24 ตุลาคม 2549 ผ่านมาแล้วเกือบสองเดือน ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีมงคลสมรสของหนุ่มสาวชาวกะเหรี่ยงคู่หนึ่ง ทั้งสองเป็นชาวหมู่บ้านเมืองแพม ตัวสาวเจ้าไปเรียนจบปริญญาตรีที่กรุงเทพ ส่วนชายหนุ่มพอจบมอหก ก็ทำนาทำไร่ รับจ้างทำมาหากินอยู่ที่หมู่บ้าน
จะว่าไปก็หาตัวอย่างที่หญิงสาวชาวเขาที่มีสถานะการศึกษาสูงแล้วกลับมาแต่งงานกับชายหนุ่มในหมู่บ้านเกิดของตัวเองอย่างนี้ไม่ใคร่จะบ่อยนัก โดยมากจะมีแต่ไปพบรักกับคนในเมือง หรือแต่งงานกันตามแบบอย่างคนในเมืองมากกว่า ที่ร้ายกว่านั้น คือไปเสียผู้เสียคนก็เยอะ
แม้จะเคยเป็นครูดอยสอนในหมู่บ้านกะเหรี่ยงชายแดนที่เชียงใหม่มาเมื่อหลายปีก่อน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานของชาวกะเหรี่ยง ก็เลยนำมาบันทึกไว้
ผมชวนเยาวชนไทยพื้นราบ ไทใหญ่และลีซูในทีมวิจัยอีกกลุ่มชาติพันธุ์ละ 1 คนไปด้วย เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจและใกล้ชิดชุมชนต่างเผ่าต่างกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น แล้วกลับมาถ่ายทอดแก่เพื่อนๆในวันข้างหน้า
งานจัดขึ้น อย่างเรียบง่าย ตามธรรมเนียมของชาวกะเหรี่ยง โดยจัดพิธีที่บ้านเจ้าสาว ช่วงเช้า ก็จะเป็นการหุงหาอาหารเตรียมไว้ต้อนรับแขก รวมถึงเตรียมเหล้ายาปลาปิ้ง
บรรยากาศการเตรียมอาหารใต้ถุนบ้านเจ้าสาว
ใกล้เที่ยง ผู้เฒ่าผู้แก่จะเดินทางมาที่บ้านเจ้าสาว มาสวดมนต์อวยพรเพื่อเป็นศิริมงคลบนเรือนเจ้าสาว จากนั้นก็รับประทานอาหารร่วมกัน ตอนเที่ยงก็นำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูแขกที่ทยอยกันมา
ในส่วนอาหารที่ผมประทับใจไม่ใช่เหล้าขาวที่ชาวบ้านต้มเองหรอกครับ อันที่จริงรสชาติสุราก็ไม่เลว แต่ชอบใจที่ใช้ข้าวไร่หุงใส่ใบตองแล้วมัดด้วยตอก ประหยัด เรียบง่ายมากกว่า
อาหารสำหรับแขกเหรื่องานเลี้ยงจัดขึ้นทั้งสองบ้านครับ คือทั้งที่บ้านเจ้าบ่าวและบ้านเจ้าสาว พอบ่ายกว่าๆ เจ้าบ่าวพร้อมขบวนญาติๆก็เดินทางมาถึงบ้านเจ้าสาว ในขบวนก็จะมีการร้องรำทำเพลงครึกครื้นครับ พอเจ้าบ่าวมาถึง เจ้าสาวก็จะลงจากเรือนมาต้อนรับ และตักน้ำมาล้างเท้าให้เจ้าบ่าว แล้วเชิญขึ้นเรือน
เจ้าสาวกำลังบรรจงตักน้ำล้างเท้าเจ้าบ่าวก่อนขึ้นเรือนหอจากนั้นก็จะเริ่มพิธีผูกข้อมือ (มัดมือ) โดยเรียงลำดับตามความอาวุโส การผูกข้อมือในงานแต่งงานของกะเหรี่ยงที่นี่ต่างจากไทใหญ่ครับ คือคือจะมัดเจ้าบ่าวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวอีกหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งจะเหลือด้ายขาว (แบบเดียวที่ใช้ทำสายสิญจน์) จากการมัดมือ เอาไปพาดบนบ่าของเจ้าบ่าว/เจ้าสาว แต่ของไทใหญ่นี่ เอาข้อมือเจ้าบ่าวเจ้าสาวมัดติดกัน ไม่เหลือด้ายขาวไว้
พิธีเสร็จประมาณบ่ายสี่โมง ผมก็พาเด็กๆที่มาเยี่ยมชมงานด้วยกันกลับ ผมไมได้คาดหวังอะไรกับเด็กๆมาก ให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างธรรมชาติและเสรี เพียงแค่เด็กๆได้มาซึมซับคุณค่าวัฒนธรรมต่างกลุ่มที่อยู่พื้นที่ ที่ยังเป็นสิ่งดีงามอันหลงเหลืออยู่ก็เพียงพอแล้ว
แขกเหรื่อกำลังผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาวชาวกะเหรี่ยง
ก่อนกลับผมบอกพวกเขาว่า นี่เป็นความรู้นอกห้องเรียน เป็นการเรียนจากเหตุการณ์จริงซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ซึ่งอีกหน่อยเมื่อพวกเขาและเธอเติบโตขึ้น การศึกษาในระบบมัธยมปลายก็อาจจะนำพวกเขาและเธอห่างจากวัฒนธรรมพื้นถิ่นออกไปเรื่อยๆ ผมอยากให้ช่วยกันจดจำไว้
รายละเอียดปลีกย่อยของงานก็มีมากกว่านี้ครับ แต่ผมไม่ชัดเจนเอง คือไม่ได้ไต่ถามให้แน่ชัด นำมาลงเดี๋ยวจะบิดเบือน ก็เลยละไว้ดีกว่า
เห็นหนุ่มสาวกะเหรี่ยงเขาแต่งงานก็ชื่นใจ ทำให้นึกถึงงานแต่งงานแบบไทใหญ่ของตัวเอง คิดว่าวันหน้ามีโอกาส จะนำมาบันทึกเหมือนกัน ใครจะเอาส่วนดีของพิธีแต่งงานแบบนี้ไปประยุกต์ใช้บ้าง ก็ไม่ว่า
โดยเฉพาะความเรียบง่ายและอบอุ่นครับ
เพิ่งไปนอนที่หมูบ้าน ปาเกอะญอ ตรงดอยตุง กม. 26 ไม่ทราบเผ่าเดียวกันหรือเปล่าครับ? ชอบวัฒนธรรมชาวเขามากครับ เค้ารักษาวัฒนธรรมได้ดี (ผิดกับคนเมือง)
ขอบคุณครับคุณขจิตที่ติดตามอ่านและให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้คำว่า "ปาเกอะญอ" และ "ปกาเกอะญอ"
อันนี้ผมสะกดตามคำเรียกตัวเองของพวกเขาครับ นักวิชาการชอบเขียนว่า "ปกาเกอะญอ" หรือ "ปกากะญอ" บ้าง ซึ่งคนไทยพื้นราบมักจะอ่านกันว่า "ปะ-กา-เกอะ(กะ)-ญอ" แต่จากที่ผมสัมผัสมา ชาวกะเหรี่ยงเขาจะพูดว่า "ป๊าก-กะ-ญอ" (ยอ นี่ออกเสียงเหมือน ย.ยักษ์แต่มีเสียงขึ้นจมูกเป็น ญอ)
เมื่อพวกเขา (หมายถึงกะเหรี่ยงที่แม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่) เรียกตัวเองว่า ป๊าก-เกอะ(กะ)-ญอ ผมก็เลยคิดว่า การสะกดว่า "ปาเกอะญอ" อันนี้น่าจะใกล้เคียงมากกว่า "ปกาเกอะญอ" ครับ
แต่ไม่แน่ว่ากะเหรี่ยงที่อื่นๆก็อาจจะเรียกตัวเองด้วยสำเนียงที่ต่างกันออกไปบ้าง และมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อันนี้เป็นธรรมดาของภาษาครับ หาจุดลงตัวยาก ว่าอันไหนของแท้ ก็เลยมาลงเอยว่าให้ดูบริบทเชิงพื้นที่เป็นสำคัญ ชาวบ้านเรียกอย่างไรก็ถือตามนั้น แต่ให้วงเล็บไว้ด้วยว่าโดยทั่วไปเขาใช้ว่าอย่างไร
เหมือนคำว่า "ลีซอ" เป็นคำที่นักวิชาการกระแสหลักก็ดี ราชการก็ดี คนไทยพื้นราบก็ดีใช้เรียกชาวเขาอีกกลุ่มหนึ่ง แต่จริงๆเจ้าของอัตลักษณ์เขาเรียกตัวเองว่า "ลีซู"
เวลาเขียนงานวิจัย ก็จะมีวงเล็บต่อท้ายเช่น "การวิจัยเพื่อศึกษาการปรับตัวของวัยรุ่นหญิงลีซู (ลีซอ) ต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยม" เป็นต้น
ในทางสาขามานุษยวิทยา จะนิยมใช้ชื่อเรียกที่สะกดใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาเป็นหลักครับ
ก็เลยเป็นที่มาของการที่ผมนิยมใช้คำว่า "ปาเกอะญอ" แทน "ปกาเกอะญอ" และ "ลีซู" แทน "ลีซอ" ฉะนี้
เป็นคำถามที่ดีมากครับคุณแว้บ
อากาศที่ปางมะผ้าที่ หนาวเข้ากระดูกจริงๆ ตอนนี้ตีหนึ่ง ผมยังต้องใส่ถุงมือผ้าพิมพ์ตอบคุณเลย หนาวมากครับ พิมพ์ตอบคุณแล้วผมคงขอตัวไปนอนละครับ
ปาเกอะญอที่นี่ยังคงรักษา "ป่าเดปอ" หรือป่าสะดือ ที่เอารกเด็กไปใส่กระบอกไม้ไผ่ผูกกับต้นไม้อยู่ครับ แต่ปัจจุบัน รกเด็กไม่มีให้ผูกต่อแล้ว เพราะไปทำคลอดที่โรงพยาบาลกันหมด
จะบอกหมอขอเอารกกลับบ้านไปทำพิธีก็คงลำบาก
จะเอารกไปผูกที่โรงพยาบาลก็ไช่ที่
ส่วนงานแต่งงานที่ผมเข้าร่วมเค้าสอดแทรกความหมายอะไรบ้างนั้น ส่วนตัวผมสะท้อนมุมมองของ outsider คือคนนอก ย้ำนะครับว่าผมเป็นคนนอกวัฒนธรรมของเขา มีข้อจำกัดเยอะแยะ ต่อให้จบปริญญาเอกมาสักโหลแต่จะอธิบายให้เข้าถึงจริงๆมันเป็นไปไม่ได้เลย อาจทำได้แค่ "ถอดรหัสวัฒนธรรมหรือวิธีคิด" บางแง่มุมเท่านั้น
ผมมองว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นการผลิตซ้ำหรือตอกย้ำหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิ สำนึกร่วมของความเป็นชาติพันธุ์ปาเกอะญอ , ความเป็นเครือญาติ, บทบาททางเพศสภาวะ (gender) ของหญิงและชาย ดูได้จากการแต่งกายก็ดี , ขั้นตอนต่างๆของพิธีการก็ดี
ในขณะเดียวกัน พิธีแต่งงานก็เป็นการสร้างความหมายในเชิงตอบโต้หรือเชิงรุกได้ด้วย เช่น มีการเชิญผู้นำทางการเมืองระดับท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยเข้ามาผนวกเป็นส่วนหนึ่งของงาน
การที่เจ้าสาวซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากในเมืองแต่กลับมาแต่งงานกับคนจนในหมู่บ้านที่หาเช้ากินค่ำก็สะท้อนความหมายบางอย่างที่ตอบโต้กับวิธีคิดแบบทุนนิยม
ผมไม่คิดว่าเด็กวัยรุ่นทั้งในชุมชนปาเกอะญอก็ดี และเด็กๆที่มากับผมในวันงานก็ดีจะเห็นความหมายที่แฝงเร้นเหล่านี้ และผมคิดว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ใช่นักวิชาการ
เด็กและเยาวชนอย่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดแบบนักวิชาการครับ และพวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดแบบ "นัก" อะไรต่อมิอะไร หรือคิดตามที่ผู้ใหญ่ชี้นำหรือยัดเยียดกันอย่างทุกวันนี้
สิ่งสำคัญมากกว่าคือเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเสมือนเครื่องมือที่พวกเขาสามารถคิดหาความหมายเองได้ เป็นเจ้าของความคิดของตัวเอง อย่างภาคภูมิใจ ในความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง และแตกต่างไปตามประสบการณ์ของตน
แล้ววันข้างหน้า พวกเขาก็จะกล้าที่จะคิดและรับผิดชอบความคิดตลอดจนการกระทำของตน
ขอบคุณคุณแว้บ ที่ "แว้บ" เข้ามา แล้วมา "แว้บ" อีกนะครับ
คุณวิสุทธิ์ครับ
ขอบคุณมากครับ กระจ่างแจ้งเลย
ที่คุณบอกว่า เด็กและเยาวชนไม่จำเป็นต้องคิดแบบนักวิชาการ หรือ "นัก" อะไรต่อมิอะไร นี่ ผมชอบมากครับ เห็นด้วยครับว่าในวัยเด็ก จะต้องมีประสบการณ์หลากหลาย ความขัดแย้งของวัฒนธรรมจะทำให้เกิดการเรียนรู้ ตั้งคำถามอย่างน้อยก็กับตัวเขาเอง
ถ้าไม่รู้ตอนนี้ก็ยังสามารถเก็บไปคิด แล้วเข้าใจหรือสร้างความหมายให้เหตุการณ์นั้นๆ ได้ในอนาคต ขอเพียงแต่เขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่านั้นล่ะครับ
แล้วจะแวะเข้ามาเรื่อยๆ ครับ
ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีนะคะ
หนูก็เป็นเป็นคนบ้านเมืองแพมนะคะแต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพิธีกรรมอะไรมากมายนัก
คือไม่ค่อยได้อยู่บ้านค่ะตอนนี้ก็เรียนหนังสืออยู่ นานๆทีถึงจะได้กลับบ้าน
ทุกวันนี้หนูคิดถึงบ้านมาก หนูเพิ่งรู้นะคะว่ามีคนที่สนใจเรื่องราวของหมู่บ้านเมืองแพม
และชนเผ่าปาเก่อญอ ทำให้หนูมีกำลังขึ้นมากที่รู้ว่ายังมีคนที่สนใจเราอยู่ต้องขอขอบคุณ
นะคะนึกว่าจะมีแต่คนดูถูกพวกเราซะอีก ช่วงนี้ก็สอบแล้วปิดเทอมนี้หนูจะได้กลับบ้าน
แล้วค่ะ แล้วจะมาเล่าฟังใหม่นะคะว่าที่บ้านเมืองแพมมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ขอบคุณนะคะที่ยังมองเห็นพวกเรา
สวัสดีครับ สาวน้อยบ้านเมืองแพม
ไม่เสียชื่อคนเมืองแพมนะครับที่ยังมีใจรักบ้านเกิดอยู่ ปิดเทอมนี้ ดีใจด้วยที่หนูจะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตอนนี้ทางสโมสรเยาวชนที่ปางมะผ้าก็กำลังฟื้นฟูการละเล่นและนิทานพื้นบ้านเผ่าต่างๆอยู่ ถ้าปิดเทอมหนูว่างก็แวะมาเยี่ยมกันได้ที่สโมสรผู้นำเยาวชน (สยชช.) บ้านสบป่องนะครับ โทร. 086-9169486, 053-617128 ครับ
สวัสดีค่ะ แล้วหนูจะไปเยี่ยมนะคะใกล้ๆแค่นี้เอง
แล้วถ้าจะขอเป็นสมาชิกสโมสรอีกสักคนจะได้ไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
สวัสดีครับ น้องสาวน้อยบ้านเมืองแพม
ผมเคยไปงานแต่งงานลูกศิษย์ปกากะญออยู่ครั้งนึงครับ ได้ไปอ่อเม-อ่อซิ (กินข้าว-กินเหล้า) ในงานครับ ส่วนพิธีได้ดูแป๊บเดียวเพราะหมู่คณะที่เดินทางไปด้วยกันต้องเดินทางกลับครับ
ชาวปาเกอะญอ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พะตี่ที่นั่น น่าทึ่งมาก พวกท่านต่างมีความรู้กว้างขวาง เทียบได้ว่าสามารถเป็นอาจารย์สอนในมหาลัยได้เลย
หวัดดีครับ อ.จีรัง -ถ้าจะให้ดี ไปเยี่ยมหมู่บ้านทั้งทีต้องไปนอนสักคืนสองคืน จะได้บรรยากาศการเรียนรู้อีกเยอะทีเดียวครับ
คุณบอกกล่าวครับ - ผมก็เห็นด้วยนะครับ คนจนๆเหล่านี้ล้วนมีสิ่งดีๆมากมายให้เราได้ศึกษาครับ
สวัสดี
คิดถึงผู้คนบนดอยค่ะ
คือ จริงๆ แล้วคิดว่าคำว่า กะเหรี่ยง น่าจะเขียนคำว่า ปกา เก่อ ญอ มากกว่า
ปาเกอะญอ หรือปกาเกอะญอ ถ้าแปลเป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า คนขี้เกียจง่าย
เกอะ แปลว่า ขี้เกียจ
หญอ /ญอ แล้วแต่จะเขียน แปลว่า ง่าย
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ แล้วแต่ว่าแต่ละพื้นที่เขาจะเรียกยังไง
แต่ถ้าเป็นภาษาเขียนก็น่าจะไม่มีปัญหา ลองศึกษาดูนะ
อย่าง เก่อ ญอ หมื่อ / เก่อ ญอ ควา มันก็เอามาจาก ปกาเก่อญอ นั่นแหละ
- คนปกาเก่อญอ -
ชอบจังเลยค่ะ ดูเรียบง่ายดี....ขอบคุณนะคะ
มีโอกาสไปจัดงานวันเด็กให้น้องชาวปกาเก่อญอบ้านนากลางในอำเภอแม่แจ่ม ชาวบ้านน่ารักมากมีน้ำใจ ชวนไปกินข้าวบ้านตนเองกัน บางมื้อต้องแวะไป 3 บ้านเพราะเกรงใจพี่ๆเค้าอุตส่าห์ชวน เพื่อนหลายคนคิดว่าไปลำบากแล้วน้ำหนักน่าจะลดลง แต่ไหงกลับกันมีน้ำมีนวลขึ้นทุกเที่ยวที่ไป ครั้งหลังสุดได้พบปะพูดคุยกับปกาเก่อญอรุ่นใหม่กลุ่มนึง เค้าก็มีความรักบ้านเกิดถิ่นฐานของตนอยากกลับมาพัฒนาและสืบสานวัฒนธรรมต่อหลังจากเรียนจบ ดิฉันคนต่างถิ่นได้รับทราบความตั้งใจก็รู้สึกยินดีค่ะ
"ต่อให้จบปริญญาเอกมาสักโหลแต่จะอธิบายให้เข้าถึงจริงๆมันเป็นไปไม่ได้เลย "ผมชอบคำนี้มากอยากบอกให้ลูกหลานปาเกอะญอว่า เราไม่มีแผ่นดินแห่งทอแมป่าเราจะต้องมาสิ้นวัฒนธรรมอีกหรือ
วอเล่อเกค่ะคุณยอดดอย
อัตลักษณ์ของแต่ละชาติพันธุ์ เป็นความงดงามและควรค่าเพื่อศึกษา คนรุ่นใหม่ได้สืบสานอนุรักษ์ไว้ค่ะ
ยังประทับใจน้ำจิตน้ำใจ คนดงดอย พี่น้องปะกากะญอ ค่ะ ต้าบรือๆ
คุณบอโซ่ทูป่าครับ ผมคิดว่า เราไม่ปฏิเสธทรัพยากรดิน นำ ป่า ว่ามีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์นะครับ แต่ทรัพยากรมันไม่เที่ยง
น้ำใจ เป็นน้ำทิพย์อมตะที่ยิ่งให้ยิ่งเพิ่ม
ขอบคุณทั้งสองท่านที่แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หากมีโอกาสแวะเข้ามาเสนอความเห็นกันอีกนะครับ
เป็นการแสดงตัวตนที่ดีมากครับ คำถามคือว่า ป่าคอนกรีตเริ่มเข้ามาใกล้หมู่บ้าน คนรุ่นใหม่จะเดินไปในเส้นทางใด?
ทิ้งท้าย กาลเวลาเปลี่ยน แต่ใจคนไม่เคยเปลี่ยน
ความสุขของคนใช่ว่าจะอยู่ที่วัตถุ แต่มันอยู่ที่..ใจ...มากกว่า ผมเป็นคนปาเกอญอผมอยู่กับป่า กับเขาผมภูมิใจและมองว่าดีด้วยซำมันมีความสุขชีวิตเรียบง่ายไม่ต้องตามกระแสอย่างคนเมือง มีภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง ผมว่าเรามารักษากันไว้นะครับถึงแม้ตอนนี้ผมจะเรียนในกรุง แต่สัญญาว่าเมื่อจบผมจะกลับไปใช้ชีวิตในป่าเขาผมว่ามันมีความสุข พี่คนที่แต่งงานผมว่าน่าจะคิดอย่างผม..
หนูเคยมาบ้านเมืองแพมสองครั้ง รู้สึกรักบ้านเมืองแพมมากๆค่ะ ทุกคนเป็นกันเอง อบอุ่น เหมือนที่บ้านเกิดหนูที่อีสานค่ะ
ถึงน้องชาน ชาติ และลี
ดีใจอะไรกันนักกันหนาต้องบอกคนอื่นๆทำไม ปานคนอื่นเค้าไม่รู้
เป็นคนกรุงเทพค่ะ แต่กำลังจะแต่งงานกับแฟนที่เป็นคนปกาเก่อญอ เขาเป็นคนดีมากค่ะ และมีความสุขมาก ขอบคุณทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่ทำให้ฉันได้พบเจอกับคนที่รักฉัน ยังตื่นเต้นอยู่เลยเพราะไม่รู้เกี่ยวกับงานประเพณีแต่งงานของเขาเลย แต่พอมาอ่านเว็บนี้ได้ความรู้มากเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะ
( หน่อหมื่อครับ ปาเกอญอ แปลว่าคนครับ ไม่ใช่คนขี้เกียจ ขอจงเข้าใจใหม่นะครับ (เราเป็นคนไม่โลภต่างหาก) เรียกคุณยอดดอยนะครับ ขอบคุณมากครับ ผมเห็นด้วยกับเด็กเมืองแพมที่รักบ้านเกิด และไม่ลืมชาติของตัวเอง เป็นพระคุณอย่างยี่งนะครับที่กรุณาทำเวบนี้ขึ้นมา ไม่งั้นผมคงไม่มีพื้นที่ในการสื่อกับใครในโลกที่ไร้พรมแดนอย่างนี้ และขอให้กำลังใจคุณด้วยครับ(ไม่ว่าการกระทุ้ของบางคนเป็นการหยาบคายมาก ฟังชื่อแล้วน่าจะเป็นเพศหญิงด้วย ไม่น่าเลยครับ แต่คนพวกนี้น่าเห็นใจเขานะ) ขอพบกันในกระทู้หน้าอีกนะครับ ขอบคุณครับ พะตี่โซ ปาเกอญอห้วยปูลิง
ผมเพียงเก็บภาพความประทับใจ และต้องการแชร์ส่งดีๆให้สังคมรับรู้ผ่านมุมมองของตนเอง ที่อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้างในสายตาคนอื่น แต่อย่างน้อยสังคมก็ได้รู้จักเรื่องราวในพื้นที่จังหวัดเล็กๆ เรื่องราวคนตัวเล็กๆ ธรรมดาๆมากขึ้น แม้พวกเขาจะไม่หรู ไม่รวย ไม่มีอำนาจวาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีความงดงาม และเป็นความประทับใจแก่คนที่ได้ไปรู้จักพวกเขาจริงๆ ขอบคุณที่ให้กำลังใจครับ
หนูเป็น ปกาเก่อญอ ต.แม่อูคอค่ะ หนูมาเรียนในเมืองเชียงใหม่ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วดีใจมาก เพราะสอบเสร็จแล้วหนูจะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ ไปใช้ชีวิตแบบเรียบๆ บนดอยที่ๆหลายคนอยากกลับไป หนูคิดเช่นนั้น ช่วงที่ผ่านมาประมาณ 7 กว่าปีแล้วที่ได้ไปเล่าเรียนที่อื่น ได้กลับบ้านแค่ช่วงปิดเทอม รู้สึกว่าอยู่ที่อื่นมากว่าอยู่บ้านตนเอง ถ้าพูดถึงเรื่องแต่งาน เป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะปีที่ผ่านมาที่หมู่บ้านมีญาติที่แต่งงานกัน 5 คู่ แต่ไม่ได้กลับไปร่วมสักคู่ ได้ร่วมงานแต่งแบบปกาเก่อญอครั้งสุดท้ายรู้สึกผ่านไป 11 ปีมาแล้ว ตอนนั้นยังเด็กอยู่รู้สึกตื่นเต้นมาก นานๆจะมีสักที ตอนนี้ใครแต่งได้แต่โทรถามแม่ให้เล่าเรื่องให้ฟัง และก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมากที่แม่บอกว่า สมัยนี้งานแต่งค่อนข้างเงียบ เพราะมีแต่คนชราและเด็กเล็กๆ ส่วนวัยรุ่นไปเรียนและไปทำงานที่อื่นกันหมด ทำให้ขาดสีสันไปตั้งเยอะ และงานแต่งนั้นก็ต้องมีตัวแทนวัยรุ่น 2 คน ชายคนหญิงคนจากฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนแบกข้าวของเครื่องใช้หรือสินสอดนำไปให้เจ้าสาว แต่ที่หมู่บ้านเหลือแต่เด็กๆเลยต้องให้เด็กๆแบก ส่วนเรื่องการเรียกชื่อที่หน่อหมื่อบอกนั้นหนูคิดว่าพี่เค้าเรียกถูกแล้ว (ปกาเก่อญอ) ความหมายนั้นหนูก็ไม่แน่ใจ ส่วนพะตี่โซ พี่หน่อหมื่อเขาหมายถึง (เกอะ = ขี้เกียจ) นั่นถูกแล้วเพราะพี่เค้าแย้งให้ฟังว่าเค้าเรียกว่า (ปกาเก่อญอ)เฉยๆ ไม่ใช่ (ปกาเกอะญอ) เกอะ กับ เก่อ เขียนต่างกันนิดเดียว แต่ความหมายต่างกันมาก ส่วน ปกา กับ ปา มีความหมายเดียวกันคือ (คน)
ปกาเก่อญอ หมายถึง คนไม่โลภมาก (ตามความหมายของพะตี่โซ)
ปกาเกอะญอ หมายถึง คนขี้เกียจง่าย (ตามความหมายตรงตัว ซึ่งไม่ใช่ชื่อเรียกขันของชาวกะเรี่ยงขาวที่ถูกต้อง)
สุดท้ายต้องขอขอบคุณครูยอดดอยที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาให้หนูได้ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับประเพณีงานแต่งของเผ่าเราชาวกะเหรี่ยงขาว ขอขอบคุณค่ะ
ต้องปรบมือให้น้องหน่อดาแห่งดอยแม่อูคอที่ยังไม่ลืมคุณค่า ความทรงจำดีๆที่บ้านเกิด ไม่เป็นไรหรอกครับกับการจากบ้าน ทุกคนต่างมีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายถิ่นฐาน เหมือนคนอีสานไปรับจ้างอยู่กรุงเทพก็เยอะ สำคัญที่เราไม่ลืมว่าเราเป็นใครและอย่างน้อยก็มีฝันไว้ว่าจะกลับไปทำอะไรดีงามที่บ้านบ้างก็น่าจะเพียงพอแล้ว
และต้องขอบคุณด้วยครับ ที่ให้ความรู้เรื่องสถานการณ์ชาว “ปกาเก่อญอ” ในหมู่บ้าน (หลงเขียนผิดอยู่นาน) ถ้าเจ้าของวัฒนธรรมไม่ออกมาอธิบาย คนข้างนอกก็จะกลายเป็นทำบาปบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ สิ่งนี้จำเป็นมาก
อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ในเรื่องความรักของชาวปกาเก่อญอสูงขึ้นได้ยินข่าววัยรุ่นท้องในวัยเรียน ข่าวฆ่าตัวตายที่มากขึ้นในกลุ่มปกาเก่อญอแล้วไม่สบายใจ
ล่าสุดที่นักเรียน ม.5 ศึกษาสงเคราะห์ผูกคอตายในโรงเรียน ข่าวว่าน้อยใจแฟน ตั้งคำถามในใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้ เรื่องเหล่านี้มีมากขึ้นในกลุ่มปกาเก่อญอ ไม่รู้คิดอย่างไรกันบ้าง
อนึ่ง น้องๆหรือใครที่สนใจอยากทราบความเคลื่อนไหว ข่าวคราวแม่ฮ่องสอน ในเรื่องลักษณะนี้ น่าจะได้เข้าไปสมัครเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊คนะครับ ที่ www.facebook.com/wisutl
จากนั้น สมัครขอเข้ากลุ่ม “เครือข่ายสื่อสร้างสรรค์ภาคประชาสังคมจังหวัดแม่ฮ่องสอน” จะเป็นอีกช่องทางในการสื่อสารกันได้มากขึ้นครับ
พี่ครับ ผมกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับพิธีแต่งงานของปวาเก่อญอครับ ผมสามารถหาวิจัยที่เกี่ยวของกับพิธีแต่งงานของปวาเก่อญอได้ที่ไหนบ้างครับ ช่วยแนะนำหน่อยครับ
ปกาเกอะญอ ครับ ไม่ใช่ ปวาเก่อญอ
คุณสุทธชัย เรียนหรือทำงานอยู่ที่ไหนล่ะครับ
วิจัยนี่หัวข้ออะไร ส่ง Proposal มาให้อ่านทางอีเมล์ [email protected]
จะได้แนะนำถูกครับ