อ่านเรื่องราวจากเกร็ดต่างแดนในหนังสือพิมพ์มติชน
ว่าด้วยเรื่องวิธีคิดของนายจ้าง ที่ระมัดระวังความสูญเสียแม้ในเรื่องเวลา
จนหากฎเหล็กมาบังคับพนักงาน แม้การเข้าห้องน้ำ
ทำให้นึกถึงประสบการณ์การเข้าห้องน้ำระหว่างเดินทาง
ที่ดูจะเป็นเรื่องปกติ ที่มักจะแวะเข้าห้องน้ำกันตามปั๊มน้ำมัน
ครั้งนั้น..ตรงรี่เข้าไปเพื่อจะพบว่า น้ำมันหมด
ก็ยังจะเลี้ยวรถกันไปเพื่อให้ได้เจอห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังปั๊ม
และได้พบกับถ้อยคำที่ปรากฏอยู่บนป้ายที่ตั้งเด่นเป็นสง่า
ขวางอยู่ตรงหน้าทางเข้า
ทำเอาต้องถอดใจกับหลายข้อห้าม...ห้าม....และ ห้าม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ห้าม ฯลฯ..ที่ปรากฏอยู่บนบรรทัดสุดท้ายของการห้าม
ผู้ร่วมทางที่เดินลงไปใช้บริการจึงมีเพียงน้องชายที่ทำหน้าที่ขับรถ
ขณะนั่งพิจารณาป้าย อดนึกห่วงไม่ได้ว่า
ผู้ใช้บริการอาจจะเผลอไผลให้ความร่วมมือไม่ครบตามสั่ง
ก็สิ่งที่บริการมีเพียงสอง..แบบหนักและแบบเบา
โธ่เอ๋ย...ธรรมชาติของคนเรา มันต้องสาม...
หากตามมาด้วยเสียงปู้ด..ป้าด..มิเกินบริการหรือ...ก็ไม่เป็นผู้ร่วมมือที่ดีเสียอีกแล้ว
มองไปเบื้องหน้า ยังมีป้ายผ้าบอกข้อห้าม ตามมาหลอกหลอน
เมื่อพิจารณาในตอนหลัง ยามนั่งคิด..
ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเจ้าของ ที่จะครอบครองและสั่งห้ามตามปรารถนา
เหตุอันก่อให้เกิดคำห้าม อาจทำความเดือดร้อนมากมาย
จึงต้องขยายแนวทางป้องกัน ให้เห็นโดยทั่ว
แต่ผู้อ่านกลับเห็นแต่ความขุ่นมัว หม่นหมองของดวงจิตที่คิดเขียน
ถ้อยคำมิได้บอกเพียงเนื้อความ แต่กลับตามมาด้วยคุณภาพของใจยามใช้สื่อสาร
ทั้งบอกถึงการมองไม่ครบด้าน..ผู้ใช้บริการจะคิดอย่างไร..ผลกระทบใดจะตามมา..
ใครจะรู้สึกไหมว่า เจ้าของสถานที่นี้มีใจเช่นไร.. ใช้ถ้อยคำเป็นหรือไม่..
อาจไม่ได้ใส่ความละเอียดอ่อนของใจไปในขณะคิด
ศิลปะในการสื่อสาร และแก้ไขสถานการณ์จึงเป็นเรื่องน่าคิด น่าเรียนรู้ของเจ้าของกิจการเสมอ
และด้วยเป็นศิลปะ จึงต้องรู้จักเลือกใช้วิธีสื่อสารที่วางอยู่บนฐานของใจที่อ่อนโยน..
อ่อนโยนเพียงพอที่จะเห็นว่า..ป้ายประกาศที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย
อาจก่อความรู้สึกอึดอัด บีบรัด หรืออาจกลับกลายเป็นการสร้างเสน่ห์ให้แก่ผู้พบเห็น
ดังเช่นป้ายเล็กๆ ที่เรียกรอยยิ้มได้ เช่นป้ายนี้..
^_____________^
ห้ามเด็ก ๆ มีความสุขได้ไหมครับ
อิอิ
เอารูปเด็ก ๆ มาฝากครับ
อิอิ...
ขอทำหน้าที่แทนจอมป่วนสักวันนะจ๊ะ
...ฉานเคยเจอล่ะ ตอนไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่หาดทรายแห่งหนึ่ง ก็ถึงเวลาเข้าห้องน้ำ มีป้ายลายมือโย้เย้เขียนว่า..
หนัก 5 บาท เบา 2 บาท
เดินเข้าพร้อมกัน 3 คนก็จ่ายกันไป 6 บาท
พอเรียบร้อยออกมากันหมดแล้ว เ
พื่อนคนหนึ่งก็ถามเบาๆว่า เธอมีอีก 3บาทไหม...
แล้วเธอก็เดินกลับไปหย่อนเงินในตู้หน้าห้องน้ำ...แถมยังมาเปรยเบาๆว่า ....เมื่อตะกี้เผลอไปหน่อยกะจะเบามันหนักไปด้วย..เลยต้องเอาเงินไปจ่ายเขาเพิ่ม...
อิอิ....ที่เล่ามานั้นไม่ใช่อุ้ยจั๋นตานะเธอ...อิอิ
ถ้าจะประหยัด อันไหนพออั้นไว้ได้ก็อั้นไว้ก่อน
เบาครึ่งหนึ่ง หนักครึ่งหนึ่ง ขอลดราคากึ่งหนึ่ง จะได้ไหม?
จะได้จ่ายสะดวกตามสภาวะเศรษฐกิจผกผัน
มาอมยิ้มยามเช้าค่ะคุณพี่หมออึ่ง
* ... * เรื่องหนัก เบา เขาว่าเรื่องธรรมชาติ
หนูอั้นไม่ได้หรอกค่ะพ่อครูขา :)
แต่เมื่อคุณพ่อขอร้อง หนูจะพยาย๊าม ๆ ค่ะ :)
... ขอแซวห้ามฝั่ง:) ขอบคุณค่ะ
ห้ามชวนพี่อึ่งไปฟังเพลงที่ลานอารมณ์ด้วยไหมคะ?
อ่านบันทึกนี้แล้ว ชวนให้ตัวเองตั้งหลักคิดได้ว่า
จากนี้ไป พบเจอป้ายและคำบอกกล่าวใด ๆ เก๋ ..สะดุดตา จะบันทึกภาพไว้และนำมาแลกเปลี่ยนเช่นนี้นะครับ
สวัสดีครับพี่อึ่ง
สบายดีไหมครับ ไ่ม่ได้มาเยี่ยมนานครับ การห้ามเป็นการลดอิสระเสรีภาพให้แคบลงครับ คนเราจะอึดอัดจนกว่าตัวเองเกือบจะไม่มีที่ยืน หลังจากนั้นก็เกิดการสำแดงฤทธิ์ครับ
จริงๆ หากเราเปลี่ยน ข้อห้าม เป็นข้อเจริญปัญญา ได้จะดีมากๆ ครับ
เช่น...
ห้ามฉี่ตามแนว ......เปลี่ยนเป็น ...... ฉี่แล้วกลิ่นอายคนนะจ๊ะ
สนุกในวันหยุดนะครับ
ขอบคุณมากครัีบ
คุณหมอเจ๊ขา
สวัสดีค่ะพ่อครูบา
น้องต้อมเจ้า
สวัสดีค่ะ อ.แผ่นดิน
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
ห้ามจอดตลอดแนว -----> มันก็จอดตลอดแนวเลย เฮ้อ เจอประจำ
หลายๆ ครั้งที่ถูกห้าม ต้อมว่าคนเราจะเกิดอาการอยากทำยิกๆๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือภายในตัวเรามีต่อมอยากจะเอาชนะกันนะ
คนสั่งทำป้ายคงได้เจอปัญหามาเยอะเลยทำให้ใจขุ่นมัว จึงสะท้อนออกมาทางถ้อยคำที่ใช้นะคะ
แต่สงสัยว่าจะเป็นการยิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุหรือเปล่านะคะ