พี่ชอบเรื่องนี้มากมาย
เนื่้อเรื่องน่าติดตาม จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การกล้าตั้งคำถามของ เอมมี่
พี่ว่ามันคล้ายๆการคิดแบบ Double Loop ถ้าเปรียบเทียบกันการ์ตูนในเรื่อง
Loop แรกก็คือการที่พวกหนูเลมมิงกระโดดลงหน้าผ่านั้นละครับ เปรียบได้กับการทำตามผู้ชำนาญ หรือวัฒนธรรมเดิมๆ ที่มีความเชื่อว่ามันดีอยู่แล้ว ซึ่งกระบวนการทางความคิดของคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Single Loop แบบนี้ละครับ จึงได้เกิดสุภาษิตไทยที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม"
แต่ในหลายๆครั้ง ถ้าเรากล้าที่จะตั้งคำถาม หรือทดลองสิ่งเหมือนๆ มันก็จะเกิดการเรียนรู้แบบ Double Loop ขึ้นครับ เปรียบได้กับ การที่ เอมมี่ สงสัยว่า ทำไมเราต้องกระโดด จนในที่สุดก็ค้นพบแนวทางใหม่ที่เปลี่ยนองค์กรไปในทางที่ดีขึ้น (มีหนูเลมมิงจำนวนมากที่เลิกกระโดดน่าผา) ซึ่งในสังคมไทยเรื่องแบบนี้ในหลายๆองค์กรกลายเป็นเรื่องตลกไปซะงั้น การที่ทำอะไรแปลกแหวกแนว กลายเป็นสิ่งที่ถูกต่อต้าน เพียงแค่เรา "คิดต่าง" จากมุมมองเดิมๆ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ในหลายๆองค์กรมันเลยไม่ไปไหนกัน เพราะต้องรอการพิสูจน์ก่อนว่าวิธีนั้นใช้แล้วได้ผลจากองค์กรอื่นๆ แล้วถึงทำตาม (มันก็ไม่ต่างอะไรจากการเลียนแบบละครับ) ซึ่งท้ายที่สุดเราก็จะกลายเป็นผู้ตามตลอดไป
ดังนั้นพี่คิดว่า การมองอะไรแบบ Double Loop บ้าง มันจะทำให้เราสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้+กับความกล้าที่จะลองทำอะไรหลุดกรอบบ้าง ก็จะทำให้เราสามารถสร้างความได้เปรียบทางการตลาดให้กับธุรกิจของเราได้ดีเลยทีเดียว ^^
สุดยอดพี่เอริท !!!
โหย เขียนได้แบบเคลียร์มาก +10 เลยค่ะ ^^
นี่ๆยังมีสำนวนไทยที่แบบ Single loop อีกอัน "เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด" ด้วยค่ะ hehehe
ยังมีหนังสืออื่นอีก 4 เล่ม ในชุดวินัย 5 ประการ สำหรับองค์กรแห่งการเรียนรู้ (ฉบับนิทาน) นะคะ
หนังสือชุดนี้ให้ข้อคิดจากนิทานที่สนุกมากๆ (ยืนยัน) และให้ความรู้ด้วยค่ะ