โกรธ
เมื่อถูกยั่วยุหรือกลั่นแกล้ง คนส่วนใหญ่มักจะโต้ตอบด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่เสมอ การทำเช่นนี้ แม้จะสร้างความสะใจหรือสบายใจขึ้นบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการเร่งความตายให้กับตัวเองเร็วขึ้น เห็นได้จาก การศึกษาของนักวิชาการตะวันตกหลายครั้งพบว่า “คนขี้โกรธ มีแนวโน้มเป็นโรคหลายชนิดและตายเร็วกว่าวัยอันควร” อาทิเช่น การศึกษาของ ดร. Barefoot John ณ มหาวิทยาลัย นอร์ธ คาโรไลนา และดร. Redford Williams ที่มหาวิทยาลัยดุก ชี้ว่า “คนที่โกรธอยู่เสมอ มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งมากกว่าคนไม่ค่อยโกรธ”
ดร. Redford ยังระบุอีกว่า “คนงานที่โกรธเป็นประจำ มีอัตราการเสียชีวิตเร็วกว่าคนงานที่โกรธน้อย คือ ผู้โกรธบ่อย มีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 30% ส่วนผู้โกรธน้อย มีอัตราการตายเพียง 20% เท่านั้น” ยิ่งกว่านั้น ดร. Redford ยังศึกษาและติดตามสาเหตุการเสียชีวิตของนักศึกษาที่จบแพทย์กว่า 20 ปี ก็พบผลเช่นเดียวกัน คือ “กลุ่มแพทย์ขี้โกรธ มีแนวโน้มตายก่อนกลุ่มที่โกรธน้อย นั่นคือบรรดาแพทย์ 136 คน กลุ่มแพทย์ขี้โกรธตายถึง 16 คน ส่วนกลุ่มไม่ค่อยโกรธตายเพียง 3 คนเท่านั้น” ดังนั้น งานศึกษาข้างต้น จึงชี้อย่างชัดเจนว่า “ความโกรธ คือ ผู้เร่งความตายแก่มนุษย์”
อีกทั้ง การโกรธตอบต่อคนอื่น แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาอย่างนุ่มนวลและสันติวิธี แต่กลับเป็นการเพิ่มพูนความขัดแย้งและรุนแรงมากขึ้น อาทิเช่น ปัญหาการเข่นฆ่ากันทุกวันของคนในสังคมไทย หรือ ปัญหาสงครามระหว่างกลุ่มผู้ก่อการร้ายกันคนตะวันตก ล้วนสะท้อนออกจากการที่ต่างฝ่ายต่างใช้ความโกรธเข้าห้ำหันกันและกัน เพราะตามธรรมชาติแล้ว ทั้งผู้โกรธและถูกโกรธ จะไม่มีวันลดลาวาศอกกันได้เลย
เช่นนี้เอง องค์พุทธะจึงเสนอแนะว่า “ควรเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ” หรือ “ควรเอาชนะความโกรธด้วยความรัก” การใช้ความรักเข้าระงับความโกรธ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความโกรธ เพราะความรักให้ความเย็นเหมือนน้ำ ส่วนความโกรธมีความร้อนเช่นกับไฟ การจะดับไฟต้องใช้น้ำ เมื่อไฟคือความโกรธถูกดับด้วยน้ำคือความรัก คนก็จะมีความเข้าอกเข้าใจกัน และพร้อมที่ยื่นมือช่วยเหลือคนอื่น ผลที่จะเกิด คือ ความสุขและสันติของชีวิต สังคม และโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผู้สังหารความโกรธ ย่อมนอนเป็นสุข
ผู้เข่นฆ่าความโกรธ ย่อมไม่โศกเศร้า”