1/2 day @ วัดอรุณ


 

"วัดอรุณ" เป็นวัดที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันว่าอยากมีโอกาสไปเยือนสักครั้งตั้งแต่สมัยยังเด็ก ตอนนั้นในหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา มีรูปพระปรางค์วัดอรุณตั้งเด่นตระหง่านอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา  และแล้วในที่สุดเมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง (ที่ว่าฤกษ์งามยามดีก็เพราะเป็นวันที่ข้าพเจ้ามีเวลาว่างครึ่งวัน) ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปยลโฉมพระปรางค์ในความทรงจำ....

 

 

 หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ (ข้าพเจ้าถือคติว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อิอิ) ข้าพเจ้าและเพื่อนเดินทางไปกราบพระนอนที่วัดโพก่อน แล้วจึงเดินข้ามถนนไปยังท่าเตียน จากนั้นนั่งเรือข้ามฟากไปยังวัดอรุณ ซึ่งเป็นสถานที่เป้าหมาย...ไม่ว่าคู่มือท่องเที่ยวเล่มไหน ข้าพเจ้าเห็นวัดอรุณอยู่ในรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเสมอ จึงไม่แปลกที่จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายเดินกันขวักไขว่ภายในบริเวณวัด (แต่ก็ยังน้อยกว่าวัดโพ)
  

 

 

เมื่อไปถึงภายในบริเวณวัด ข้าพเจ้าถึงกับต้องแหงนหน้าดูความยิ่งใหญ่อลังการของพระปรางค์ที่อยู่เบื้องหน้า แลขึ้นไปเห็นคนตัวเล็กๆ อยู่ลิบๆบนพระปรางค์ แสดงว่าต้องมีบันได้ขึ้นแน่ๆ และแล้วก็ไม่รอช้า ข้าพเจ้ารีบเดินผ่าเปลวแดดไปยังบันไดทางขึ้นพระปรางค์ทันที แต่เมื่อเห็นทางขึ้นข้าพเจ้าต้องหยุดฝีเท้า ยืนชั่งใจอยู่สักครู่ เพราะบันใดขึ้นพระปรางค์ชันมากจนข้าพเจ้านึกหวั่นใจ ปกติแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่คนกลัวความสูง...เอาน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว คนอื่นเค้ายังขึ้นกันได้ ทำไมเราจะขึ้นไม่ได้ ว่าแล้วก็สูดหายใจแรงๆ พร้อมทั้งก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ
 

 

     
 แม้ว่าท่านจะแขนขาด แต่ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ
 
จะว่าไป...ตอนขึ้นบันไดนี่ น่ากลัวตรงที่ความคิดตัวเองนี่แหล่ะ...คิดว่า เอ...จะมีคนเคยตกบันไดมั้ยนะ? ถ้าตกลงไปจะเป็นยังไงน้อ? คิดไป คิดมา ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย สรุปแล้วเลิกคิดดีกว่า...เอาสติมาจับแต่ละก้าวที่ก้าวขึ้นบันได ซึ่งพอทำเช่นนี้แล้วความกลัวก็ค่อยทุเลาและหายไปจากใจ
 

 

 
 
 
เมื่อขึ้นสู่ชั้นที่สูงที่สุด เดินดูวิวทิวทัศน์รอบๆ พระปรางค์
  

เทวดาอยู่บนพระปรางค์ตากแดดนานเกินไปจนหน้าดำ อิอิ

 

สายลมเย็นโชยมาเป็นระลอก ความรู้สึกดีๆ เข้ามาแทนที่ความรู้สึกกลัวเมื่อสักครู่ อืม...ความรู้สึกคนเรานี่ก็ช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียจริง...
 
ระหว่างที่เดิน ได้ยินเสียงเทศน์มาตามสาย ...พระอาจารย์ที่เทศน์ท่านเทศน์เก่งมากๆ ระหว่างเทศน์ท่านเล่าติดตลกเรื่องของ ยักษ์วัดแจ้งและวัดโพธิ์ไว้ว่า มีเด็กนักเรียนมาถามท่านว่า เดี๋ยวนี้มีแต่ข่าวนักเรียนตีกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ตีกันในวัดไม่เห็นมีใครว่าอะไร แล้วก็ถามพระท่านต่อว่า แล้วตกลงยักษ์วัดไหนเป็นอันธพาล  ท่านตอบว่า เอาตามจริงๆ อย่างไม่ลำเอียง ต้องดูว่าตีกันที่วัดไหน เห็นๆ อยู่ว่าตีกันที่วัดโพธิ์ ก็แสดงว่ายักษ์วัดแจ้งมาหาเรื่องก่อน (พระอาจารย์ท่านคงมาจากวัดโพธิ์กระมัง ) เล่าไปพลางหัวเราะไป แล้วท่านก็ว่า แต่อย่าไปถามพระวัดแจ้งนะ เพราะอาจจะได้อีกคำตอบหนึ่ง 555
 

ตำนานยักษ์วัดแจ้งและยักษ์วัดโพธิ์

 

  

 

ตำนานกำเนิดท่าเตียน เล่าปากต่อปากกันมาว่าบริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้นเป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์”
โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ

ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้น
ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง
พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย

ครั้นเมื่อพระอิศวรได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา

ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน” เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้


ในส่วนของยักษ์ประจำวัดโพธิ์ หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียน
ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่าบริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น
เป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์”
โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ

ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้น
ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง
พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย

ครั้นเมื่อพระอิศวรได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา

ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน” เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้


 
เมื่อเดินชมรอบๆ พระปรางค์ ก็ถึงคราวที่ต้องลง มองดูทางลง โอ้โห...สูงจัง แต่ขึ้นมาแล้ว ยังไงก็ต้องลง จะไม่ลงก็ไม่ได้ ตัดใจจับราวบันไดแน่นๆ ค่อยๆ ก้าวลงช้า...เออ แฮะ ไม่น่ากลัวเหมือนกันขึ้น อันที่จริงที่น่ากลัวน่ะ ไม่ใช่ความสูงหรอก หากแต่เป็นจิตใจและความกลัวในใจของข้าพเจ้าเองต่างหาก แต่เมื่อใดที่เราเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจแล้ว มันก็จะหายไปราวกับมาเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ก้าวผ่านไป
 
 

  สูงอ่ะ...มองลงไปแล้วน่าหวาดเสียว
เมื่อลงจากพระปรางค์แล้ว ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในโบสถ์ หลังจากที่กราบพระแล้วก็มาสะดุดกับภาพวาดเทพบุตรบนบานประตูโบสถ์ เป็นภาพเทพบุตรที่แปลกที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ท่านไว้หนวด ถืออาวุธสงครามเหมือนเทพเจ้าชาวจีน หากแต่เครื่องทรงเป็นแบบเทวดาไทย เอ...หรือว่าท่านจะเป็นชาวจีนที่มาอาศัยในประเทศไทย...พอตายไปถึงได้เกิดเป็นเทวดาไทย?

 

   เทวดาที่บานประตูโบสถ์
ข้าพเจ้าเดินชมรอบๆ บริเวณวัดอย่างเพลิดเพลิน กระเบื้องชิ้นเล็กๆ ถูกเอามาจัดเรียงให้เป็นรูปภาพ เรื่องราวบรรยายความเชื่อ ความศรัทธา

 

       

พระพักตร์พระพุทธรูปท่านดูสงบ งดงาม

 

 

 ท่านั่งเอกเขนก ท่าทางสบายเชียว

 

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เป็นหลักฐานถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอดีต เป็นโบราณสถานที่ปัจจุบันก็ยังคงคุณค่าและความงดงาม... 
 
 

วัตถุ สถานที่ สิ่งก่อสร้าง อาจค่อยๆ เสื่อมไปตามกาลเวลา...แต่แก่นแท้ของพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ เพราะความจริงย่อมเป็นความจริง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม...

  ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ^v^

 

หมายเลขบันทึก: 391713เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2010 23:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (27)

มาพิศเพลินเดินชมวัด ชอบลายกระเบื้องหินประดับจากเมืองจีน ช่างสมัยโบราณฝีมือวิจิตรมากๆ

แน่ะ แอบมีเล่นมุขกับเทวดาหน้าดำอีก ระวังแอบไปฝันนะคะ อิ อิ น้องแมวหน้าดุจัง และสุดท้าย เวลาไปวัด ชอบจับภาพดอกไม้สัญลักษณ์ สาละ ขอบคุณบันทึกสาระดีๆ นี้ค่ะ

Ico32 สวัสดีค่ะพี่ปู

ดาวเองก็เพลิดเพลินในการเดินชมวัดค่ะ...แต่ว่าวันที่ไปค่อนข้างเพลีย...นอนไม่พอ เพราะคืนก่อนหน้านั้นอยู่เวรค่ะ กลับมาจากวัดนอนสลบเป็นตายเลย

ปล. น้องแมวทำหน้าตา ประมาณว่า....อย่ามายุ่งกะชั้น!!! 555

มาชมความงามของศิลปกรรมล้ำค่าของวัดค่ะ

ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่แบ่งปันค่ะ

แวะมาชมวัดตามรอยดาวเนาะ

ธรรมฐิตอยู่กทม.มาเกือบสิบปีก็ไม่เคยแวะเข้าวัดอรุณเลย..ได้แต่นั่งเรือผ่าน..

กะว่าไปธุระกทม.คราวหน้าจะแวะไปสักครั้ง..

  • น้องดาวภาพสวยมากเลย
  • สงสารเทวดาหน้าดำ
  • ตอนเด็กๆไปเที่ยวมาที่นี่ตื่นเต้นมากเนื่องจากมาตอบคำถามพระพุทธศาสนา
  • แบบว่าเป็นเด็กบ้านนอกไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ
  • ดอกสาละสวยดีเนอะ

Ico32 สวัสดีค่ะ KRUDALA

เรื่องราวดีๆ มีไว้แบ่งปันค่ะ....^^

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

Ico32 กราบนมัสการท่านธรรมฐิตเจ้าค่ะ

ดาวก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปวัดอรุณ หลังจากที่ได้แต่นั่งรถ นั่งเรือผ่านไปมาหลายครั้งแล้วเจ้าค่ะ

มา กทม.ทั้งที ต้องไปเรียนรู้สถานที่สำคัญของ กทม.ซักหน่อย อิอิ

Ico32 สวัสดีค่ะพี่แอ๊ด

ถ้าพี่แอ๊ดสงสารเทวดา คราวหน้ามีโอกาสไปวัด อาจจะต้องซื้อครีมกันแดดไปถวายท่านเจ้าค่ะ (เอ...ล้อเล่นกะเทวดาจะบาปมั้ยเนี่ย?)

ปล. ดาวชอบดอกสาละมากๆ สวยเหมือนดอกบัวบนดินเลย...^v^

พี่ไปเยือนมาแล้วทั้งวัดโพธิ์ฯและวัดอรุณฯ ..ประทับใจมากเช่นเดียวกับน้องดาว..ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ..

 

สวัสดีค่ะหมอดาว

มาเยือนวัดด้วยคนค่ะสงบ..งดงามจริงๆค่ะ..และวันนี้มาชวนไปเที่ยวตลาดโก้งโค้งค่ะ...ที่http://gotoknow.org/blog/0815444794/392287?page=1

Ico32 สวัสดีค่ะพี่ใหญ่...

แต่ละวัดก็มีลักษณะ ศิลปะ เฉพาะตัวให้เราได้ชื่นชมความงาม ไปกี่ครั้งก็ประทับใจค่ะ 

ขอบคุณสำหรับสาวน้อยและช่อดอกไม้สวยๆ นะคะ ;-)

Ico32 สวัสดีค่ะพี่กระแต

ดาวเคยไปตลาดโก้งโค้งตอนไปวัดที่อยุธยาค่ะ...อยู่ทางผ่านพอดี เลยแวะไปชมซะหน่อย ชื่อเค้าแปลกๆ ดี ^o^

ถึงจะเคยไปแล้ว แต่ก็จะตามพี่กระแตไปเที่ยวอีก อิอิ

สวัสดีครับคุณหมอดาว

ไปอยุธยาคราวนี้ได้ไปมากกว่า เก้า วัด แต่ไม่ได้เก็บภาพ เพราะเป็นเจ้าภาพ จัดงาน คอยอำนวยการความสะดวกครับหมอ

Ico32 คารวะท่านวอญ่าค่ะ

แหม...น่าเสียดายจัง อดชมความงดงามของวัดที่อยุธยาเลย

ไม่เป็นไรค่ะ...ไว้ดาวหาโอกาสไปอยุธยาอีก

จะเก็บภาพงามๆ มาฝากเอง อิอิ

สวัสดีค่ะ

ตามมาเที่ยวด้วย

สวยจังค่ะ

เห็นภาพบันไดแล้วคิดถึงตอนไปอยุธยาค่ะ ขึ้นบนพระปราง (วัดอะไรจำไม่ได้แล้ว) ตอนขึ้นไม่เท่าไหร่ พอจะลง ใจหายเหมือนน้องดาวว่าเลยค่ะ

แต่..... อย่างน้องดาวว่าอีกนั่นแหละ ขึ้นแล้วก็ต้องลง

เลยกำหนดสติอยู่กับลมหายใจ มองบันไดทีละขั้น (มองไกลกว่านั้นกลัวหวิวค่ะ) เลยก้าวลงได้อย่างปกติ

เลยได้อีกประโยชน์ของการกำหนดลมค่ะ

Ico32 สวัสดีค่ะพี่ตุ๊กตา

ไปวัดครั้งนี้ ดาวก็ได้เรียนรู้ประโยชน์ของการกำหนดสติอีกอย่างค่ะ...

ว่าช่วยให้หายกลัวความสูงได้ด้วย ^v^

  • เก็บได้ละเอียดละออ เหลือเกิน
  • ตัดใจจับราวบันไดแน่นๆ ค่อยๆ ก้าวลงช้า.
  • เห็นไหม...ไปเที่ยว.. ไม่ชวนกัน ก็เป็นอย่างนี้แหละ

Ico32 สวัสดีค่ะคุณสามสัก

ก็แหม ใครจะกล้าชวนคุณสามสักไปเที่ยวละคะ

อ่านจากในบันทึก ดูเหมือนว่าจะกลัวความสูง เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป...

ยุ่งเลย เดี๋ยวดาวต้องรับผิดชอบในฐานะคนชวนอีก ไม่เอาดีกว่า 555

ภาพสวย

เข้าใจหามุมแปลกๆถ่าย

Ico32 สวัสดีค่ะคุณ moo moo teng

สิ่งๆ หนึ่ง ล้วนมีหลากหลายมุมมองให้เราเลือกมอง ขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะเลือกมองมุมไหน ^_^

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนบันทึกนะคะ

ไปดูคอนเสริ์ทกับพี่หนานเกียรตินะครับ ถ้าว่าง

สวัสดีค่ะ

แวะมาถามบอกว่า "ไปชมคอนเสิร์ต" เผื่อบ้างนะ  มาไม่ทันรู้ช้าไปค่ะ

แปลว่า อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ไปด้วยนะสิ

แหะๆๆ พี่แอ๊ด พี่คิมคะ...ดาวไม่ได้ไปอ่ะค่ะ ติดธุระ...เสียดายจัง เลยไม่ได้ชมคอนเสิร์ตเผื่อพี่คิมเลย

สวยจังเลยค่ะ...วัดอรุณ

บี๋เองเคยอยู่กรุงเทพแต่ไม่เคยไปเที่ยวแบบเจาะลึกแบบนี้เลยค่ะ เพิ่งทราบว่าสถาปัตยกรรมเมื่อมองใกล้ๆแล้วสวยมาก มีรายละเอียดเยอะมากนะคะ

บี๋ชอบมองวัดอรุณมากโดยเฉพาะตอนเย็นๆที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน และบรรยากาศตอนมืดด่ำที่สวยงามด้วยแสงไฟค่ะ ^^

ขอบคุณคุณดาวนะคะ...ที่นำมาเขียนบรรทึก ทำให้บี๋ได้เห็นวัดอีกมุมหนึ่งค่ะ :-))

Ico32 สวัสดีค่ะคุณบี๋

ตอนแรกดาวก็เห็นวัดไกลๆ ค่ะ...บรรยากาศของวัดอรุณตอนกลางคืนที่มีแสงไฟสวยมากๆ ทำให้ดาวอยากเข้าไปชมว่าในวัดจริงๆ เป็นเช่นไร

เป็นอีกมุมที่แตกต่าง แต่ทว่ายังสวยงามค่ะ ^v^

มาชื่นชมบันทึกนี้ดีหนักหนา

ด้วยศรัทธาในคุณค่ามรดก

ศิลปเคียงคู่ธรรมค้ำจุนโลก              

นับเป็นโชคที่เกิดมาในแผ่นดิน

Ico32 สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับบทกลอนเพราะๆ ความหมายดี และภาพสวยๆ ที่นำมาฝากนะคะ

เราเกิดมาเป็นคนไทย ควรที่จะชื่นชมความงามของศิลปะไทยและช่วยกันรักษาไว้...ศิลปะประดับโลก ส่วนธรรมะประดับใจค่ะ ^v^

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท