการดีเด่น ในเรื่องความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ในอนาคต ควรเน้นในเรื่องความปลอดภัย เป็นเรื่องที่ต้องดูแลโดยเฉพาะ EGAT ควรดูเรื่องความปลอดภัยโดยเฉพาะเรื่องการทำงาน ต้องการให้พนักงานมีความมั่นคง ทั้งสวัสดิการ รายได้ และปลอดภัย รวมถึงผู้บริหารจะมีความเข้าอกเข้าใจ
แนวคิดของผู้บริหาร
1. คุยกันเอง เรื่อง ทวิภาคี
2. คุยกันเรื่อง ไตรภาคี
3. ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
4. แนวทางเพื่อดูแลตามกติกาโลก
คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ หรือ ทวิภาคี คือ กรรมการกิจการสัมพันธ์
- ปัจจุบันมีปัญหาเยอะในการตั้งคณะกรรมการ ในรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ก็มีปัญหาเช่นกัน
- คณะกรรมการมาจากวิธีการแต่งตั้ง หรือสรรหา ถ้า Board ไม่เรียบร้อย จะส่งผลถึงกรรมการกิจการสัมพันธ์
- คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ ควรมีการประชุมทุกเดือนที่เป็นไปได้ หรือ บ่อย ๆ เนื่องจากปัญหานั้น ต้องกระทบกับประชาชน และสังคม ดังนั้น จึงควรนำมาคุยกันในที่ประชุม ได้ มีตัวแทนที่ทำความเข้าใจ ทำให้เรื่องบางเรื่องง่ายขึ้น
- ควรมีคำอธิบายถึงส่วนต่าง ๆ ดั้งนั้นควรเน้นในเรื่องการสื่อสารให้ถึงกันอย่างทั่วถึงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
- ข้อพิพาทเรื่องแรงงาน สามารถคุยกันได้ โดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นธรรมต้องเปิดใจยอมรับ และมีเหตุผลในการคุยกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน
สหภาพแรงงาน
- 1 รัฐวิสาหกิจ มี 1 สหภาพแรงงาน
- In-house union กิจการในสถานประกอบการเดียวกัน เช่น กิจการชิ้นส่วนรถยนต์
- ภาพลักษณ์ของสหภาพแรงงาน มีส่วนที่ จะต้องช่วยพัฒนาองค์กรสหภาพแรงงานให้เป็นองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือสมาชิก และดูแลสมาชิก เป็นภาพการทำความเข้าใจ การพูดคุยกันด้วยเหตุ ด้วยผล
- บทบาทที่ผ่านมาของสหภาพแรงงาน บางครั้งเกินขอบเขต กติกาที่เขียนไว้ บางครั้งเป็นเรื่องที่เอาชนะอีกฝ่าย ดังนั้น จึงช่วยกันในเรื่องนี้
- ในต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รับหน้าที่เป็นนายทะเบียน จดทะเบียนสหภาพแรงงาน ให้เสรีภาพอย่างเต็มที่ในการจดทะเบียน แต่ควรให้อยู่ในกรอบ และกติกาของกฎหมาย ดังนั้น หน้าที่ คือ พยายามอธิบายให้เข้าใจ ถึงสิทธิ และหน้าที่ที่ชัดเจน
- สหภาพแรงงาน คือ องค์กรที่เป็นตัวแทนของฝ่ายลูกจ้าง และควรเป็นองค์กรที่ทำงานร่วมกัน การทำความเข้าใจควรให้ความรู้ ให้เข้าใจถึงบทบาท หน้าที่ ทำให้การคุยเป็นไปด้วยเหตุด้วยผล และก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี
- การจัดกิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- การให้ความสัมพันธ์ต่อสมาชิก เช่น การจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ มีทุนประเดิม ใครสมัครสมาชิก ให้เงินพิเศษ ทำให้รัฐวิสาหกิจ เล็งเห็นถึง ความทุกข์ยากของพนักงาน
- เปิดเวที พบปะพูดคุยภายใต้กรอบ กติกา และเหตุผล
- กฟผ. สมาชิก สหภาพแรงงาน ประมาณ 12,000 กว่าคน ผู้นำจึงควรเข้าใจบทบาทหน้าที่ และคุยด้วยเหตุ ด้วยผล
- บางครั้ง มีการเอามวลชนด้านแรงงานไปเคลื่อนไหวทางการเมือง จะต้องช่วยกันดู
สหพันธ์แรงงาน
- มีสหภาพแรงงาน 10 แห่งรวมตัวกัน
- การดำเนินการเป็นในเรื่องกฎหมาย กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างงานในรัฐวิสาหกิจ
- มีการประกาศมาตรฐานขั้นต่ำสภาพการจ้างรัฐวิสาหกิจ ตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน รวมถึง กฎหมายความปลอดภัย ซึ่ง กฟผ. เป็นตัวอย่างที่ดี
- ประกาศเมื่อ 31 พ.ค. 2549 ดูแลเรื่องคุ้มครองแรงงาน และเรื่องการทดแทน
- ลูกจ้างต้องใช้สิทธิทางศาลแรงงาน การตีความตามกฎหมาย
- การคุ้มครองลูกจ้าง และ พรบ.เงินทดแทน
- การบังคับใช้ ผู้ใดฝ่าฝืนในประกาศ มีโทษในการกระทำความผิด เช่น จำ หรือ ปรับ
- 7 เม.ย. 40 การกำหนดขอบเขตการจ้าง รัฐวิสาหกิจ ดำเนินการเองได้
- มติ ครม. รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการเอง ได้ เช่นเรื่องการปรับอัตราการจ้าง ปรับปรุงเรื่องสวัสดิการ ยกเว้นเรื่องรักษาพยาบาล ต้องเข้ากรรมการวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องอื่น ๆ เช่นการจ้างที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้
- ปรับปรุงสภาพการจ้าง ต้องเป็นสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิม
- การปรับบางอย่างของรัฐวิสาหกิจบางแห่งเกี่ยวข้องกับสถานภาพการเงิน กระทรวงการคลังบอกว่าให้ผ่านกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งมีตัวแทนของกรมบัญชีการอยู่ด้วย
แนวโน้มแรงงานรัฐวิสาหกิจในอนาคต มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ
1. สภาวะเศรษฐกิจ จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงจะเกิดขึ้นในทุกส่วน เช่นเรื่องการปฏิรูป ดังนั้น แนวโน้มแรงงานรัฐวิสาหกิจในอนาคตตอบไม่ได้
2. นโยบายของรัฐเป็นเรื่องสำคัญมาก นโยบายของรัฐในอดีต ในปัจจุบัน อนาคต คาดว่าจะคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่ไม่มาจากฝ่ายการเมือง ดังนั้น จึงมีคนว่าอยู่เรื่อย ๆ ว่าราชการเกียร์ว่างหรือไม่ ราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ดำเนินการแก้ปัญหาเป็นการแก้ปัญหาจริง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นโอกาสที่ดี และที่ถูกต้องที่ กฟผ. ไม่อยู่ภายใต้การเมือง
3. แนวโน้มในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับผู้บริหารขององค์กรทุกท่าน
4. สถานการณ์ทางสังคม ความรับผิดชอบทางสังคมมีเพิ่มมากขึ้น ชุมชน และสังคม มีส่วน
สรุป แนวโน้มในอนาคต ไม่สามารถตอบได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางขององค์กรของแต่ละท่านเอง
Workshop พูดคุยกันเรื่องแนวความคิดการจัดระบบการพัฒนาแรงงานในสัมพันธ์ใน กฟผ. ท่านคิดว่าควรดำเนินการอย่างไร ที่ให้เป้าหมายของพนักงาน และผู้บริหาร สามารถดำเนินการสู่ความสำเร็จ ตามเป้าหมายของวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้
- ประสบการณ์เคยพบปัญหาอะไร
- มีวิธีการแก้ไขและปรับปรุงอย่างไร
- เสนอแนวคิดและวิธีการใหม่ ๆ
- ยืนบนพื้นฐานของการทำงานร่วมกันให้ได้ ทำงานเป็นทีมต้องทำอย่างไร
- การปรับปรุงพัฒนาแรงงานสัมพันธ์จะไปถึงสิ่งต่าง ๆ คุณสมภพ ปราบณรงค์ (ต่อ)
- ความต้องการพื้นฐาน ของ นายจ้าง และลูกจ้างมีความแตกต่างกัน- ความต้องการนายจ้าง มีเงินมาลงทุน จ้างคนบริหาร สูงสุดที่ต้องการคือ กำไรสูงสุด
- ลูกจ้างต้องการความมั่นคงในอาชีพ และการงานเป็นเป้าหมายสูงสุด
- ทั้งสองฝ่ายคุยกัน ถ้าจบไม่ได้ ถูกทั้งคู่ แต่ไม่ยอมรับกันจะอยู่ไม่ได้ ต้องมีอีกคนเข้ามาช่วย ใช้บุคคลที่ 3 เข้ามาช่วยคุย
2 ฝ่ายต่างเคารพนับถือ เป็นตัวการประนีประนอมทั้งสองฝ่าย เรียกว่า ไตรภาคี (บุคคลที่ 3) ของไทย มีรัฐบาลเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ การยอมรับ
- การปรับอนุสัญญาระหว่างประเทศ
- การออกสนธิสัญญา Convention ทุกฉบับมีหลักคิด
อนุสัญญาฉบับที่
1 กำหนดเวลาการทำงานของลูกจ้าง ประเทศไทยเอามาใช้ แต่ยังไม่รับรอง เวลาคนทำงาน 24 ชั่วโมง เท่ากัน ดังนั้นจึงกำหนด หลัก 3 แปด
8 ทำงาน มีรายได้ เพื่อมีชีวิตที่ดี
8 การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
8 การผักผ่อนหลับนอน เพื่อพร้อมทำงานต่อไป
อนุสัญญา 87 เป็นเรื่องเสรีภาพในการรวมตัวกัน ประเทศไทยไม่ได้ให้ตามอนุสัญญาที่กำหนด มีการควบคุมนายทะเบียนอยู่ ซึ่งอนุสัญญา 87 ต้องไม่มีเงื่อนไขควบคุมนายทะเบียน รัฐวิสาหกิจเดียว สามารถมีหลายสหภาพได้ ประเทศไทยจึงรับไม่ได้ และประเทศไทยไม่เปิดโอกาสให้ข้าราชการจัดสหภาพแรงงานได้ เสรีภาพในการจัดตั้งประเทศไทยจึงยังไม่พร้อม มาเลเซีย และเยอรมัน มีสหภาพแรงงานข้าราชการ แต่ไทยยังไม่ได้
อนุสัญญา 98 เป็นเรื่องการร่วมเจรจาต่อรอง และสามารถใช้มาตรการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งได้
- เฉพาะรัฐวิสาหกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น เช่น การไฟฟ้า การประปา นัดหยุดงานไม่ได้ แต่ส่วนอื่น นัดหยุดงานได้
กฎหมายแรงงานมีที่มาอย่างไร มี 10 มาตรา
สิทธิ คือ อำนาจอันชอบทำ หน้าที่ คือ สิ่งที่พึงต้องกระทำ ไม่ทำตามหน้าที่ มีโทษตามกฎหมาย
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2499 ใช้บังคับ 1 มกราคม 2500 เป็นกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีเรื่องคุ้มครองแรงงาน เงินทดแทน สภาพการจ้าง เกิดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยกเลิกกฎหมายฉบับแรก ทำให้ไทยว่างเว้นกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากปี
2501 มีลัทธิคอมมิวนิสต์ แทรกแซง และเกิดความระส่ำ ระสาย จึงล้มเลิก
2515 จอมพลถนอม กิตติขจร ประกาศกฎหมาย ให้รัฐวิสาหกิจ และเอกชน มีองค์การตัวเอง ลูกจ้างรวมตัวเป็นสภาองค์การลูกจ้าง นายจ้างรวมตัวเป็นสภาองค์การนายจ้าง
2534 กม.รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตัดสิทธิ์ลูกจ้างเรียกร้อง
2543 กม.แรงงานสัมพันธ์ มีกรอบ 3 ประการ
- ลูกจ้างจัดตั้งองค์การตัวเอง
- เรียกร้องได้
- สามารถปรึกษาหารือได้กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ พูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเป็นหลัก ใช้ทั้งเอกชน และรัฐวิสาหกิจ รวมถึง ค้าจ้าง สวัสดิการ หลักเกณฑ์การจ้าง
หลักเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างได้
1. หลักความยินยอม แต่ไม่ขัดต่อกฎหมาย เป็นการยินยอมโดยชัดแจ้ง หรือ ปริยาย การที่นายจ้างกระทำการใด ๆ โดยลูกจ้างไม่ฟ้องร้องภายในระยะเวลานานพอสมควร
- การให้ชอบ ผูกพัน
- การให้ไม่ชอบ ไม่ผูกพัน
2. การเรียกร้อง โดยเฉพาะการเรียกร้องรัฐวิสาหกิจ สหภาพแรงงาน มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 20 % ของสมาชิกทั้งหมด สามารถแจ้งข้อเรียกร้องได้ ผูกพันคนเป็นสมาชิกทุกคน
- เอกชน ผู้แจ้งได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง สหภาพแรงงาน มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 20 % ของสมาชิกทั้งหมด
- รัฐวิสาหกิจ แจ้งข้อเรียกร้องแต่ตกลงกันไม่ได้ เป็นข้อพิพาทแรงงาน เป็นทวิภาคี ต้องมีการจดทะเบียน ถ้าเป็นเรื่องการเงิน ต้องผ่านกระบวนการ
- รัฐวิสาหกิจ ไม่มีสภานายจ้าง ลูกจ้างสามารถตั้งได้เป็นสหภาพแรงงาน แค่ 1
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ประเทศไทยเริ่ม จะมีการทำประชาพิจารณ์ พ.ร.บ. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจของต่างประเทศ แปลงง่าย เพราะวัฒนธรรมเขาต่างกับไทย ของไทย นั้น มีความภูมิใจสูงในเรื่องรัฐวิสาหกิจ การปรับเปลี่ยนจึงไม่ค่อยอยากทำ ที่นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย คล้ายกัน ภายใต้เครือจักรภพเดียวกัน มีการแลกเปลี่ยนคนงาน คนงานไม่นิยมทำงานนาน ๆ ไม่ยึดติดกับที่ทำงาน เนื่องจากสภาพการทำงาน และค่าจ้างไม่ค่อยต่างกัน และไม่มีความยึดติดกับองค์กร แต่มองว่าถ้าต่อไปทำงานไม่ได้คนเลี้ยงคือรัฐ การแปรรูปเทเลคอมในภาคเอกชน นิวซีแลนด์ เสียหุ้นใหญ่ให้อเมริกาไปแล้ว
ประเทศไทย มีการทำประชาพิจารณ์ 4 มิถุนายน 2550 เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติ การกำหนดกิจการหลักเกณฑ์ และขั้นตอนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จะมีกระบวนการที่ชัดเจนอยู่ 3 องค์การ
เหตุผล พ.ร.บ.เดิม ไม่ได้แยกแยะว่าใครควรจะแปรก่อน แปรหลัง รัฐวิสาหกิจแบ่ง 3 ประเภทใหญ่
1. การค้า
2. ขั้นพื้นฐาน
3. การลงทุน กม.รัฐวิสาหกิจ ไม่กำหนดหลักเกณฑ์ การแปรรูป ใน พ.ร.บ. จะกำหนดชัดเจน ว่าจะขายให้ใครได้เท่าไหร่ ยึดหลัก ชัดเจน โปร่งใส เป็นประโยชน์สาธารณะ คุ้มครองผู้บริโภคการกระจายหุ้น คือการขายหุ้น เป็นการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปได้ต้องมีสินทรัพย์เกินกว่า 2,000 ล้านบาท
กิจการที่แปรรูปไม่ได้ คือ
- กิจการที่ไม่ได้มีการแข่งขันในตลาด
- กิจการที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชนรูปแบบการแปรรูป จะแปรได้หลายรูปแบบการแปรรูปต้องไม่มีผลในการโอนอำนาจไปให้แก่บริษัทที่จัดตั้งขึ้นในเวลาต่อมาคณะกรรมการ นโยบายแปรรูปประกอบด้วยนายก เป็นประธานรองนายก ที่ได้รับมอบหมาย รมว.คลัง ปลัด กต. ฯลฯ คณะกรรมการจะกำหนดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม คือ ไม่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และมีส่วนได้ส่วนเสีย กับองค์กรที่จะแปรรูป ยกเว้น พ้นจากตำแหน่ง 3 ปีแล้ว
การบรรยายเรื่อง การบริหารความขัดแย้ง โดย รศ.สุขุม นวลสกุลวันที่ 7 มิถุนายน 2550
- มองความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัว และเรื่องส่วนรวม
- ความขัดแย้งในเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องการพัฒนา
- ความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว นำพาไปสู่ความพินาศ
- ถ้าความขัดแย้งในเรื่องส่วนรวมเป็นเรื่องดี ต้องสนับสนุน และปลุกให้เกิดขึ้น
- คนเราความเห็นต่อส่วนรวมต่างกันได้ แต่ควรระวังเรื่องกระทบกระทั่ง ระวังการเสียดสีความเห็นคนอื่น
ความขัดแย้ง 3 อย่างที่ท้าทายความสามารถในการบริหาร
1. ความขัดแย้งระหว่างบุคคล กับบุคคล
- คนเป็นหัวหน้าต้องวางแนวทางการบริหารแบบกันดีกว่าแก้ เพราะ โกรธแล้วแก้ยาก มีอารมณ์ มีทิฐิมาเกี่ยวข้อง
- นักบริหารที่โชคร้ายที่สุดคือนักบริหารที่ถูกตั้งให้อยู่ในองค์กรที่มีความขัดแย้งมาก แต่บางครั้งเกินเยียวยา ก็อย่าโทษตัวเอง
- อย่าให้ใครซักคนถูกทอดทิ้ง ต้องขจัดความอิจฉา ริษยาที่เกิดขึ้นในองค์การ
2. ความขัดแย้งระหว่างบุคคลกับองค์การ
- เกิดจากความมีช่องว่างเวลาการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในองค์กร
- การสั่งจากข้างบนไม่คำนึงถึงบุคคลข้างล่างขององค์กร
- บทบาทของหัวหน้าต้องเป็นโฆษกขององค์การ ถ้าบุคลากรมีความไม่เข้าใจ ต้องอธิบาย
- หัวหน้าเวลาถูกซักมาก ๆ อย่าไปโกรธ การอธิบายต้องเป็นแบบพรแสวง
3. ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน กับหน่วยงาน ควรไปในทิศทางเดียวกัน
- หน่วยงานแต่ละหน่วยงานต้องมีความสามัคคีกัน
- คนเป็นหัวหน้าระวังอย่าให้ตัวคนเป็นหัวหน้าเป็นตัวชน
- คนเป็นหัวหน้าหน่วยงานต้องเข้าใจบทบาทตัว และอย่าหลงหน่วยงาน
- บทบาทอย่างแรกคือ หัวหน้าเป็นแบบ 2 in 1 เพื่อสร้างความสมานฉันท์
- หัวหน้าส่วนใหญ่คิดว่าตนเองเป็นบทบาทเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง
- อย่าคิดว่าหน่วยงานเราวิเศษกว่าหน่วยงานอื่น
- คนจะเป็นหัวหน้าใหญ่ได้ ต้องเข้าใจกับทุกฝ่าย และไม่ชนกับแผนกอื่น โดยพยายามมองปัญหาของทุกฝ่าย
- อยากเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ต้องพยายามเข้าใจฝ่ายอื่นบ้าง
การตัดสินใจ
- แม่นกฎระเบียบ
- ลดความเกรงใจ
- ไม่โอ้อวด ยอมเล็กบ้าง ไม่ต้องใหญ่
องค์ประกอบในการตัดสินใจ
- ข้อมูล
- ประสบการณ์ บางคนประสบการณ์เยอะ จะตัดสินใจได้ดี ประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องรอเวลา สามารถเรียนลัดได้ เอาประสบการณ์คนอื่นมาเป็นของเราได้
- การคาดการณ์ ผู้บริหารควรคาดการณ์ล่วงหน้า โดยคำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ให้หมอดูดูล่วงหน้าได้ ดูแค่เป็นข้อมูลแต่อย่าให้หมอดูตัดสินใจ
- ผลกระทบ
- สถานการณ์
นักบริหารต้องยึดหลักทฤษฎี 3 ถูก คือ ถูกต้อง ถูกใจ ถูกจังหวะ
1. ถูกต้อง นักบริหารต้องวางพื้นฐานอยู่บนความถูกต้องเสมอ หัวหน้า การตัดสินใจอยู่บนความรู้ ความสามารถ คนเป็นนักบริหาร ต้องมีเครือข่าย ว่าเรื่องนี้ควรปรึกษาใครที่จะรู้เรื่องได้ดี สามารถชี้ความ ถูกต้องให้เราได้ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ต้องรู้เครือข่ายคนที่รู้เรื่อง ถ้าถูกต้อง แต่ไม่ถูกจังหวะ เรียกว่านักอุดมการณ์ แต่ไม่ใช่นักบริหาร
2.ถูกใจคน เขาได้ หรือเขาเสีย ถ้าถูกใจคน ไม่รอจังหวะ แต่ถ้าไม่ถูกใจคน ต้องรอจังหวะ
3. ถูกจังหวะ จังหวะ จะเปิดเมื่อความเข้าใจ มาได้ 2 ทาง คือ สถานการณ์ และการสร้างความเข้าใจ นักบริหารต้องรู้จักสร้างความเข้าใจ เช่นประชุม การทำหนังสือเวียน ฯลฯ
การประสานงาน ต้องคำนึงถึง 1. ใจเขา-ใจเรา 2. อะลุ่มอล่วย 3. เปลี่ยนแปลง
การประสานงานแต่ละฝ่ายเกิดจาก 1.ระบบแต่ละฝ่าย 2. ปัญหา 3. ความต้องการ
1. การประสานงานเวลามีปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากใจเรา ไม่คิดถึงใจเขาปัญหาไม่ได้มองที่มุมเดียว ถ้ามีปัญหาก็ควรมองมุมอื่น การทำอะไร มองใจเราเป็นที่ตั้ง เมื่อไม่ได้อย่างใจ ก็จะไม่ดีทุกคน
- การทำงานร่วมกันในหลายแผนก ห้ามใช้คำว่า น่าจะรู้ ทุกวันนี้ มีปัญหาเยอะเพราะอยากให้ทำได้อย่างใจเรา แต่ไม่เคยบอกเขาว่าใจเราต้องการอะไร
2. อะลุ่มอล่วย คือการให้ การเอา แต่คนส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยชอบให้ใคร แต่จะเอาของคนอื่น ถ้าขอ แล้วไม่ได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าขู่ไปแล้วไม่ให้ก็อยากเอาเรื่อง
3. อยากให้ฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลง อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องทำคือ ฝืน การฝืน ก็เพื่อให้คนอื่นพอใจเรา การฝืนทำให้มีศักยภาพสูงขึ้น ทำให้คนอื่นพอใจเรา เราฝืนจะทำให้มีคนพอใจเพิ่มขึ้นทุกที ดังนั้น ควรให้กำลังใจ และยกย่องเพื่อให้เห็นว่าการฝืนนั้น มีความคุ้มค่า
คำถาม 1. เรื่องถูกต้อง ถูกใจ ถูกจังหวะ ถ้าจังหวะไม่เกิดต้องทำอย่างไร
ตอบ ถ้าสถานการณ์ไม่มาซักที ก็จะต้องสร้างให้เข้าใจ
ตามที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับ LNG ผมใคร่ขอให้ข้อมูลดังนี้
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
กมล ตรรกบุตร
แก้ไขครับ
กมล ตรรกบุตร
สวัสดีครับท่านอาจารย์จีระและเพื่อนๆรุ่น 3
ผมได้เข้ามาอ่าน ข้อคิดที่เกิดจากการอบรมของพี่สมชัย แล้วก็อยากจะร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1 ) ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถาบันบริหารจัดการองค์ความรู้ กฟผ. เพราะขณะนี้แต่ละฝ่ายที่กำลังหรือจะทำ KM มักจะประสพปัญหาบุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ Knowledge Engineer และผู้ที่จะพัฒนา IT ให้สามารถตอบสนองได้ whenever และ wherever เนื่องจากบุคลากรที่มีศักยภาพพอก็มักจะได้รับมอบหมายงานไว้มากแล้ว
2 ) "จัดอบรม ถ่ายทอดให้มีการใช้องค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ" ตรงจุดนี้ผมอยากจะให้เน้นทำอย่างไรจึงจะเกิดเหตุการณ์ที่เป็นไปตามทฤษฎี 4L's ของท่านอาจารย์จีระ มิฉะนั้น KM ที่ทำมาจะก่อประโยชน์น้อยมาก และเท่าที่ผ่านๆมาการอบรมของ กฟผ. ก็มักจะเป็นอย่างนั้นซะด้วย
3 ) กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับ Stake Holder ก็เป็นความคิดที่ดีซึ่งมีการกล่าวถึงมาบ้างแล้ว หากแต่ผมคิดว่าต้องมีการสร้างรั้วไปพร้อมๆกันด้วย รั้วในที่นี้ผมอยากยกตัวอย่างเช่น การรับพนักงานใหม่ต้องสร้างวิธีการที่ไม่มีการฝากเข้ามาได้ มิฉะนั้นก็จะมีการฝากคนที่ไม่ qualify เข้ามาอีก เพราะเราเองหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากเขาในบางเรื่อง เขาเองก็ต้องหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากเราในบางเรื่องเช่นกัน รวมทั้งต้องคิดในส่วนอื่นๆที่อาจมีอีกด้วย
12-06-50-11.25
ถึง คุณสุทัศน์
ขอบคุณที่ประธานรุ่น 2 ได้เปิด Blog ดู และเห็นความก้าวหน้าของรุ่นที่ 3 ตอนนี้ ผมขอเรียนให้ทราบว่า ผมจะเข้าไปเป็นที่ปรึกษา ในด้าน HRD และ HRM ให้กับ กฟผ. ซึ่งก็คงต้องปรึกษาท่านด้วยเหมือนกัน
ส่วนอีกเรื่องคือ การทัศนศึกษาและดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย สำหรับรุ่น 3 นี้เราจะไปศึกษาและดูงานที่ Sydney และมหาวิทยาลัย New South Wales
ซึ่งผมยังจำตอนไปทัศนศึกษาและดูงานที่เมลเบิร์น ของรุ่นที่ 2 ได้ดี ซึ่งคุณสุทัศน์ และทางรุ่น 2 ก็มีส่วนร่วมในการทำให้การทัศนศึกษาและดูงานในครั้งนั้น ประสบความสำเร็จ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในการทัศนศึกษาและดูงานสำหรับรุ่นที่ 3 นี้ ก็คงจะประสบความสำเร็จด้วยเหมือนกันครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
ขออนุญาตให้ข้อมูล
โรงอุปรากรซิดนีย์
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตรสวัสดีครับ อาจารย์จิระและผู้เข้าอบรม SEDP 2 รุ่น3 ทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องสวัสดีกับอาจารย์ที่ทักทายผมในBlock ข้างต้น ผมยังคงมีภาพความทรงจำที่ดีกับอาจารย์ในช่วงเรียนรุ่นสองเสมอ การพัฒนาผู้บริหารระดับสูงนับเป็นงานที่ยาก สิ่งที่อาจารย์ตั้งใจทำให้กับ กฟผ. จึงเป็นประโยชน์กับ กฟผ. มาก สำหรับผม ผมถือว่าอาจารย์เป็นพันธมิตรที่มีค่าต่อ กฟผ. มาก ยิ่งทราบว่าอาจารย์จะมาเป็นที่ปรึกษาด้าน HR ให้กับ กฟผ. ยิ่งทำให้รู้สึกดีใจมาก
งาน HR ของ กฟผ. ผมเห็นว่ายังเป็นจุดอ่อนด้านหนึ่งของ กฟผ. แม้ว่าในอดีต กฟผ. จะมีทรัพยากรบุคคลชั้นเยี่ยมเข้ามาอยู่ในองค์กรมากมายเนื่องจากชื่อเสียงที่ดีของ กฟผ.ในอดีต แต่การบริหารบุคลากรในความเห็นผมยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก เป็นไปอย่างตามมีตามเกิด ระหว่างเรียนในรุ่นสอง ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจน แม้วันนี้ กฟผ. จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ตามที่ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์ กฟผ. แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงแรงอีกมาก อย่างน้อยมีปัญหาสองประการที่ต้องพิจารณาอย่างเร่งรีบ ในสายตาของผม
อย่างแรก ใน 5-10 ปีข้างหน้า กฟผ. ยังขาดผู้นำในปริมาณที่มากพอ ที่จะผลักดัน ภารกิจ กฟผ. ไปสู่ความเติบโต กฟผ. มีผู้บริหารที่สามารถบริหารงานเท็คนิคที่ยอดเยี่ยมเป็นเลิศของประเทศ แต่ในวันนี้ผู้นำ กฟผ. จะต้องรอบรู้กว้างขวาง สามารถทำงานกับปัจจัยภายนอกได้ดี ขณะที่ต้องสร้างความเข้าใจ ความมั่นใจให้กับพนักงานได้ด้วย การสร้างคนเหล่านี้ไม่ง่ายเลย
อย่างที่สอง กฟผ. ขาดบุคลากรรุ่นใหม่ รุ่นเยาว์ เนื่องจากขาดการรับคนเข้าองค์กรในจังหวะที่เหมาะสม ขณะนี้ กฟผ. มีบุคลากรอายุ 20-35 ปีน้อยมาก ช่วงที่ประเทศประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ หลังปี 2540 นักศึกษาจบมาหางานทำไม่ได้ ผมเสียดายเราไม่ได้รับนักศึกษาดีๆ มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ได้เลือกคนคุณภาพดี และจะจงรักภักดีกับ กฟผ. ในระยะยาว กฟผ. เวลานี้ กฟผ. ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของบัณทิต รุ่นใหม่ๆแล้ว ปัญหานี้เริ่มส่งปัญหาในบางสายงานบ้างแล้ว และคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นต่อไป
เข้ามาทักทาย กลายเป็นเขียนเสียยาว หวังว่าจะได้เรียนรู้กับอาจารย์ โดยเฉพาะกับด้าน HR ในกรณี กฟผ. ขอให้เพื่อนๆรุ่น 3 สนุกกับการเรียนในการเดินทางไป Sydney / New South wales นะครับ สวัสดีครับ
เรียน คุณสุทัศน์
ผมได้อ่าน Blog ที่คุณสุทัศน์ส่งข้อมูลเข้ามาทำให้ผมได้รับทราบ ประเด็นหลัก ๆ ที่ผมจะได้เข้ามาช่วยงานด้าน HR ของ กฟผ. มากขึ้น ซึ่งก็คงต้องขอความร่วมมือจากลูกศิษย์ของผมทั้ง 3 รุ่นร่วมกันให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ คาดว่า หลังจากผมกลับจากซิดนีย์แล้ว คงจะได้มีโอกาสได้หารือกันเพิ่มเติม
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ กฟผ. จะต้องเตรียมขุนพลสำหรับการทำงานในอนาคต เพื่อทดแทนขุนพลรุ่นเก่าที่จะต้องเกษียณอายุไปในไม่ช้านี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะหาทางทำวิธีที่ดีที่สุดร่วมกับลูกศิษย์ของผมได้
จีระ หงส์ลดารมภ์
สรุปสาระสำคัญโดย ดร.กมล ตรรกบุตร
สรุปสาระสำคัญโดย ดร.กมล ตรรกบุตร
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
กมล ตรรกบุตร
เมื่อเดินทางไปถึงโรงไฟฟ้าแม่เมาะผมและทีมงานได้รับเกียรติจาก ท่านรองฯ พายัพ พงศ์พิโรดม และ นายกอบต.แม่เมาะคุณองอาจ มุทอง ร่วมรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันถึงเรื่องโรงไฟฟ้าและเหมืองแม่เมาะ จากนั้นได้นั่งรถชมรอบโรงไฟฟ้าโดยมี คุณสมยศ คอยให้คำอธิบาย ความจริงแล้วโรงไฟฟ้าแม่เมาะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ด้อยไปกว่าโรงไฟฟ้าที่ Sydney เลย
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
นับเป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่งในช่วงการทำงานของผม ที่ได้เข้าร่วมโครงการดี ๆ เช่นนี้ ถือว่าเป็นมงคลแห่งชีวิตอย่างแท้จริง เพราะได้คบบัณฑิตมากหลาย ได้บูชาคนที่ควรบูชา อยู่ในบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และเสริมสร้างปัญญา และระลึกว่าอยู่ในถิ่นที่เหมาะสมแล้ว มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมที่จะเผชิญปัญหาอุปสรรคทั้งปวง มีความมั่นใจสูงขึ้น และก็พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อพัฒนาองค์การ และประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
โครงการสิ้นสุดลงอย่างสวยงาม ประทับใจผมมาก
ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคน ขอให้บุญรักษาครับ
พิบูลย์ บัวแช่ม
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
ผมในนามของฝ่ายวิศวกรรมเครื่องกล (อวค.) กฟผ. ก็ใคร่ขอขอบคุณท่าน อาจารย์จีระ และทีมงาน ที่สละเวลาไปร่วมกิจกรรมของ อวค. ในครั้งนี้
ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
เรียน อาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
กมล ตรรกบุตร
กราบอวยพรปีใหม่ 2552 ท่านอาจารย์จีระ ทีมงานฯ และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
• ศุภฤกษ์ลุดิถีขึ้นปีใหม่
• ขอเทพไททิพยสถานประทานขวัญ
• สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งผองช่วยป้องกัน
• องค์สยามเทวัญดลบันดาล
• ให้ท่านรับสรรพสิ่งมิ่งมงคล
• ชื่นกมลปรีเปรมเกษมศานต์
• พร้อมจตุรพิธพรชัยใจเบิกบาน
• สุขสราญสมหวังทั้งครอบครัว
ดร.กมล ตรรกบุตร
เรียนท่านอาจารย์ และสมาชิกทุกท่าน
• นับว่าสมาชิกรุ่น 3 ได้ห่างหายกันไปค่อนข้างนาน สืบเนื่องจากภาระหน้าที่นั่นเอง
• ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์ฯ ให้นำเสนอเรื่องการเตรียมความพร้อมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แก่รุ่นที่ 5
• จึงนำเสนอแนวคิดให้ไปดูงานที่ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ DAYABAY ที่จีน (นอกรายการ)
• โดยการอนุมัติของท่านผู้ว่าการสมบัติ รุ่น 5 จึงได้เดินทางไป และทราบว่ากลับมาแล้วโดยสวัสดิภาพ
• หวังว่าสมาชิกทุกท่านจะได้รับประโยชน์ในทุก ๆ ด้านจากการดูงานครั้งนี้โดยทั่วกัน
• รวพ. และ ชพฟ. ก็ได้ร่วมเดินทางไปดูงานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เซินเจิ้น ประเทศจีน
• พร้อมกับผู้แทนกลุ่ม NGO จาก ภาคตะวันออก (ระยอง) ภาคกลาง (สมุทรสงคราม) และ ภาคใต้ (สุราษฏร์ธานี)
• ระหว่างวันที่ 26 – 29 กค. 2552
• โดยข้อมูลที่ NGO สื่อสารกันไว้ ไม่น่าจะถูกต้อง อาทิ
• น้ำหล่อเย็นโรงไฟฟ้าทุกชนิด จะร้อนมาก สามารถต้มไข่สุกได้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ไปกับน้ำตายหมด
• หรือโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จะไม่มีสัตว์ที่มีชีวิตเหลืออยู่เลย เป็นต้น
• ในระหว่างการดูงานที่ DAYA BAY ซึ่งมีโรงฯ ที่อยู่ระหว่างการเดินเครื่อง 2 + 2 โรง (DAYA BAY 2 โรง และ LING AO 2 โรง)
• ได้มีการสรุปสาระสำคัญของการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของจีน
• และการเยี่ยมชมโรงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง (LING AO 3-4 )
• รวมทั้งการเดินทางไปพบผู้นำชุมชนรอบ ๆ โรงไฟฟ้า DAYA BAY
• การร่วมเดินทางครั้งนี้ ก็นับได้ว่าได้ตอบประเด็นคำถามบางรายการด้วยการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงจากการเดินเครื่องจริง ๆ
• อย่างไรก็ตาม ยังมีเงื่อนไขอีกหลาย ๆ ประการที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่องอีก
• วันที่ 30 สค. นี้ ก็คงจะได้พบปะกับทุกท่านที่บ้านเจ้าพระยานะครับ
กมล ตรรกบุตร
แก้ไข วันที่ 31 สิงหาคม 2552 นี้ครับ
บ้านเจ้าพระยา บางอ้อ
เรียนท่านอาจารย์ และสมาชิกทุกท่าน
• นับว่าสมาชิกรุ่น 3 ได้ห่างหายกันไปค่อนข้างนานมาก ๆ
• หลาย ๆ ท่านก็ผ่านการเกษียณอายุแล้ว และในกันยายนนี้ ก็ยังมีอีกหลายท่านที่ถึงกำหนด รวมทั้งผมเองด้วย
• ก็คิดว่าคงจะต้องนัดมาร่วมชุมนุมรื้อฟื้นความหลังกันอีกซักครั้งครับ
• ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์ฯ อีกครั้ง ให้นำเสนอเรื่องการเตรียมความพร้อมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แก่รุ่นที่ 6
• ในโอกาสนี้ ท่านผู้ว่าการสุทัศน์ฯ ก็เห็นชอบให้จัดรายการให้ไปดูงานที่ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ DAYABAY ที่จีน (ซึ่งอยู่นอกรายการปกติเช่นกัน)
• ในเบื้องต้น ก็จะเดินทางไปราวอาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายน นี้
• ทั้งนี้ท่านอาจารย์จีระฯ รับว่าจะร่วมเดินทางไปด้วย
• ก็หวังว่าสมาชิกทุกท่านรุ่น 6 ก็จะได้รับประโยชน์ในทุก ๆ ด้านจากการดูงานครั้งนี้โดยทั่วกัน
• ที่ DAYA BAY มีโรงไฟฟ้าพลังงานนืวเคลียร์อยู่ระหว่างการเดินเครื่อง 2 + 2 โรง (DAYA BAY 2 โรง และ LING AO 2 โรง)
• อยู่ระหว่างการก่อสร้างเกือบสมบูรณ์อีก 2 โรง LING AO 3-4
กมล ตรรกบุตร
เรียนท่านอาจารย์จีระ และสมาชิกรุ่น 3 ทุกท่าน
• ผ่านการเกษียณอายุเมื่อ 30 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว ก็นับว่าสมาชิกรุ่น 3 ได้เกิดช่องว่างห่างกันมากยิ่งขึ้นอีก
• ก็คิดว่าหากมีสมาชิกรุ่น 3 เข้ามาใน Blog นี้ คงจะต้องนัดมาร่วมชุมนุมรื้อฟื้นความหลังกันอีกซักครั้งครับ
• ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์ฯก่อนเกษียนอายุเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2553 ให้นำเสนอเรื่อง Energy and Human Resources Development ที่โรงแรม Royal River สำหรับกลุ่มประเทศลุ่มน้ำแม่โขง
• ผมได้สรุปประเด็นเรื่องการเตรียมการบุคคลากร โดยนำเสนอ Case Study ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
• ผมก็หวังไว้ว่าเมื่อคณะกรรมการประสานงานโครงการฯ นำเสนอ รายงานความพร้อมของประเทศไทยต่อรัฐบาลภายในสิ้นปี 2553 นี้
• ประเทศไทยคงจะสามารถเดินหน้าโครงการฯ ได้ซักที
• ปัจจุบัน ประเทศเวียตนาม ได้บรรลุข้อตกลงการร่วมมือกับรัสเซีย และญี่ปุ่นในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
• ในลักษณะ BOT สร้างให้ก่อนผ่อนทีหลัง ตัดระบะเวลาการประมูลจัดซื้อจัดหาออกไป 3-4 ปี ทำให้ เวียตนามนำหน้าประเทศไทยไปแล้ว 3-5 ปี
• ตำแหน่งสถานที่ก่อสร้าง 2 โรงแรก ห่างจากมุกดาหาร เพียง 200-250 กิโลเมตรเท่านั้น
• ต้องฝากถึงประชาชนคนไทย ว่า เราจะสนับสนุนการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ หรือไม่ก็ตาม
• เราก็จะต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อยู่ในรัศมีที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ดี
• ประเทศเวียตนามก็จะได้ไฟฟ้าที่มีความมั่นคง ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และที่สำคัญค่าไฟฟ้าจะราคาถูกกว่าประเภทอื่น ๆ
• ผมเองได้ร่วมงานกับนายคนเก่า พี่วรวิทย์ ขำขนิษฐ์ ที่บริษัท Italian-Thai Power Co. ก็ยังคงทำงานประจำต่อไปครับ
กมล ตรรกบุตร
เรียนท่านอาจารย์จีระ ทีมงานฯ และสมาชิกทุกท่าน
• ก็ใกล้วันขึ้นปีใหม่ 2554 แล้ว
• ใคร่ขอเชิญชวนสมาชิกเข้ามาร่วมกันให้ข้อคิดเห็นให้มากขึ้น
• ในสัปดาห์นี้ ผู้เชี่ยวชาญ IAEA จำนวน 8 ท่าน ได้เดินทางมาร่วมกับ
• คณะกรรมการประสานงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของเรา
• ร่วมหารือและรีวิว รายการที่ไทยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข 19 รายการ
• (19 Important Infrastructure Issues) ของ IAEA
• ซึ่งในเบื้องต้นรายการที่ผ่านเกณฑ์ดีมาก (Best Prcatice) รวม 4 รายการ(สีเขียว)
• ประกอบด้วย Electrical Grid, Procurement, HRD, และ Site and supporting facility
• ส่วนที่เหลือก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมบางส่วน (สีเหลือง)
• ทั้งนี้ก็ไม่มีส่วนที่เหลือเป็นสีแดง (Significant Actions Needed ) เลย
• ก็น่าจะเป็นผลสรุปที่ดีต่อโครงการของไทย
• คณะกรรมการ ก็จะนำผลสรุปประกอบรายงานความพร้อมของไทย
• (Readiness Report) เสนอต่อรัฐบาลต่อไป
• ในโอกาสวาระดิถี ขึ้นปีใหม่ 2554 นี้
• ผมใคร่ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ท่านอาจารย์ ทีมงาน
• และพวกเรารุ่น 3 ทุกท่าน
• ประสบแต่ความสุข สมหวัง และสุขภาพสมบูรณ์ จงทุกประการ
•
• ขอขอบคุณ
กมล ตรรกบุตร
เรียนท่านอาจารย์จีระ สมาชิกอบรมผู้นำรุ่น 3 กฟผ. และผู้มีเกียรติที่สนใจเข้ามาอ่านทุกท่าน
· ก่อนอื่นในวันแม่ 12 สิงหาคม 2556 วันนี้ ผมก็ขอฝากกราบแทบตักคุณแม่ของทุกๆท่าน แทนสมาชิกรุ่น 3 ทุกๆ ท่านด้วยครับ
· ตามที่เคยนำเสนอว่าเมื่อผ่านการเกษียณอายุราชการในทุกๆ วันที่ 30 กันยายน สมาชิกรุ่น 3 ก็ได้เกิดช่องว่างห่างกันมากยิ่งขึ้นอีก สมาชิกรุ่น 3 ที่ยังอยู่ในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าการกฏหมาย คุณจุรี ครับ
· ผมใคร่จะขอฝาก ทีมงานของ ท่าน อ ดร จีระ ให้ช่วยป็นธุระ นัดสมาชิกรุ่น 3 มาร่วมชุมนุมรื้อฟื้นความหลังกันอีกซักครั้งครับ
· ข่าวจากสมาชิกทุกๆ ท่าน ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย ต่อกัน
· ผมเองก็ได้รับการติดต่อจากท่าน อ ดร จีระ เป็นบางครั้งบางคราว อยู่ในทีมงานวิทยากรให้แก่ กฟผ และ Great Mae Kong Country ครับ
· ปัจจุบัน ทำหน้าที่เป็น นายกสภาวิศวกร (Council of Engineers President) โดยดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ วันที่ 20 กันยายน 2555 ก็กำลังจะครบขวบปีแรกครับ
· สภาวิศวกรมีวัตถุประสงค์หลักในการควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ให้ถูกต้องตามมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม มิให้ก่อให้เกิดภยันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ให้ความช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้บริการทางด้านวิชาการต่างๆ แก่ประชาชน และองค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาการและเทคโนโลยีทางวิศวกรรม รวมทั้งการให้คำปรึกษา หรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายและปัญหาด้านวิศวกรรมรวมทั้งด้านเทคโนโลยี และเป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมของประเทศไทย
· ในวาระที่ประเทศไทยจะเปิดประเทศให้มีการบริการข้ามชาติที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กลุ่มประเทศ อาเซียน ที่ตกลงกัน ตั้งแต่ปลายปี 2558 เป็นประชาคมอาเซียน (AEC – ASEAN Economic Community) วิศวกรรม ก็เป็นหนึ่งในสาขาการบริการที่จะต้องเปิดให้เป็นตลาดร่วม จึงจะมีการแข่งขันของวิศวกรไทยโดยตรง สภาวิศวกรในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมของประเทศไทย ก็จำเป็นต้องเตรียมการ เพื่อรองรับในด้านการต่างประเทศ ด้วย