เมื่อช่วงวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมและภรรยาวางแผนที่จะกลับไปเยียมยามญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายให้ได้ อันได้แก่ครอบครัวและญาติพี่น้องทางผมที่อำเภอหนองบัว นครสวรรค์ และครอบครัว รวมทั้งญาติพี่น้องทางภรรยาผม ที่บ้านห้วยส้ม อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่
ปรกติแล้ว เราไม่เคยคิดจะเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างนี้ รถมันติด คนฉวยโอกาส และอุบัติเหตุเยอะ ทว่า ลูกหลานและญาติๆทางฝ่ายผม ต้องการทอดผ้าป่า ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษที่ผมเห็นว่าต้องไป เราเริ่มต้นด้วยการไปทอดผ้าป่าที่บ้านเกิดผมก่อน จากนั้น วันหยุดอีก 3 วันที่เหลือ เราก็ไปที่บ้านของตัวเองที่สันป่าตอง เชียงใหม่ โดยเดินทางด้วยรถไฟ ขบวนรถเร็ว เที่ยว 1 ทุ่มเศษ จากชุมแสง นครสวรรค์ ไปเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2550
อันที่จริงนั้น พนักงานขายตั๋วบอกว่าที่นั่งไม่มีเลย แต่ก็ให้ความหวังว่า ถ้าอดทนที่จะยืนโดยสารไปได้ ก็อาจจะได้ที่นั่งเมื่อถึงสถานีข้างหน้าไปเรื่อยๆ ผมและภรรยาได้เตรียมที่จะเจอกับสถานการณ์นี้อยู่แล้วเราจึงยินดีที่จะยืนหรือนั่งไปก็ได้ พนักงานขายตั๋วก็ยินดีที่จะขายตั๋วให้ ผมได้รำลึกถึงบรรยากาศการเดินทางด้วยรถไฟอันสนุกสนานสมัยเมื่อเป็นเด็กมากมาย อีกทั้งเต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา
เมื่อเดินขึ้นรถ เราก็เดินเลียบเลาะไปอยู่สองโบกี้ แล้วก็ตกลงใจได้ไม่ยากว่า ไม่มีที่นั่งแน่นอน เลยก็หาที่ซึ่งพอจะยืนได้ตรงใกล้ช่วงต่อระหว่างโบกี้ มีอ่างล้างหน้าและที่ว่างอยู่เล็กน้อย พอหยุดเดินและเริ่มมองหาที่วางกระเป๋า ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ทั้งแถวซ้ายขวา ต่างก็มีน้ำใจช่วยดูและชี้บอกที่ว่างสำหรับวางกระเป๋า น้องๆกลุ่มหนึ่งเริ่มให้ข้อมูลว่า ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆหลายคนจะลงที่พิษณุโลก ผมและภรรยายืนไปอีกนิดหน่อยก็จะได้ที่นั่ง ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง
ผมเริ่มได้ที่นั่งตั้งแต่ยังไม่ถึงพิษณุโลกแต่ยังต้องนั่งกระจายกันอยู่ พอถึงพิษณุโลก คนก็ลงเพิ่มขึ้นอีก เราเลยมีที่ว่างพอที่จะนั่งในที่เดียวกัน ที่นั่งซึ่งหันหน้าเข้าคู่กับที่นั่งผมกับภรรยา เป็นผู้โดยสารชายสองคน อีกฟากหนึง เป็นกลุ่มผู้โดยสารสตรี ซึ่งหนึ่งในนั้นนั่งกอดลูกหมาตัวเล็กๆ ไปด้วย มองไปทางไหนก็มีแต่คน ทว่า มีแววตาพร้อมทักทาย อีกด้านหนึ่งในโบกี้ที่พ่วงถัดไป ก็แน่นไปด้วยผู้โดยสาร รวมทั้งมีกลุ่มซึ่งจากการแต่งกาย บอกให้รู้ว่าเป็นพี่น้องชาวมุสลิม นั่งรวมกันเป็นกลุ่ม 5-6 คนเห็นจะได้
เมื่อเริ่มได้ที่นั่ง ผมกับภรรยา ไม่เพียงนั่งคุยกันไปอย่างสัพเพเหระ ผู้โดยสารที่นั่งตรงข้าม ก็เริ่มเป็นกลุ่มสนทนาอย่างกันเอง ผู้คนที่แยกย้ายและร่ำลากันลงอย่างไม่พร้อมกัน ก็ทำให้รู้ว่า กลุ่มคนที่นั่งสนทนากันอย่างออกรสในโบกี้ บ้างก็มาด้วยกัน และบ้างก็เป็นกลุ่มที่อุบัติความเป็นกลุ่มและชุมชนชั่วคราว เมื่อขึ้นมาอยู่ในรถไฟโบกี้เดียวกัน
เมื่อผ่านเลยสถานีจอดมากขึ้น ที่นั่งก็เริ่มสะดวกสบาย ผู้คนเริ่มเดินเหิน บ้างก็นอนเหยียดยาว เหมือนมีความคุ้นเคยและวางใจต่อสภาพแวดล้อมอย่างเต็มที่ ที่นั่งด้านข้างซึ่งเป็นผู้โดยสารสตรีและอุ้มหมาน้อยอยู่ด้วยนั้น มีเพื่อนทั้งชายหญิงแวะเวียนมานั่งเล่นกับหมาและกลายเป็นเพื่อนนั่งคุยกันอยู่มิได้ขาด มนุษย์มีธรรมชาติในการอยู่ร่วมกัน เมื่อไม่มีสิ่งอื่นมาเบียดบังความสนใจ ก็ถักทอและเข้ากลุ่ม สร้างชีวิตรวมหมู่ด้วยกันได้อย่างง่ายดาย
สักประมาณตีสอง ขบวนรถของเราก็ต้องจอดรออยู่ที่สถานีแพร่อยู่กว่าสองชั่วโมง ทราบว่าได้เกิดอุบัติเหตุแถวจังหวัดน่านจากขบวนรถสปริ๊นเตอร์ขาล่อง อากาศก็ร้อนอบอ้าว ผู้คนกระวนกระวาย บ้างจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ บ้างหารือที่จะวางแผนเดินทางโดยต่อรถซึ่งมีเอกชนอาสาจัดรถโดยสารขึ้นมาอย่างทันการณ์
หากเรานั่งรถทัวร์ หรือรถไฟเหมือนกัน ทว่า เป็นชั้นปรับอากาศแบบสปริ๊นเตอร์ ซึ่งหันหน้าไปในทางเดียวกัน วิถีชีวิต อัธยาศัยและน้ำใจผู้คน ตลอดจนบรรยากาศของการเดินทางจะเป็นอีกแบบ ผู้คนจะระมัดระวังที่จะเข้าไปรบกวนและเกี่ยวข้องกับผู้อื่น แม้จะแออัดและโดยสารร่วมกันไป แต่ก็หาได้มีสัญญาณของพลังกลุ่ม แต่ละคนมีความเป็นเอกเทศ สงวนความเป็นปัจเจก แปลกหน้า มีระยะห่าง เห็นขอบเขตและเส้นแบ่งของโลกหลายใบ
ส่วนผู้คนที่โดยสารรถไฟโดยเฉพาะในโบกี้ชั้นสามนี้ มีวิถีปฏิบัติตนเหมือนกับกลุ่มคนที่นั่งสองแถว รถ บขส หรือ รถเมล์แบบบ้านนอก คือต่างลดระดับการเอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง เป็นการปรับตัวเข้าหากัน สร้างชีวิตรวมกลุ่ม มีอัธยาศัย เอื้ออาทร เรียบง่าย ไม่มีฟอร์ม ต้องเรียนรู้ที่จะฟังและคุยกับผู้อื่น ดูแลสารทุกข์สุกดิบผู้อื่น และแบ่งปันโอกาสต่างๆ แก่กัน มีพลังของความเป็นชุมชนและความหลากหลายชีวิตที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน
รถไฟโบกี้ชั้นสาม เปรียบเสมือนรูปแบบและมรรควิถี ที่กำหนดให้กระบวนการเชิงพฤติกรรมสังคมและวัฒนธรรม ต้องเป็นไปอย่างนั้น หากไม่เรียนรู้และขาดความสามารถที่จะปรับตัวให้ถูกต้องกับธรรมชาติจำเพาะของมัน เราก็จะไม่สามารถโดยสารเพื่อเดินทางด้วยเวลาอันยาวนานอย่างมีความสุข ไม่อาจเก็บเกี่ยวและสร้างความหมาย ตลอดจนบ่มคุณค่ามากมายของชีวิต ขึ้นมาได้เลย
เครื่องมือและวิธีการ ตลอดจนมรรควิถี จึงมีนัยสำคัญต่อเรามากกว่าการพิจารณาว่า มีแล้ว หรือ ยังไม่มี เท่านั้น เหตุนั้น มิติเชิงคุณค่า และ การมีความหมาย จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ผมนั่งคุยเรื่องเหล่านี้กับภรรยาจนลืมความเชื่องช้าและความเมื่อยขบทั้งปวง เดินทางต่อถึงบ้านด้วยความสนุก ขอบคุณวันสงกรานต์และรถไฟโบกี้ชั้นสาม ให้ไอเดียผมเยอะเลย.
ขอบคุณครับอาจารย์ Kae ที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน ดีใจที่เป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์ได้ร่วมรำลึกถึงความทรงจำดีๆ เลยมีมุมมองที่จินตนาการถึงวัยเด็กมาฝากด้วย อาจารย์เป็นคนรุ่นใหม่ที่เส้นทางชีวิตและมีแนวคิดที่สะท้อนความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพของสังคมจริงๆ ขอให้มีความสุขและมีพลังชีวิตอยู่เสมอนะครับ
http://www.pantown.com/board.php?id=11476&area=4&name=board5&topic=88&action=view
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ชุมชนและคนอาศัยในชุมชนด้วยกัน ต้องพัฒนาการเดินเข้าหากันอยู่เสมอ
กราบนมัสการด้วยความเคารพ