ผมกับครอบครัวได้ไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 มิถุยายน 2552)
นึกขึ้นได้ว่า เคยค้นคว้าและเขียนบทความเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้แล้ว
ก็เลยทยอยตัดต่อนำมาบันทึกไว้ใน G2K
เผื่อใครสนใจไปเยี่ยมชม จะได้เห็นสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นครับ ^__^
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
ศิลปะ...จากศรัทธาผสานจินตนาการ
“ตั้งจิตเพื่อฟ้าดิน มีชีวิตเพื่อมนุษยชาติ
สืบต่อวิทยาการสุดยอดจากปราชญ์ในอดีต และสร้างสรรค์สันติสุขชั่วกาลนานแก่มนุษยชาติ
นี่คือเป้าหมายอันแท้จริงซึ่งศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ต้องการบรรลุ”
เล็ก วิริยะพันธุ์
หากจะมีสถานที่สักแห่งในบ้านเราที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อได้แรกเห็น น่าทึ่งในความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ....ก็คงจะเป็นหนึ่งในสถานที่เช่นนั้น
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเป็นอาคารรูปช้าง 3 เศียรขนาดมหึมาตั้งอยู่บนอาคารทรงกลม
เฉพาะตัวช้างสูงเท่าตึก 8 ชั้น (29 เมตร)
และหากรวมอาคารเข้าไปด้วยก็จะสูงเท่าตึก 14 ชั้น (43.60 เมตร) เลยทีเดียว
ผู้สร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ (ซึ่งคนใกล้ชิดมักจะเรียกว่า “เสี่ยเล็ก”)
ผู้สร้างเมืองโบราณ (ใกล้บางปู) และปราสาทสัจธรรม (ที่พัทยา)
คุณเล็กตั้งใจให้อาคารรูปช้าง 3 เศียรนี้เป็นที่เก็บรักษาและจัดแสดงวัตถุโบราณให้คนไทยได้เรียนรู้
คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ถ่ายระหว่างการสำรวจท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่พิษณุโลก
(ภาพจากหนังสือ ริมขอบฟ้า หน้า 53)
เดิมทีนั้น คุณเล็กวาดฝันโครงการที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เห็นนี้มาก
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษาเมืองโบราณ ได้เล่าไว้ว่า
“...คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้สร้างเมืองโบราณ มีโครงการจะสร้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งโลกและโรงเรียนช่างสิบหมู่ขึ้นบนพื้นที่ 1,000 ไร่ ริมแม่น้ำบางปะกง ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ขนาดของอาคารที่ทำแบบกันไว้คือ ตัวตึกสูง 70 ชั้น หรือ 210 เมตร เหนือขึ้นไปเป็นประติมากรรมช้างเอราวัณสามเศียรขนาดยักษ์สูง 90 เมตร หรือเท่ากับตึกอีก 30 ชั้น ทั้งยังจะมีอาคารบริวารล้อมรอบอีกเหลือคณานับ”
แต่ทว่าโครงการนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เหตุเพราะมีอุปสรรคเรื่องคนบุกรุกที่ดินและไม่ยอมโยกย้ายออกไป คุณเล็กจึงล้มเลิกความคิด เพราะไม่ต้องการทำในเรื่องที่ไม่สบายใจ
โครงการศูนย์วัฒนธรรมแห่งโลกและโรงเรียนช่างสิบหมู่
(ภาพจากหนังสือ ริมขอบฟ้า หน้า 75)
ต่อมาคุณเล็กได้เลือกพื้นที่ก่อสร้างแห่งใหม่ โดยใช้พื้นที่ราว 12 ไร่ของบริษัทธนบุรีประกอบยนต์ จำกัด ของตนเอง
และมอบหมายให้คุณพากเพียร ลูกชายคนโต เป็นผู้ดูแลโครงการนี้
แง่มุมทางเทคนิคที่นับว่า “หิน” สำหรับทั้งสถาปนิกและวิศวกรก็คือ จะออกแบบและก่อสร้างช้างบนตัวอาคารได้อย่างไร
เพราะลำพังเฉพาะเศียรทั้ง 3 ก็หนักรวมกันถึง 100 ตัน ส่วนตัวช้างก็หนักถึง 150 ตัน นอกจากนี้เศียรทั้งหมดของช้างยังยื่นออกมานอกขอบเขตตัวอาคารอีกต่างหาก
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณขณะก่อสร้าง
(ภาพจากหนังสือ ชีวิตและผลงาน เล็ก วิริยะพันธุ์ หน้า 188)
ซึ่งจะช่วยกระจายน้ำหนักตัวช้างลงบนคานวงแหวนรอบในและรอบนอกบนอาคารศาลา โดยคานวงแหวนรอบในและรอบนอกมีเสารับน้ำหนักจำนวน 4 และ 8 เสาตามลำดับ
เล่าโดยย่อที่สุดก็คือ เริ่มสร้างอาคารด้านล่างและขาช้างทั้ง 4 ก่อน
ต่อมาก็สานโครงเหล็กเป็นรูปลำตัวช้าง
ส่วนเศียรช้างซึ่งสร้างยากที่สุดนั้นใช้วิธีสร้างบนพื้นก่อน แล้วยกขึ้นไปประกอบกับลำตัวอีกที
สำหรับผิวของช้างนั้นบุด้วยแผ่นทองแดงหนาประมาณ 1.2 มิลลิเมตร
มีขนาดใหญ่ที่สุด 4 ฟุต x 8 ฟุต ขนาดเล็กที่สุดประมาณฝ่ามือ
ทำไมจึงเลือกทองแดง?
วัสดุตัวเลือกขั้นสุดท้ายสำหรับทำผิวช้างได้แก่ ดีบุก เงิน และทองแดง
แต่เมื่อประเมินแล้วพบว่าอ่อนเกินไป ส่วนเงินก็อ่อนเกินไปเช่นกัน (เดิมทีคุณเล็กต้องการใช้ดีบุก)
จึงเหลือเพียงทองแดงที่เหมาะสมที่สุด
อีกทั้งทองแดงยังทนทานและสามารถ่ายเทความร้อนได้ดีด้วย
แผ่นทองแดงที่ใช้จะต้องนำมา “ย่าง” ให้ร้อนจนกลายเป็นสีดำ จากนั้นก็ราดน้ำทำความสะอาดและทิ้งไว้ให้เย็น
เมื่อนำไปประกอบกับโครงสร้างเหล็กก็จะตัดให้พอดีกับช่องที่จะวางโดยใช้ตะขอเกี่ยวแผ่นทองแดง
(ใช้วิธีการเกี่ยวด้วยตะขอเพราะเหล็กกับทองแดงมีอัตราการขยายตัวทางความร้อนไม่เท่ากัน)
จากนั้นก็ใช้ค้อนทุบแผ่นทองแดงให้โค้งตามรูปร่างที่ต้องการ
ในช่วงที่สร้างช้างเอราวัณนั้น ต้องใช้แผ่นทองแดงสั่งจากญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 3,000 ตารางเมตร
จนทำให้แผ่นทองแดงขาดตลาดไประยะหนึ่งทีเดียว!
นี่เองที่ทำให้สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า
ช้างเอราวัณเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะขึ้นรูปด้วยมือเป็นแห่งแรกในโลก
เพราะประติมากรรมขนาดใหญ่ที่อื่น เช่น เทพีเสรีภาพของอเมริกา
ใช้วิธีการหล่อขึ้นทั้งตัวแล้วถอดเป็นชิ้นส่วนใหญ่ๆ ขึ้นไปเชื่อมประกบภายหลัง
ตอน 2 : ย่างเข้าในตัวอาคารช้างเอราวัณ
(โปรดอดใจรอ)
สวัสดีครับ อ.แอ๊ด
เสร็จสมบูรณ์มาได้พักใหญ่แล้วครับ พอดีนำภาพตอนกำลังสร้างมาให้ชม เพราะว่าหาชมยากมากครับภาพนี้ (ไปซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง)
เดี๋ยวตอน 2 และตอนต่อๆ ไป พี่จะพาเข้าไป และชมรอบๆ ครับ
สวัสดีครับพี่ชิว ^^
แวะมาบอกว่า เพราะเห็นช้างเอราวัณนี่แหละ เดย์ถึงหลงสมุทรปราการ ไปไม่ถึงกรุงเทพฯซะที 555 (เลี้ยวซ้ายลงสะพานเฉยเลย หุหุ)
เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะคร๊าบ
เดย์!
ตอน 2 นำขึ้นไปแล้วคร้าบบบบบ....แวะไปขึ้นช้างได้โลด!
โอ้แม่เจ้า ใหญ่โตจริงๆ สวยค่ะ จะหาเวลาไปเที่ยวชมบ้าง งานแบบนี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆ นับถือคนทำ
สวัสดีครับ ซูซาน
คนสร้างทำด้วยศรัทธา + ความรู้ จริงๆ ครับ หาไม่ง่ายนักที่มหาเศรษฐีจะทำงานที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมระดับนี้