เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้จัดงานมหิดลบุ๊คแฟร์ขึ้น ในงานนั้น มีสิ่งที่พวกเราในมหิดลอยากให้มีมากๆขึ้นหลายอย่าง หลายฝ่ายเลยช่วยกันค่อยคิด-ค่อยทำ
โดยเฉพาะบรรยากาศความเป็นเมืองและชุมชนทางวิชาการ และการเดินออกมาสร้างมหาวิทยาลัยให้มีชีวิตชีวาด้วยกิจกรรมทางวิชาการและการสร้างสรรค์ บนพื้นที่กิจกรรมต่างๆ ส่วนหนึ่งคือการเสวนากับนักเขียนในดวงใจ ของกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือและงานวรรณกรรมทุกแนว ซึ่งจะให้นักศึกษา อาจารย์ และคนมหิดลทุกสาขา เสนอขึ้นมา แล้วคณะผู้จัด ก็จะพยายามดำเนินการและเชิญนักเขียนมาพบและคุยกับผู้อ่านให้
มีนักเขียน บรรณาธิการ และคนทำหนังสือ แถวหน้าของประเทศ ให้เกียรติรับเชิญและมาเสวนากัน ซึ่งเมื่อครั้งที่ผ่านมา ก็เป็นคุณวินทร์ เรียววารินทร์ นักเขียนซีไรต์ 2 ครั้งจากรวมเรื่องสั้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน และนวนิยายเรื่องยาว ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน กับคุณวัชระ สัจจะสารสิน นักเขียนรางวัลซีไรต์ คนล่าสุด เจ้าของผลงาน บางสิ่งที่เราอาจหลงลืมไป
ทางคณะผู้จัด ชวนให้ผมไปเป็นคนดำเนินรายการเสวนา ซึ่งผมก็ขอชวนเสวนาให้ได้เพียงคนเดียวคือ คุณวินทร์ เรียววารินทร์ ส่วนคุณวัชระ สัจจะสารสินนั้น ผมยังไม่ได้อ่านงานแกเลย จะเอาปัญญาที่ไหนไปถามแทนผู้อ่านได้ ทว่า คุณวินทร์นั้น ผมเคยอ่านงานเขาเยอะอยู่ อีกทั้งบางเล่มก็ตื่นเต้นและประทับใจกับงานสร้างสรรค์ของเขา
แล้วก็เป็นงานที่เมื่อพอชอบ ประทับใจ และตื่นเต้นแล้ว ก็อยากแบ่งปันความรู้สึกนี้กับผู้คนรอบข้าง คือ ซื้อให้ตัวเอง แล้วก็ซื้อแจกจ่ายไปให้กับคนรอบข้างที่ผมชอบ รัก หรือเคารพนับถือ 4-5 เล่ม ซึ่งก็มักเป็นเพื่อนรัก น้องๆ ครูอาจารย์ และผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรารักนับถือหรือไม่ก็ลูกศิษย์ ทั้งเด็ก ป.ตรี ยัน ป.เอก ทั้งในมหาวิทยาลัยมหิดลและทุกแห่งที่เขาให้ไปสอน กระทั่งยามและคนงานในที่ทำงานของผม
ให้อย่างไม่มีเหตุผลอย่างอื่น นอกจากอยากให้สิ่งที่ชอบแก่คนที่เรารัก หรือชอบในวิถีคิด-วิถีปฏิบัติ และแบบอย่างในชีวิตแห่งการเรียนรู้ของเขาที่เราอยากบอกและขอแสดงความชื่นชมด้วยการให้หนังสือ บางเล่มผมซื้อแจกจ่ายเป็นสิบๆเล่ม ตามกำลังความชอบและตามอัตภาพตนเอง
แม้แต่นักศึกษา ซึ่งบางทีเขาตอบข้อสอบที่ไม่รู้จะให้คะแนนและเกรดอย่างไรในทางเนื้อหา ทว่า แนวคิด การริเริ่ม และความเป็นผู้นำทางวิชาการที่รู้จักคิดดีเหลือเกิน ผมก็ให้หนังสือทดแทนการให้เกรด เพราะเชื่อว่าเขาจะมีจิตวิญญาณที่ใหญ่และมีปัญญามากกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอาเกรดอย่างเดียว ให้เพื่อที่เขาจะได้รักษาพลังปัญญาที่มีอยู่นั้นให้งอกงามต่อไปในอนาคต
ผู้รับเขาจะอ่าน-ไม่อ่าน ชอบ-ไม่ชอบ ได้อะไรหรือไม่อย่างไรผมไม่ได้สนใจ มันเป็นเรื่องของเขา ผมได้สำเร็จประโยชน์จากการให้ของเราไปแล้วเป็นพอ
ผมเชื่อว่านี่เป็นหนทางหนึ่งของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมด้วยมือของเราเอง ทำมาอย่างนี้มาตลอดเป็น 20-30 ปี ตลอดชีวิตการรู้จักอ่าน ซึ่งบางทีก็ซื้อให้วัดและโรงเรียน โดยเฉพาะที่บ้านเกิด
มีหนังสือนอกเหนือจากงานวิชาการ วารสาร และหนังสือศิลปะ ที่ผมมักเกิดความประทับใจอย่างนี้หลายเล่ม เช่น งานของ เออร์เนส เฮมมิงเวย์ งานของชาติ กอบจิตติ หนังสือ ดอน กิโฆเต้ หนังสือพุทธธรรม ของท่านเจ้าประคุณประยุทธ ปยุตโต (ปัจจุบันที่พระพรหมคุณาภรณ์) ซึ่งอดไม่ได้ที่จะซื้อ 4-5 เล่ม แจกจ่ายแก่คนรอบข้าง งานของวินทร์ เป็นส่วนหนึ่งที่ผมทำอย่างนี้
การทำอย่างนี้ ไม่เพียงทำให้ได้ความสุขเฉพาะหน้าเท่านั้น ทว่า บางทีผ่านไปตั้งสอง-สามปี กระทั่งเป็นสิบปี เพื่อนๆและคนที่แลกหนังสือ หรือยืมกันอ่าน ก็ยังคุยถึงเรื่องราวจากการอ่านด้วยกัน ได้ทั้งความสุข ความเบิกบานใจ และความมีไมตรีต่อกันกับคนรอบข้าง
จะมีทรัพยากรและปัจจัยในการแลกเปลี่ยนสมาคมกันของผู้คนอย่างสร้างสรรค์และมีความสุขอย่างนี้สักกี่อย่าง ที่คงที่และหมุนเวียนแบ่งปันกันได้อย่างนี้อย่างยั่งยืน-ยาวนาน นอกจากหนังสือและการให้ชีวิตการอ่าน-การเรียนรู้แก่กัน
ดังนั้น ผมจึงยินดีรับเชิญไปชวนคุณวินทร์เสวนา ซึ่งก็เป็นนักเขียนในดวงใจผมคนหนึ่งเช่นกัน
บรรยากาศการคุยและเสวนากันดีมากอย่างยิ่ง จัดขึ้นที่ชั้นล่างในห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ซึ่งผมเห็นทีแรกก็ผงะว่า โอ๊ยไม่เอาด้วยแล้ว มาคุยเรื่องหนังสือและการอ่าน แต่จะทำลายบรรยากาศการอ่านในห้องสมุดเสียกระมัง
ต่อเมื่อทางผู้อำนวยการสำนักหอสมุดและคณะผู้จัด พาเดินให้เห็นว่าแต่ละชั้นและห้องการค้นคว้าต่างๆ ต่างมีกระจกกั้น กันการรบกวนซึ่งกันและกัน เลยก็คิดว่าเป็นบรรยากาศการคุยที่เหมาะดีเหมือนกัน
วินทร์ เรียววารินทร์คุยสนุก และห้วงชีวิตทุกลำดับพัฒนาการ มั่งคั่งในประสบการณ์และมากด้วยพลังชีวิตยิ่งกว่างานเขียนของเขาเสียอีก เลยก็คุยกันอย่างได้อรรถรส ผมขอบคุณเป็นที่สุดต่อทางผู้จัดที่ทำให้ผมได้ร่วมทำงานเล็กๆน้อยๆนี้
แล้วก็ที่ประทับใจมากกว่านั้นก็คือ การร่วมตั้งคำถามและเปิดประเด็นชวนเสวนาของนักอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล แลไปทางไหนก็เห็นเสื้อขาวๆและใบหน้าละอ่อน เลยก็น่าจะเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีเสียเป็นส่วนมาก กว่าสองร้อยคนเห็นจะได้ ซึ่งสะท้อนว่าพวกเขาไม่ใช่พวกแห่แหนมาฟังอย่างเดียว ทว่า เป็นคนอ่านหนังสือ และมีจำนวนไม่น้อย ที่ตั้งคำถามเชื่อมโยงไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่กว้างขวาง สนุกและได้บรรยากาศของเวทีอ่านและคุยกันเรื่องหนังสือดีจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พอเสวนากันเสร็จ วินทร์ เรียววารินทร์ก็ต้องอยู่เซ็นหนังสือให้กับแฟนคลับที่เกิดขึ้น เรียกว่าเซ็นกันมือขวิดเลย ผมนั่งเฝ้าและนับไปด้วยคร่าวๆ ก็เกือบร้อยเล่มเห็นจะได้ มีคนมากระซิบว่า หนังสือที่วางขายสองแผงถึงกับหมดและไม่พอขายให้แก่นักศึกษาและผู้อ่านที่สนใจเลย
นี้ย่อมเป็นผลส่วนหนึ่งของการมีเวทีส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านและได้พูดคุยกันเรื่องหนังสืออย่างนี้
เห็นแล้วมีความสุขดีครับ ใครจะว่าเด็กๆทำเป็นแฟชั่นก็ตามทีเหอะ แต่คนเจียดค่าขนมและความสุรุ่ยสุร่ายทางอื่นมาซื้อหนังสือ และสร้างวงสังคมการอ่านอย่างนี้ได้นี่ ผมว่าไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแน่นอน
อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นคนทำวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในสังคมมหาวิทยาลัย เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ในการเคลื่อนไหวสังคมแห่งการอ่านและการเรียนรู้ ผสมผสานเข้าไปในวิถีการดำเนินชีวิต ไม่ต้องหลบตาโลกภายนอกมหาวิทยาลัยก็แล้วกัน.
-ขอบคุณนะคะ
-ที่นำสิ่งดีงามมาเล่าสู้กันฟัง
-ครูต้อยชอบอ่านหนังสือ เช่นกัน
-สิ่งหนึ่งที่เราทำไม่ได้ดีเท่าที่ควรคือการสร้างความรู็สึกรักการอ่านให้กับเด็กๆ
-หากมีวิธีการที่ดี แนะนำด้วยนะคะ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
สวัสดีครับคุณ วิรัตน์ ตามมาจากบ้านคุณเอกครับ มาอ่านการเสวนาของนักเขียนครับ ระยะหลังๆมาไม่ค่อยได้ตามงานเขียน เมื่อก่อนติดตามงานช่อการะเกดเกือบทุกสนามครับ ขอบคุณที่กระตุ้นการอ่านครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล ขำสุข(อาสโย)
ข้อสังเกตของพระคุณเจ้านี้น่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะใน ๓ เรื่อง.....(๑) การขาดประสบการณ์และจิตสำนึกทางสังคม (๒) การสนองตอบต่อปัญหาสังคมที่ขาดความพอดี (๓) การพัฒนาสู่การเป็นพลเมืองที่อายุยืนยาวแบบเปล่ากลวง
การขาดประสบการณ์และจิตสำนึกทางสังคม คนรุ่นใหม่ของสังคมและเด็กๆ มักขาดการเล่นที่ได้พัฒนาการสร้างสังคม และได้สัมผัสกับสังคมที่ตนเองก่อเกิดหรืออยู่อาศัย ทำให้ไม่มีประสบการณ์พอที่จะซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจิตใจ พอจะก้าวไปข้างหน้าก็ขาดปูมชีวิตสำหรับเลือกสรรการเปลี่ยนแปลง ครั้นมองไปข้างหลังก็กลับบ้านไม่ถูก สังคมก็จะมีแรงกดดันที่ทำให้เราไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะสร้างชุมชนและความเป็นส่วนรวมต่างๆเพื่อมีความสุขในชีวิตผ่านการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ง่ายๆ คนส่วนใหญ่ที่อยู่อย่างตัวใครตัวมันไม่ค่อยได้ ก็จะลำบากกว่าคนที่มีเงินและคนที่เอาตัวรอดได้
การสนองตอบต่อปัญหาสังคมที่ขาดความพอดี คนรุ่นหลังๆ มักต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์คนอื่นและผ่านสิ่งที่เป็นความรู้ ขาดการใช้ชีวิตและมีประสบการณ์กับสังคม ทำให้การรับรู้และจินตนาการเกี่ยวกับสังคมขาดความพอดี เช่น เชิงลบและมองโลกร้ายสุดขั้ว และโรแมนติคเกินความเป็นจริง ก็อาจจะทำให้วิกฤติและปัญหาของสังคมที่ต้องแก้ไขโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของสาธารณชนไม่มีความพอดี
การพัฒนาสู่การเป็นพลเมืองที่อายุยืนยาวแบบเปล่ากลวง อย่างที่พระคุณเจ้าว่ามานั้น เวลาเจอคนบ้านนอกกร้านชีวิตและคนแก่เฒ่าในชนบท เราก็มักจะเจอความเป็นผู้เข้าใจชีวิตและเป็นผู้มีความมั่งคั่งในเรื่องราวของชีวิตและชุมชน มีภูมิรู้ที่บ่งบอกการผ่านร้อนผ่านหนาว เห็นความเป็นผู้เข้าใจชีวิต และเป็นคนแก่เฒ่าที่เก๋า เข้าใกล้และพูดคุยก็มีเรื่องราวที่บันทึกไว้อย่างกับเป็นวงปีของต้นไม้ใหญ่ เป็นคนแก่และผู้มีชีวิตยืนนานที่มีความหมายตลอดเส้นทางของชีวิต
แต่คนรุ่นใหม่ของสังคม ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองมาอย่างในข้างต้น พอเริ่มต้นเข้าระบบการศึกษาที่เป็นทางการนับแต่ระดับอนุบาลเมื่อ ๓-๔ ขวบ โลกประสบการณ์และเนื้อหาของชีวิตก็แทบจะหลุดออกจากความเป็นจริง จากนั้นก็จะเป็นกลไกอะไรสักอย่าง
กระทั่งโน่นแหละครับ ถึงตอนเกษียณ จึงจะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะพบว่า มีผู้คนที่เป็นกลไกของสังคมแยกส่วนจำนวนมาก ที่กลับกลายเป็นเพียงผู้มีอายุยืนยาวเท่านั้น ทว่า ไม่รู้สังคมและไม่รู้ชีวิต เรียกว่าประสบการณ์ชีวิตไม่เก๋า เป็นคนแก่เฒ่าที่ขาดเนื้อหาที่ตกผลึกมาจากการใช้ชีวิต
ในอนาคตสังคมไทยและสังคมทั่วโลกจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น เรื่องที่พระคุณเจ้ากล่าวมานี้ จึงเป็นเรื่องแนวคิดการพัฒนาทางสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งของเราเองและของสังคมได้ด้วยเหมือนกันครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
สวัสดีครับอาจารย์ขจิต