(42)
แนวคิด เรื่อง การรรู้เท่าทันการสื่อสาร
Concept of Communication Literacy
มุมมอง : การรู้เท่าทันการสื่อสาร คือ
การ ”ทำความเข้าใจ” กระบวนการและจุดมุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารประเภทต่างๆอย่างลึกซึ้ง
นำไปสู่ ”ความเข้าใจ” กระบวนการและจุดมุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารประเภทต่างๆอย่างลึกซึ้ง
เพื่อให้สามารถ "วางท่าที" ต่อการสื่อสารครั้งนั้นๆได้อย่างถูกต้อง
(ใจดิฉันคิดว่าคำว่า "วางท่าที" ยังเข้าใจยากและยากที่จะ "ติด" ในภาษาวิชาการนะคะ ถ้าท่านใดจะกรุณาปรับแก้ก็จะเป็นพระคุณยิ่งค่ะ)
เน้นที่ : การรู้และเข้าใจ จุดมุ่งหมายแท้ๆที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารประเภทต่างๆ และการวางท่าทีความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้อง
หรือเน้นที่ :
โดยการ ถอดกระบวนการการสื่อสาร เพื่อทำความเข้าใจ
อย่างอย่างลึกซึ้งและ รู้เท่าทัน
โดยให้รู้ถึง
จากนั้นก็
ด้วยวิธีคิดชุดรู้เท่าทัน
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนรู้เท่าทันการสื่อสาร
( คำว่า วิธีคิด ชุดรู้เท่าทัน นี้ ดิฉันก็ออกจะจนปัญญาว่าจะนำเสนออย่างไรนะคะ แต่เข้าใจว่าน่าจะมีอยู่แถวๆคำว่า critical thinking และคำว่า Literacy ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะ Media Literacy ซึ่งนำเสนอขั้นตอนการรู้ทันสื่อไว้เป็นชุดแนวคิด เพื่อบอกว่า หากท่านมองสื่อโดยแนวคิด หรือการตั้งคำถามเช่นนี้แล้วไซร้ ก็แปลว่าท่านเป็นผู้รู้เท่าทัน ดังนี้เป็นต้น )
เหมือนเป็น โมเดล ซ้อนโมเดล คือโมเดลทฤษฎีการสื่อสาร ซ้อนกับ โมเดลการรู้เท่าทันการสื่อสาร นะคะ
เหตุที่ซ้อนกันเพื่อให้เห็นว่า มีกลไก 2 ชุด ชุดหนึ่งคือกลไกการสื่อสาร อีกชุดหนึ่งคือกลไกการรู้เท่าทัน(กลไกของ**)การสื่อสาร .....(ถึงตรงนี้เพื่อนก็บ่นว่าพูดให้งงอีกแล้ว)
สรุปสั้นๆว่า
โดยใช้การวิเคราะห์สังเคราะห์วิพากษ์วิจัยอะไรก็ว่ากันไป เป็นต้น
ด้วยมุมมองนี้ การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) ก็น่าจะอยู่ในสายการสื่อสาร หรือสายนิเทศศาสตร์
..........................................................
ปรับเพิ่มเติมจาก เว็บไซต์วิชาการด็อตคอม กระทู้ การรู้เท่าทันการสื่อสาร (Communication Literacy) ความเห็นเพิ่มเติมที่ 74
17 ก.พ. 2550
หมายเหตุ
ขอขยายความเพิ่มเติมนิดนะคะ อันเนื่องมาจากแรงบันดาลใจจากคุณหมอเล็ก ภูสุภาในบันทึกนี้
วิธีคิดชุดรู้เท่าทันการสื่อสาร เหมือนเป็น โมเดล ซ้อนโมเดล
คือโมเดลทฤษฎีการสื่อสาร ซ้อนกับ โมเดลการรู้เท่าทันการสื่อสาร นะคะ
เหตุที่ซ้อนกันเพื่อให้เห็นว่า มีกลไก 2 ชุด
1. ชุดหนึ่งคือกลไกการสื่อสาร
2. (อีก)ชุดหนึ่งคือกลไกการรู้เท่าทัน(กลไกของ**)การสื่อสาร .....
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะคะ
: ) : )
สรุปสั้นๆว่า
ด้วยมุมมองนี้ การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) ก็น่าจะอยู่ในสายการสื่อสาร หรือสายนิเทศศาสตร์
** *** ** ***
สัญญาอนุญาตสิทธิ์: อนุญาตให้ใช้โดยไม่มีเงื่อนไข
จากประโยคสุดท้าย
เรา..หมอเล็ก จึงขออนุญาตนำ การรู้เท่าทันการสื่อสาร ไปใช้โดยไม่เลือกสายงานค่ะ ;P
คิดถึงพี่จัง หายไปนาน สนใจเรื่อง critical thinking ครับผม
ขออนุญาตนำ การรู้เท่าทันการสื่อสาร ไปใช้โดยไม่เลือกสายงานค่ะ ;P
สะกิดใจตัวเองจึงขอนำไป ต่อยอดไว้ ที่นี่ ค่ะ
โอ้โห.. คุณหมอเล็ก : )
มามุกนี้เลยอ่า.. พี่ตอบไม่ถูกเลยคราวนี้ อิๆๆๆๆๆ
ช่วงนี้พี่แอมป์กำลังหูตาลายกับการตรวจข้อสอบอัตตาหิอัตโนนาโถของเด็กๆค่ะ พี่แอมป์ไม่เคยออกข้อสอบปรนัย(มาตั้งแต่เกิด) คืนนี้อยากพักสักสองชั่วโมง กะว่าจะมาท่อง "ไปให้รู้" ให้หายคิดถึงพี่ๆน้องๆสักครู่ ... มาเจอเม้นต์หมอเล็กเข้า พี่แอมป์นั่งหัวเราะกิ๊กๆๆๆเลยอะ
เรื่องลิขสิทธิ์นี้เป็นประเด็นคุยกันได้ยาวนานนะคะคุณหมอเล็ก พี่แอมป์เคยนั่งเถียงกับเพื่อนเป็นคืนๆ และรีบสรุปว่า"ลิขสิทธิ์..ขึ้นอยู่กับคนที่เป็นเจ้าของ" (เพราะง่วงนอนมาก) เพื่อนไม่ยอมให้พี่นอน เพราะเธอบอกว่าพี่ด่วนสรุป บางสิ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เช่นธรรมชาติเป็นต้น ว่าแล้วคืนนั้นก็ไม่ได้นอนทั้งสมใจ เพราะมัวแต่งัดเหตุผลมาเถียงกันว่า อะไรมีเจ้าของ อะไรไม่มี หวิดจะได้วางมวยกัน อย่างสุภาพบุรุษและสุภาพบุรี โชคดีที่ไก่ขันหมดยกซะก่อน อิๆๆๆๆ
สำหรับบันทึก"การรู้เท่าทันการสื่อสาร"นี้ พอน้องต้นกล้าบอกว่ามีฟีเจอร์สัญญาอนุญาตสิทธิ์พี่ก็กระโดดตุ๊บ(แบบไม่คิดชีวิต) เข้ามาเลือก "อนุญาตให้ใช้โดยไม่มีเงื่อนไข" ทันควัน แบบว่าอย่างมั่นใจ ....ครือมั่นใจว่าเขียนวกวนอลหม่านแบบนี้ถึงให้ควีๆก็คงไม่มีมีใครอยากอ่านแหๆ : ) : )
พอคุณหมอเล็กแวะมา พี่แอมป์จึงดีใจไชโยจนออกนอกหน้าทุกที อย่างน้อยพี่แอมป์จะได้ไปบอกเพื่อนว่า "คุณหมอเค้าอ่านเข้าใจด้วยน้า.." : ) : )
เธอจะได้เลิกค่อนว่าพี่เป็นคน "พูดไม่รู้เรื่อง" ซะทีอะค่ะ อิอิอิ
สวัสดีด้วยความรักและคิสถึงมากค่า..น้องขจิต
สรุปสั้นๆว่า
ด้วยมุมมองนี้ การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) ก็น่าจะอยู่ในสายการสื่อสาร หรือสายนิเทศศาสตร์
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
พี่แอมป์ คะ คิดลงไปอีกนิด
ก่อนที่เราจะรู้หลักของการรู้เท่าทันการสื่อสาร เพื่อจะนำไปสู่หรือนำไปใช้พิจารณาการสื่อสารแต่ละประเภท
เรา "รู้" ในตัวเราเองหรือยัง (insight)
ประการนี้ ครูของน้องเคยพูดให้ได้ยินว่า การจะรักษา คนไข้.. คนไข้ต้องยอมรับแบบ มี insight (ในตัวเขา ว่า เขาป่วย หรือไม่สบายอะไรทำนองนี้)หมอใด ๆ จึงจะรักษาเขาได้
น้องไม่ได้จะมาบอกว่า จะรักษาใคร อะไร ที่ไหน หรือว่าเรา ป่วย
ไม่ใช่
แต่ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกว่า มันลึกนะ การจะไปรู้เท่าทันการสื่อสาร..(เช่นสมมุติเป็นการสื่อสารของคนที่เขา ไม่ต้องการสื่อสารกับเราจริงแต่ส่งข้อความหรือ..การสื่อสาร หรือ..มางั้น ๆ )
แต่ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกว่า มันลึกนะ การจะไปรู้เท่าทันการสื่อสาร..และ ยิ่งเพื่อจะนำไปสู่หรือนำไปใช้พิจารณาการสื่อสารแต่ละประเภท
เรามี insight พอจะแยกแยะหรือ "รู้"..ชีวิต ..ประสบการณ์..และที่สำคัญยิ่ง
เรา รู้เราหรือเปล่า
(เหมือนว่า ถ้าเรารู้เราพอสมควร เราก็สมควรอ่านเรื่องที่พี่แอมป์เขียนต่อ)
แฮ่ งงแล้วยังคะ ตัวเองเริ่ม ฮง ๆ ค่ะ
เอาใหม่ ไปตั้งหลักก่อนดีกว่า อิ อิ
ด้วยมุมมองนี้ กำลังคิดว่า การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) ก็น่าจะอยู่ในทุกสายการสื่อสาร หรือการดำรงชีวิต เลยเชียวนะคะ
คิดมากไปเปล่านี่..แหะ แหะ
สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก
พี่แอมป์คิดตามที่คุณหมอเล็กพูดไว้อย่างสั้นแต่คม ว่า"ไม่รู้-เพียรรู้" แล้วก็เห็นด้วยจงทุกประการ(เทอญ) : )
หลังจากที่(มีวาสนา)ได้คุยกับพี่นุชอย่างมีความสุขในบันทึกนี้แล้ว พี่แอมป์ก็ได้มองเห็นตามที่พี่นุชกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) เป็นเรื่องเดียวกับ "การมีสติกับปัจจุบัน รู้เท่าทันทั้งตนเองและผู้อื่น เมื่อมีสติ ปัญญาย่อมเกิดให้เห็นสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริง"
พี่แอมป์อยากเชื่อมโยงเรื่องหลักการรู้เท่าทันการสื่อสาร กับเรื่องที่พี่นุชกล่าวถึงต่อไปนี้ให้ชัดเจนจังเลยค่ะ
1. การมีสติอยู่กับปัจจุบัน
2. การรู้เท่าทันทั้งตนเองและผู้อื่น
3. สิ่งที่เกิดสืบเนื่องจากการมีสติอยู่กับปัจจุบัน และการรู้เท่าทันทั้งตนเองและผู้อื่น คือ "เกิดปัญญา เห็นสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริง"
แต่เนื่องจากที่ได้ออกตัวไปพัลวันทุกครั้งแล้วว่าพี่แอมป์เขียนไปตามความรู้สึก ไม่ใช่ความรู้ เพราะรู้น้อยเหลือเกิน แต่พี่ก็เพียรหาความรู้ หาผู้รู้ และหาประสบการณ์ไปด้วยความหวังว่าเราคงเข้าใจอย่างแท้จริงเข้าสักวัน และพี่แอมป์คิดว่า insight ที่คุณหมอเล็กกล่าวถึง ก็อาจเกิดขึ้นกับผู้ใดก็ได้ที่มีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันทั้งตนเองและผู้อื่น จนกระทั่งเกิดปัญญา เห็นสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริง
ถามว่าเข้าใจยากหรือไม่ พี่ก็คิดว่าอาจจะใช่นะคะคุณหมอเล็ก ถามว่าแล้วจะเป็นไปได้ไหม (จะเกิด insight ได้ไหม) พี่ก็คิดว่าเป็นไปได้สำหรับบางท่าน ที่ท่าน"เห็น"และ"เข้าใจ"แล้วจริงๆ ส่วนจะเห็นและเข้าใจในระดับไหนนั้น พี่แอมป์คิดว่าขึ้นอยู่กับว่าเราจะตัดสินด้วยหลักคิดแบบใด
สำหรับแบบที่พี่แอมป์แบ่งประเภทการรู้เท่าทันการสื่อสาร พี่แบ่งด้วยกรอบของวิชา ระดับการรู้เท่าทันการสื่อสารก็จะยังอยู่ในกรอบของวิชา ที่เป็นความรู้ทางโลก แต่หากจะให้เกิดการหยั่งรู้และเห็นแจ้งอย่างแท้จริงในทางธรรม ก็ต้องแบ่งด้วยระดับของการหลุดพ้นกระมังคะ ความรู้ของพี่แอมป์ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
ความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างทางโลกกับทางธรรมของเรื่องการรู้เท่าทันการสื่อสารนี้ คงอยู่ที่การรู้เท่าทันจิตใจตนเองกระมังคะ หากเรามองว่าสรรพสิ่งที่เราเห็นและเป็นไปนั้น(โลกธรรม) เกิดจากการที่ใจเราเข้าไปปรุงแต่งด้วย เมื่อเรารู้เท่าทันที่มาและกระบวนการของเหตุปัจจัย และวางท่าทีความสัมพันธ์ต่อเหตุปัจจัยนั้นอย่างเหมาะสมได้ หรือเราละวางเสียได้ กระบวนการพัฒนาทางจิตอันเป็นธรรมดาโลกนี้ คงจัดเข้าอยู่ในทางธรรมอย่างชัดเจน
แต่เราก็ยังฝึกและสอนด้วยวิชาที่มีอยู่ในโลกได้ โดยกระบวนการที่เราคิดไตร่ตรองคัดกรองอย่างรอบคอบแยบคายแล้วว่าเหมาะแก่ภาวะของเด็กๆที่เรารับผิดชอบ เป้าหมายก็ไม่ไกลเกินกว่าที่จะเป็นจริง ...เป็นจริงในโลกที่เราอยู่ร่วมกันนี้เอง
พี่แอมป์จึงยกมือทุกข้างที่มีเห็นด้วยกับคุณหมอเล็กที่คุณหมอเล็กกล่าวเต็มประตูเลยนะคะ
"การรู้เท่าทันการสื่อสาร ( Communication Literacy) ก็น่าจะอยู่ในทุกสายการสื่อสาร (และ)หรือการดำรงชีวิต" เช่นนั้นเป็นแน่แท้ทีเดียวเจียว
ขออนุญาตเติมคำว่าและในวงเล็บไปหนึ่งคำนะคะ อยากบอกว่าพี่แอมป์ฟังแล้วไม่ฮง แถมยังรู้สึกว่าคุณหมอเล็กคิดได้ลึกซึ้งกว้างไกลกว่าที่พี่แอมป์เขียนไปหลายกิโลเลยค่ะ : )
แว๊บมาบอกว่า..
"คิดถึง" ค่ะ.พี่แอมป์..
มีความสุขมากๆนะคะ..ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ..
^^
หวัดดีจ้าแอ๊ว
น้องแวะมาตั้งแว้บนึงแน่ะ แต่พี่ดีใจเกินหนึ่งแว้บไปแล้วละ อิอิ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและขอให้น้องมีความสุขมากๆกับ"ผีเสื้อหลากสีตัวน้อยๆ" ที่น้องดูแลอยู่นะจ๊ะ
สิ่งสำคัญที่ครูสอนเด็กโตไม่มีวันจะได้เห็นอีกแล้ว คือความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยๆ ที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานทุกครั้งที่ได้สัมผ้ส ครูที่สอนเด็กเล็กจึงได้ดูสดใสชื่นบาน ตามหลักฐานที่แปะมาพร้อมนี้ เพราะอยู่ใกล้แหล่งผลิตความสุขตัวเล็กๆ ที่ผลิตความรื่นเริงไร้เดียงสาได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
ว่าแล้วพี่ก็ขออิจฉาตาร้อนผ่าวๆซะอีกทีนะจ๊ะแอ๊ว อิอิอิอิ : ) : )