วันนี้มีโอกาสได้ไปช้อปปิ้ง ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านนนทบุรี ใช้เวลาอยู่ในห้างตั้งแต่ 10.30 – 14.00 น. เดินไปเดินมา เดินขึ้น เดินลง หลายรอบ ต้องใช้สติควบคุมความคิดซื้อของที่ควรซื้อ ไม่ปล่อยให้สิ่งของมายั่วยวนให้อยากซื้อเกินกว่าเหตุ
ประเด็นของการเดินห้างวันนี้ เห็นพฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบันหลายอย่าง มีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเดี๋ยวนี้ โรงเรียน หรือ สถาบันครอบครัวยังให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทสังคมหรือเปล่าโดยปกติแล้ว ปัจจุบันคนเราเมื่อออกไปที่ชุมชน คงหนีไม่พ้นที่ต้องใช้ลิฟท์เป็นพาหนะในการขึ้นลงห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือสถานที่ทำงาน ส่วนใหญ่แล้วตัวเองชอบสังเกตพฤติกรรมคน และในวันนี้ก็พบพฤติกรรมสังคมของคนที่ไม่รู้จักกัน คนทั่วไปอาจจะไม่ใส่ใจ แต่สำหรับเราแล้วคิดว่า ถ้ามีใครขอให้คนที่ยืนอยู่ตรงจุดใกล้ปุ่มกด ช่วยกดหมายเลขชั้นที่ตัวเองจะไป เขาก็กดให้แล้ว น่าจะเอ่ยคำว่า “ขอบคุณ” เป็นการแสดงน้ำใจตอบแทนให้เขาบ้าง คนกดก็จะได้มีกำลังใจอยากมีน้ำใจต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนั้นคำว่า “ขอโทษ” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อต้องการล่วงเกินคนอื่น เช่น ข้ามศีรษะ หรือร่างกายของเขาเพื่อจะเอื้อมไปหยิบของสักอย่าง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่กว่าเรา อันนี้พบในร้านหนังสือ
พฤติกรรมที่เห็นว่าดีก็มี ตอนเข้าไปร้านหนังสือ เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งซื้อหนังสือให้ลูกสองคนคนละถุง พอจ่ายเงินเสร็จ ยื่นถุงให้ลูกคนแรกก่อน แล้วก็ชักมือกลับ พูดว่า “ขอบคุณครับ” เท่านั้นเด็กก็ยกมือไหว้แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ” ลูกคนที่สองก็ทำตามทันทีไม่ต้องรอให้บอกอีก ดูแล้วรู้สึกว่าเป็นคุณแม่ที่น่ารัก มีวิธีสอนลูกที่นุ่มนวล คุณแม่นั้นมีบทบาทสำคัญมากที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก มีโอกาสจะสอนให้คำแนะนำแก่ลูกมากที่สุด ที่เป็นห่วงก็คือเวลาที่จะมีนั้นถูกแย่งชิงไปด้วยการทำงาน การหารายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัวจนอาจจะไม่มีเวลาให้กับลูก
สิ่งที่เป็นพื้นฐานในครอบครัวสะท้อนออกมาถึงสังคมในที่ทำงาน ที่เราเห็นเมื่อไม่นานมานี้ มีน้องในที่ทำงานอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งเมื่อมีพี่มาช่วยเขาเก็บของเขาก็ยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ย คำว่า "ขอบคุณ" แต่น้องอีกคนหนึ่งเอื้อมมือข้ามหัวผู้ใหญ่สองคนไปหยิบของ โดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้ความสวยงามของเขาด้อยค่าลงไปในสายตาของคนที่พบเห็นทันที
แค่อยากแสดงความคิดเห็นว่า ถ้าหากเราไม่ละเลยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เคารพในความเป็นมนุษย์ไม่ว่าเขาจะอาวุโสน้อยหรือมากกว่าเราก็ตาม พูดคำว่า “ขอบคุณ” เพื่อแสดงตอบน้ำใจของผู้อื่นที่หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ และ "ขอโทษ" เพื่อขออภัย ที่ล่วงเกิน ผู้อื่น หรือ ยอมรับเมื่อเราทำผิด แม้จะเป็นเรื่องยากในการลดอัตตาลงไป เพียงเท่านี้ก็ทำให้อคติ และความขัดแย้งภายในสังคมทั้งเล็กและใหญ่บรรเทาลงไปได้บ้างแล้วขอบคุณค่ะพี่ส้ม
เป็นข้อสังเกตที่เห็นเช่นกันค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณนู๋ทิม
ดีใจมากค่ะ ที่มาเยี่ยมและช่วยกันแสดงความคิดเห็น ตอนท้ายเขียนว่า กลัวโดนค้อน ไม่ทราบใครจะค้อนหรือคะ
ถ้าพวกเราที่เห็นว่าเป็นปัญหา ช่วยกันคนละไม้ คนละมือ ก็ทำเท่าที่จะทำได้ค่ะ เช่นเห็นเด็กแถวบ้าน หรือว่าหลานๆ จนกลายเป็นป้าขี้บ่น (ก็อดไม่ได้ค่ะ) น้องบางคนที่เรารับเขาเข้ามาและพอสอนได้ ก็จะสอน ตอนที่เขาอยู่กับเรา เขาอาจจะไม่ชอบหาว่าเราจู้จี้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะคิดว่า เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำค่ะ
สวัสดีค่ะ
โชคดีหน่อยที่มักพบเด็กดี และผู้ใหญ่ดี ให้ความเกรงใจเราพอควร ไม่มีปัญหา
แต่ชาวต่างชาติที่มาอยู่เมืองไทย บางคน มรรยาทแย่มาก เช่น มาพักกับเรา แล้วไม่ยอมไป อยู่เป็น10 วัน หรือ อะไรนิดหน่อยทำเป็นโวยวาย จนเกินเหตุเป็นต้น อย่างหลังนี่ แม่บ้านเจอ มาเคาะประตูห้องของลูก และบ่นเสียงดัง สาเหตุเพราะเรามีช่างมาล้างแอร์น่ะค่ะ