**** การให้ ****
การให้เป็นการดำรงชีวิตในระดับสูงสุด
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนทั้งหลาย
การให้ทานที่ถูกต้อง หรือการให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ
คือการให้ทานโดยไม่หวังผลใดๆ
สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา ถ้าคุณให้สิ่งที่ดี
คุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา ยิ่งคุณให้มาก
คุณก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมาเป็นสิบเท่า
การให้ทานแก่ผู้อื่นควรทำแบบปิดทองหลังพระ
เมื่อเราให้โดยไม่หวังผลใดๆ เลย
เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ
จงให้ทานหรือสื่งที่มีค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับ
การให้ทานแบ่งออกเป็นสามอย่างได้แก่
1. ให้ทานเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ทรัพย์และสิ่งของต่างๆ
2. ให้ความรู้เป็นทาน
3. ให้อภัยในความผิดของผู้อื่นที่กระทำต่อเราหรือ "อภัยทาน"
การให้อย่างแรก คือการให้สิ่งของเป็นทาน
เป็นการให้ที่ง่ายที่สุด
แลสะดวกที่สุดเพราะเราเพียงแค่มีสิ่งของและมีผู้รับทาน
เราก็สำเร็จประโยชน์ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อ เสียสละ
แบ่งปัน ช่วยเหลือ สงเคราะห์ด้วยตัวเราเอง
การให้อย่างที่สอง
คือการให้ความรู้หรือวิทยาทานหรือให้ศิลปะวิทยาการแก่ผู้ขาดความรู้
การให้ในข้อนี้ถือการให้ ธรรมทาน
เป็นการให้ที่เหนือกว่าการให้ทานทั้งปวงและเป็นการให้ที่ได้บุญกุศลสูงสุด
การให้อย่างที่สาม คือ อภัยทาน
มีบุคคลอยู่สามประเภทที่คุณต้องให้อภัยได้แก่ บิดามารดา
คนอื่นๆ ทั้งหมด และตัวคุณเอง
*** บิดามารดาของคุณเป็นบุคคลประเภทแรกที่คุณต้องให้อภัย
ไม่ว่าบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งจะเคยทำร้ายคุณขนาดไหน
ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจหรือทั้งสองอย่าง
คุณก็ต้องให้อภัยแก่ท่านโดยยอมรับว่าท่านทำดีที่สุดแล้วจากสิ่งที่ท่านเป็น
ในหลายๆ กรณี
ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าได้ทำอะไรลงไปจึงทำให้คุณไม่ชอบใจอยู่จนทุกวันนี้
*** บุคคลประเภทที่สองที่คุณต้องให้อภัยคือคนอื่นๆ ทั้งหมด
คุณต้องให้อภัยได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ
แก่คนทุกคนที่ล่วงเกินคุณโดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณชอบคนๆ นั้น
สิ่งที่ต้องทำคือเพียงแค่ให้อภัย
การให้อภัยเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเพราะว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนๆ
นั้นเลย
แต่ทว่ามันเกี่ยวข้องกับความสงบสุขทางใจและความสุขของตัวคุณเอง
*** บุคคลที่สามที่คุณต้องให้อภัยก็คือตัวคุณเอง
คุณต้องให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผิดพลาด
ซึ่งคุณเคยพูดเคยทำ
ชายและหญิงที่มีปัญญาและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวล้วนแต่เคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น
เพราะด้วยความผิดพลาดนั้นเองที่ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมากขึ้น
ดังนั้นคุณต้องให้อภัยตังเองสำหรับทุกสิ่งที่คุณได้กระทำลงไป
>>> จงให้อภัยไม่ว่าคนที่คุณเกลียดชัง
คนที่คุณอาฆาตพยาบาทจะเป็นใคร
คนที่แบกภาระแห่งอารมณ์ลบไว้ในใจจะพูดเหมือนกันว่า
พวกเขาไม่อาจลืมความเจ็บช้ำน้ำใจ ความขมขื่น
ความชอกช้ำระกำใจที่คนอื่นทำไว้กับพวกเขาได้
พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
การที่พวกเขายังไม่ให้อภัยคู่กรณีเพราะบุคคลนั้นไม่มีความสำนึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป
ไม่แม้แต่จะยอมรับหรือทำความเข้าใจว่าได้ทำสิ่งที่แสนเลวร้าย
หลายคนพูดถึงคนที่เขาไม่ให้อภัยว่า
"ผมให้อภัยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้สำนึกหรือเสียใจแม้แต่น้อย
คนพวกนี้จึงไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากผม"
ถ้านั่นคือหลักการของการให้อภัยแล้วล่ะก็
แน่นอนว่ามีหลายคนในโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย
มีหลายคนที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นเสียหายแบบถาวรโดยขาดความสำนึกผิด
มีหลายคนที่ไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่าได้ทำร้ายจิตใจใครบ้าง
อย่าว่าแต่ทำให้ชีวิตและจิตใจผู้อื่นพังทลายเลย
ขอให้คุณเข้าใจดังนี้ ถ้าคุณยอมให้ผู้ใดทำให้คุณเกลียดชัง
เคียดแค้น ชิงชัง อาฆาตพยาบาทเขาได้
เขาคนนั้นคือผู้ชนะ ส่วนคุณคือผู้แพ้
จงอย่ายอมให้คุณเป็นผู้แพ้อีกแม้แต่วันเดียว
คุณมีความสามารถที่ให้อภัยได้
ไม่ใช่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแต่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับตัวคุณเอง
หากการให้อภัยของคุณจะทำให้เกิดผลพลอยได้ใดๆ แก่บุคคลนั้น
ก็ช่างมันเถอะ คนที่คุณช่วยไว้คือตัวคุณเอง
คุณคือผู้ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการทางอารมณ์นั้น
ตามที่กล่าวมานี้ ถ้าคุณยังให้อภัยแก่ใครไม่ได้
คุณลองสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ดู
เผื่อว่าอาจจะช่วยดับความอาฆาตพยบาทลงได้
พระธรรมนี้ว่าด้วยธรรมะดับความอาฆาตห้าประการ คือ
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงนึกถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า
ท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดดีชั่วก็ตาม
จักเป็นทายาท(ผู้รับผล)ของกรรมนั้น
พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้
จงจำไว้ว่า
การให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างหรือทั้งสามอย่างที่ประกอบด้วยเมตตา
เป็นการจรรโลงความรักให้เกิดขึ้น
จงจำไว้อีกว่า ไม่มีใครได้รับเกียรติจากการเป็นผู้รับ
เกียรตินั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ให้
และมือที่ให้ย่อมจะได้รับด้วย
ความจริงอย่างหนึ่งที่สำคัญเพื่อให้มีชีวิตอย่างมีความสุข คือ
คุณต้องให้เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตนี้
จงจำให้ขึ้นใจว่า จงให้ก่อนที่จะรับ ถ้าคุณให้อยู่เรื่อยๆ
คุณก็จะมีเรื่อยๆ ไป ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ
และหนึ่งในกฎของการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็คือ
การที่คุณให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้วคุณก็จะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริง
จงคิดถึงเรื่องการให้แทนที่จะคิดแต่เรื่องการรับ
จงให้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณไม่อาจทนที่จะไม่แบ่งปันได้เลย
จงจำไว้เสมอว่า
ทานที่ให้อย่างเปิดเผยจะให้การตอบแทนอย่างเร้นลับ
การทำทานไม่เคยเป็นสิ่งที่พอเพียง ถ้าคุณคิดว่า
คุณให้มากพอแล้ว จงคิดอีกครั้ง
คุณสามารถให้ได้มากกว่านั้นและมีคนที่คุณสามารถให้ได้เสมอ
************************************
ปล. ข้อมูลที่นำมาเขียนนี้ ส่งมาจากบุคคลที่รู้จัก
และมีประสบการณ์ปวดร้าวทางจิตใจที่มีผู้หยิบยื่นให้
เขาอดทนต่อการกระทำนั้นๆ มาเป็นเวลานาน เขาเจ็บปวด
พยายามหาเหตุผลและหาวิธีแก้แค้นมาตลอด
แต่เมื่อเขาได้เข้ามาศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
เขาก็ได้รับคำตอบและวิธีการแก้ไข
ปัจจุบันบุคคลผู้นี้ได้ชื่อว่า ชนะตนเองแล้ว...