"วัดอรุณ"
เป็นวัดที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันว่าอยากมีโอกาสไปเยือนสักครั้งตั้งแต่สมัยยังเด็ก
ตอนนั้นในหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา
มีรูปพระปรางค์วัดอรุณตั้งเด่นตระหง่านอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา และแล้วในที่สุดเมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง
(ที่ว่าฤกษ์งามยามดีก็เพราะเป็นวันที่ข้าพเจ้ามีเวลาว่างครึ่งวัน)
ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปยลโฉมพระปรางค์ในความทรงจำ....
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ (ข้าพเจ้าถือคติว่า
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อิอิ)
ข้าพเจ้าและเพื่อนเดินทางไปกราบพระนอนที่วัดโพก่อน
แล้วจึงเดินข้ามถนนไปยังท่าเตียน จากนั้นนั่งเรือข้ามฟากไปยังวัดอรุณ
ซึ่งเป็นสถานที่เป้าหมาย...ไม่ว่าคู่มือท่องเที่ยวเล่มไหน
ข้าพเจ้าเห็นวัดอรุณอยู่ในรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเสมอ
จึงไม่แปลกที่จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายเดินกันขวักไขว่ภายในบริเวณวัด
(แต่ก็ยังน้อยกว่าวัดโพ)
เมื่อไปถึงภายในบริเวณวัด
ข้าพเจ้าถึงกับต้องแหงนหน้าดูความยิ่งใหญ่อลังการของพระปรางค์ที่อยู่เบื้องหน้า
แลขึ้นไปเห็นคนตัวเล็กๆ อยู่ลิบๆบนพระปรางค์
แสดงว่าต้องมีบันได้ขึ้นแน่ๆ และแล้วก็ไม่รอช้า
ข้าพเจ้ารีบเดินผ่าเปลวแดดไปยังบันไดทางขึ้นพระปรางค์ทันที
แต่เมื่อเห็นทางขึ้นข้าพเจ้าต้องหยุดฝีเท้า ยืนชั่งใจอยู่สักครู่
เพราะบันใดขึ้นพระปรางค์ชันมากจนข้าพเจ้านึกหวั่นใจ
ปกติแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่คนกลัวความสูง...เอาน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว
คนอื่นเค้ายังขึ้นกันได้ ทำไมเราจะขึ้นไม่ได้ ว่าแล้วก็สูดหายใจแรงๆ
พร้อมทั้งก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ
แม้ว่าท่านจะแขนขาด
แต่ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ
จะว่าไป...ตอนขึ้นบันไดนี่
น่ากลัวตรงที่ความคิดตัวเองนี่แหล่ะ...คิดว่า
เอ...จะมีคนเคยตกบันไดมั้ยนะ? ถ้าตกลงไปจะเป็นยังไงน้อ? คิดไป คิดมา
ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย
สรุปแล้วเลิกคิดดีกว่า...เอาสติมาจับแต่ละก้าวที่ก้าวขึ้นบันได
ซึ่งพอทำเช่นนี้แล้วความกลัวก็ค่อยทุเลาและหายไปจากใจ
เมื่อขึ้นสู่ชั้นที่สูงที่สุด เดินดูวิวทิวทัศน์รอบๆ
พระปรางค์
เทวดาอยู่บนพระปรางค์ตากแดดนานเกินไปจนหน้าดำ อิอิ
สายลมเย็นโชยมาเป็นระลอก ความรู้สึกดีๆ
เข้ามาแทนที่ความรู้สึกกลัวเมื่อสักครู่
อืม...ความรู้สึกคนเรานี่ก็ช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียจริง...
ระหว่างที่เดิน ได้ยินเสียงเทศน์มาตามสาย
...พระอาจารย์ที่เทศน์ท่านเทศน์เก่งมากๆ
ระหว่างเทศน์ท่านเล่าติดตลกเรื่องของ ยักษ์วัดแจ้งและวัดโพธิ์ไว้ว่า
มีเด็กนักเรียนมาถามท่านว่า เดี๋ยวนี้มีแต่ข่าวนักเรียนตีกัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง
แต่ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ตีกันในวัดไม่เห็นมีใครว่าอะไร
แล้วก็ถามพระท่านต่อว่า แล้วตกลงยักษ์วัดไหนเป็นอันธพาล
ท่านตอบว่า เอาตามจริงๆ อย่างไม่ลำเอียง ต้องดูว่าตีกันที่วัดไหน
เห็นๆ อยู่ว่าตีกันที่วัดโพธิ์ ก็แสดงว่ายักษ์วัดแจ้งมาหาเรื่องก่อน
(พระอาจารย์ท่านคงมาจากวัดโพธิ์กระมัง ) เล่าไปพลางหัวเราะไป
แล้วท่านก็ว่า แต่อย่าไปถามพระวัดแจ้งนะ เพราะอาจจะได้อีกคำตอบหนึ่ง
555
ตำนานยักษ์วัดแจ้งและยักษ์วัดโพธิ์
ตำนานกำเนิดท่าเตียน
เล่าปากต่อปากกันมาว่าบริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้นเป็นผลจากการต่อสู้ของ
“ยักษ์วัดแจ้ง” กับ
“ยักษ์วัดโพธิ์”
โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ
ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า
ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ
ฝั่งตรงข้ามนั้น
ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง
พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย
เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย
ครั้นเมื่อพระอิศวรได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา
ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน”
เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ในส่วนของยักษ์ประจำวัดโพธิ์
หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียน
ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่าบริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น
เป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ
“ยักษ์วัดโพธิ์”
โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ
ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า
ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ
ฝั่งตรงข้ามนั้น
ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง
พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย
เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย
ครั้นเมื่อพระอิศวรได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา
ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน”
เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเดินชมรอบๆ พระปรางค์ ก็ถึงคราวที่ต้องลง มองดูทางลง
โอ้โห...สูงจัง แต่ขึ้นมาแล้ว ยังไงก็ต้องลง จะไม่ลงก็ไม่ได้
ตัดใจจับราวบันไดแน่นๆ ค่อยๆ ก้าวลงช้า...เออ แฮะ
ไม่น่ากลัวเหมือนกันขึ้น อันที่จริงที่น่ากลัวน่ะ ไม่ใช่ความสูงหรอก
หากแต่เป็นจิตใจและความกลัวในใจของข้าพเจ้าเองต่างหาก
แต่เมื่อใดที่เราเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจแล้ว
มันก็จะหายไปราวกับมาเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ก้าวผ่านไป
สูงอ่ะ...มองลงไปแล้วน่าหวาดเสียว
เมื่อลงจากพระปรางค์แล้ว ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในโบสถ์
หลังจากที่กราบพระแล้วก็มาสะดุดกับภาพวาดเทพบุตรบนบานประตูโบสถ์
เป็นภาพเทพบุตรที่แปลกที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ท่านไว้หนวด
ถืออาวุธสงครามเหมือนเทพเจ้าชาวจีน หากแต่เครื่องทรงเป็นแบบเทวดาไทย
เอ...หรือว่าท่านจะเป็นชาวจีนที่มาอาศัยในประเทศไทย...พอตายไปถึงได้เกิดเป็นเทวดาไทย?
เทวดาที่บานประตูโบสถ์
ข้าพเจ้าเดินชมรอบๆ บริเวณวัดอย่างเพลิดเพลิน กระเบื้องชิ้นเล็กๆ
ถูกเอามาจัดเรียงให้เป็นรูปภาพ เรื่องราวบรรยายความเชื่อ
ความศรัทธา
พระพักตร์พระพุทธรูปท่านดูสงบ งดงาม
ท่านั่งเอกเขนก
ท่าทางสบายเชียว
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้
เป็นหลักฐานถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอดีต
เป็นโบราณสถานที่ปัจจุบันก็ยังคงคุณค่าและความงดงาม...
วัตถุ สถานที่ สิ่งก่อสร้าง
อาจค่อยๆ เสื่อมไปตามกาลเวลา...แต่แก่นแท้ของพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่
เพราะความจริงย่อมเป็นความจริง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม...
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
^v^