เรื่องของ
“วาสนา”
คำว่าวาสนาในภาษาไทยหมายถึง
บุญบารมีที่สั่งสมมานาน ทำให้คน ๆ
นั้นมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน
ดังคำกล่าวถึงบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ว่า
“เขามีวาสนา” หรือ
“เป็นวาสนาของเขา”
แต่ในความหมายทางธรรม “วาสนา” หมายถึง
นิสัยสันดานที่ฝังลึกอยู่ในจิตจนถอนไม่ขึ้น
ว่ากันว่า ถึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังละ
“วาสนา” ไม่ได้
ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
---> มีตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายเรื่อง
เรื่องที่หนึ่งเกี่ยวกับพระสารีบุตร
อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า
ท่านผู้นี้เป็นนักปรัชญาเก่า
สังกัดสำนักปรัชญาเมธีชื่อสัญชัย เวลัฏฐบุตร
เจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองราชคฤห์
ต่อมาได้ลาอาจารย์พร้อมกับสหายรักชื่อโกลิกะ (ต่อมาคือ
พระมหาโมคคัลลานะ)
มาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นสาวกของพระพุทธองค์
เมื่อบวชแล้วก็ได้รับแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ผู้เป็นเลิศในทางปัญญามาก
ท่านให้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนภิกษุสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าในบางครั้ง
และเป็นกำลังในการช่วยพระพุทธองค์เผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสารีบุตรท่านมี “วาสนา”
ที่ละไม่ได้อยู่อย่างหนึ่ง
คือเวลาท่านพบแม่น้ำลำธารที่มีสายน้ำไหลเย็น
ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบร่มรื่นท่านจะละอาการสงบเสงี่ยมชั่วขณะ
กระโดดหยอย ๆ ด้วยความดีใจ
ดังหนึ่งเด็กน้อยได้ของเล่นใจอย่างนั้นแหละ
พระสงฆ์อื่นเห็นอาการไม่สำรวมของพระอัครสาวกต่างก็พากันซุบซิบว่า
พระเถระผู้ใหญ่อย่างท่าน ไม่น่าทำอย่างนี้เลย
เรื่องทราบถึงพระกรรณของพระพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า
อย่าได้ตำหนิสารีบุตรเลย กิริยาอาการอย่างนั้นเป็น
“วาสนา” ที่สั่งสมมานานของสารีบุตร
แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ละไม่ได้เพราะว่าในชาติปางก่อนโน้น
สารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ
จึงติดนิสัยกระโดดโลดเต้นของลิงมา
ข้อความข้างต้นนี้ไม่มีพระไตรปิฎกดอกครับ
แต่มีในหนังสือรุ่นหลังพระไตรปิฎก (คือ อรรถกถา -
หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก) จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
ก็แล้วแต่จะพิจารณาเกิด
อีกเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วตื่นเต้นดี
คือมีพระเถระรูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา
นามว่าพระปิลินทวัจจะ ท่านชอบพูดคำว่า
“วสลิ” (แปลเป็นไทยว่า “ไอ้ถ่อย” )
จนติดปาก พบใครไม่ว่าจะระดับใด ท่านจะทักด้วยคำว่า
“สบายดีหรือ ไอ้ถ่อย”
ประชาชนทั่วไปรู้ว่าท่านพูดไม่เพราะเช่นนั้นเอง
แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยเมตตา จึงไม่ได้ถือสาท่าน
ตรงกันข้าม ถ้าใครได้รับคำทักทายจากท่านด้วยถ้อยคำไพเราะ
เขาผู้นั้นจะเดือดร้อนมากกว่า
ทำไมหลวงพ่อไม่พูดกับเขาเหมือนเดิม เป็นยังงั้นไป
วันหนึ่งพ่อค้าขายดีปลีคนหนึ่ง บรรทุกดีปรีเต็มเกวียน
เดินทางเข้าเมืองที่เพื่อค้าขาย
ระหว่างทางพบท่านปิลินทวัจฉะ ท่านถามว่า
“บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย”
ได้ยินพระพูดไม่ไพเราะอย่างนั้น พ่อค้าแกก็ฉุนตงิด ๆ
ตะโกนตอบเสียงดังว่า
“บรรทุกขี้หนูโว้ย ไอ้ถ่อย”
ทันใดนั้นดีปลีเต็มลำเกวียนได้กลายเป็นขี้หนูทันทีแต่เจ้าตัวยังไม่รู้พอเข้าเมืองจอดเกวียนเพื่อขนดีปลีออกมาขาย
เขาก็แทบลมจับ เพราะมีแต่ขี้หนูเต็มเกวียน
ช่างมหัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น
เขาได้วิ่งแจ้นตามไปกราบขอขมาท่านพระปิลินทวัจฉะ
เขาได้ผิดไปแล้วที่พูดคำหยาบกับพระคุณเจ้า
ได้โปรดยกโทษให้ด้วย
“ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย ข้ายกโทษให้”
ท่านตอบด้วยจิตเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม
เรื่องนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสว่า เป็น “วาสนา”
ของปิลินทวัจฉะเอง แก้ไม่ได้
แต่เธอไม่มีเจตนาจะพูดคำหยาบ
อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี
ผมจำสมณศักดิ์ท่านไม่ได้แล้วท่านชอบพูดคำว่า “ดีเนาะ
หลวง” ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร
ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย ท่านจะบอกว่า “ดีเนาะ
ๆ” อยู่เรื่อย วันหนึ่งสีกานางหนึ่งร้องไห้ฟูมฟายไปหาท่าน
เรียนท่านว่า ลูกชายซึ่งเพิ่งเรียนจบนายร้อย จปร.
ใหม่ ๆ ประสบอุบัติเหตุตายเสียแล้ว
หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “ดีเนาะ”
ว่ากันว่าสีกานางนั้นโกรธหลวงพ่อแทบเป็นแทบตาย
แต่ต่อมาพอรู้ว่าเป็นคำพูดติดปากท่านเท่านั้นเอง
จึงไม่ถือโกรธท่าน
เมื่อคราวโรงแรมใหญ่ที่โคราชถล่มทับคนตายเป็นจำนวนมาก
มีตึกอีกหลังหนึ่งติดกับโรงแรม
โย้เย้ทำท่าจะพังลงมาอีก มีคนนิมนต์หลวงพ่อคูณไปดู
หลวงพ่อคูณท่านคงเห็นด้วยตาในของท่าน
จึงบอกว่าตึกนี้ไม่พังแน่นอน
หนังสือพิมพ์เอาภาพและคำพูดของท่านมาลงว่า “หลวงพ่อคูณ
เกจิอาจารย์ดังบอกว่า “กูว่าไม่พัง”
บางท่านถามด้วยความหงุดหงิดใจว่าพระสงฆ์องค์เจ้าพูดกู ๆ มรึง ๆ
ได้หรือ
นี่แสดงว่าท่านผู้ถามนี้ไม่รู้ว่า “วาสนา”
นั้นละกันไม่ได้ หลวงพ่อคูณท่านพูดคำนี้ติดปาก
ไม่ว่าพูดกับใคร คำพูดฟังดูอาจหยาบ แต่ จริง ๆ แล้ว
กู ๆ มรึง ๆ เป็นภาษาไทยแท้
ไม่คิดว่าหยาบมันก็ไม่หยาบ ที่สำคัญท่านพูดด้วยจิตเมตตา
เล่าว่าท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พอท่านพูดคำว่า กู
มรึง ก็รู้สึกโกรธไหว้แล้วลงกุฏิกลับไปเลย
สตาร์ทรถอย่างไร ๆ ก็ไม่ติด
จนกระทั่งมีผู้เข้าไปกระซิบว่า ให้ไปขอขมาหลวงพ่อก่อน
พอเขาไปกราบขอขมา หลวงพ่อพูดว่า
“เออมรึงกลับได้”
เท่านั้นแหละครับ
คราวนี้สตาร์ทชึ่งเดียวติดวิ่งฉิวไปเลย
นี่แหละครับที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วาสนา”
หรือสิ่งที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกแห่งจิตสันดาน
แม้พระอรหันต์ก็แก้ไม่ได้
ไม่จำต้องพูดถึงปุถุชนดอกครับ
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : ผี สาง คาง แดง โดย
เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เยี่ยมมากครับ เพิ่งรู้ เรื่องเหล่านี้เลย
เป็นเรื่องที่ยาวและผมทนอ่าน แล้วยังหัวเราะงอหายในหลายจุด ขอบคุณครับ