สำหรับโลกปัจจุบันที่อิทธิพลของวิชาการสมัยใหม่และวิทยาศาสตร์ได้ครอบงำไปทุกแห่งหน ทำให้คนสมัยปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการด้านต่างๆ เห็นว่า การเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่เป็นความงมงายไร้เหตุผล จึงมีผู้เชื่อปรัชญาแบบวัตถุนิยมที่สอนว่า มนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียวกันเป็นจำนวนมาก
แม้แต่ชาวพุทธบางคนที่คิดและเข้าใจว่าตนเองรู้คำสอนของพระพุทธศาสนาลึกซึ้งที่สุด ก็กลับกล่าวปฏิเสธการตายและการเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างสิ้นเชิง และกล่าวว่าผู้ที่สอนเรื่องตายและเกิดใหม่แบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิดและสอนผิด ถ้าจะสอนให้ถูกตามทรรศนะของเขาก็ต้องสอนเรื่องการตายและเกิดใหม่แบบชั่วขณะจิต คือเมื่อรู้สึกด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า "ตัวเรา" หรือ "ตัวกู" เมื่อไรก็เป็นการเกิด ละวางความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อไรก็เป็นการตาย เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเป็น "ตัวกู" ขึ้นมาใหม่ก็เป็นการเกิดใหม่ วันหนึ่งๆ จึงมีการตายและการเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วน จริงอยู่การตีความเกี่ยวกับการตายและการเกิดใหม่แบบนี้ไม่ได้ผิดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยปรมัตถนัยอาจตีความอย่างนี้ได้ แต่การปฏิเสธการตายและการเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติโดยสิ้นเชิง เท่ากับปฏิเสธพระพุทธพจน์จำนวนมากที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก การปฏิเสธพระพุทธพจน์เหล่านั้นก็เท่ากับกล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนสิ่งที่เป็นเท็จ
แต่เขาไม่กล้าพอที่จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่เป็นเท็จ จึงหันไปเล่นงานพระโบราณจารย์ของพระพุทธศาสนาว่า เอาคำสอนที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นเพิ่มเติมเข้าไปในภายหลัง โดยลืมคิดไปว่า พระสาวกผู้เคารพหนักแน่นในพระศาสดาย่อมไม่เอาสิ่งใดเข้าแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระศาสดาโดยที่พระศาสดาไม่เคยสั่งสอนไว้
นอกจากนี้ก็มีชาวพุทธบางกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากคำสอนของนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาผู้มีชื่อเสียงบางท่านที่สอนเน้นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน และเน้นการตายเกิดแบบชั่วขณะจิต ชาวพุทธกลุ่มนี้พลอยรังเกียจการอธิบายเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติไปด้วย บางคนไปไกลถึงขนาดเห็นว่าพระองค์ไหนสอนตามแบบเก่าก็เป็นการสอนผิด พระบางองค์ก็ไม่กล้าเทศน์เรื่องการตายแล้วเกิดใหม่แบบที่เคยสอนกันมา เพราะเกรงจะสอนผิดหรือไม่ก็เพราะตนเองก็เกิดไม่เชื่อการตายเกิดแบบนั้น รวมความว่าเวลานี้ความเชื่อของชาวพุทธในเรื่องนี้อยู่ในภาวะสับสน ถ้าจะแบ่งกลุ่มชาวพุทธเกี่ยวกับการตายเกิดก็แบ่งได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ
๑. เป็นชาวพุทธ...แต่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ถือว่ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว
๒. เป็นชาวพุทธ...แต่ไม่แน่ใจว่าตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ จึงไม่กล้ากล่าวว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
๓. เป็นชาวพุทธ...ยอมรับเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ชั่วขณะจิตในชีวิตปัจจุบัน ปฏิเสธเรื่องตายแล้วเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติ
๔. เป็นชาวพุทธ...ที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างที่เคยเชื่อถือกันมา
ประเภทที่ ๑ กับที่ ๓ ส่วนมากจะเป็นผู้ได้รับการศึกษาดี หรือได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของวิทยาศาสตร์
ประเภทที่ ๒ ส่วนมากจะเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่ค่อยสนใจหรือสนใจคำสอนของพระพุทธศาสนาบ้างเล็กน้อย
ประเภทที่ ๔ มีทั้งชาวบ้านธรรมดาทั่วไปและผู้ที่สนใจศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ในกรณีของชาวบ้านทั่วไปที่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ ส่วนมากเป็นเพราะได้รับการอบรมให้เชื่อในเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ส่วนผู้ที่สนใจศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือสังสารวัฏเพราะมั่นใจในความรู้ที่ได้ศึกษามา และเพราะได้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบจนเกิดความแน่ใจว่าเรื่อง "สังสารวัฏ" เป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดหลักหนึ่งของพระพุทธศาสนา การปฏิเสธหลักคำสอนเรื่องนี้ย่อมเป็นการปฏิเสธหลักคำสอนเรื่อง มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาไปพร้อมกันด้วย หากหลักคำสอนเหล่านี้ถูกปฏิเสธเสียแล้วพระพุทธศาสนาก็จะเป็นเพียงระบบศีลธรรมธรรมดาระบบหนึ่งเท่านั้น ระบบศีลธรรมธรรมดาที่มีแต่เรื่องโลกียะอย่างเดียวนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ใครก็ได้ที่เป็นนักคิดและนักวิเคราะห์สังเคราะห์ก็สามารถกำหนดเรื่องบัญญัติขึ้นมาอย่างมีเหตุผลได้
โอ้ย ปราชญ์เอ๋ย ชาวฝรั่งเขายกย่องท่านขนานใหนปัญญาของท่านโดยพิศูจน์มา60-70แล้วจนฝรั่งยอมรับ แต่เราชาวพุทธมันไกล้เกลือกินด่างเหมือนวงการสงฆ์ แล้วต่อไปก็โง่กว่าปัญญาชนและฝรั่งที่เขาศึกษาหนังสือท่าน
เพราะเรามัวแต่กินของเก่า(สอนกันไม้พ้นของพระพุทธโฆศาจารย์)จนเด็กมันยังไม่เชื่อแล้ว แม้แต่เด็กมันยังไม่เชื่อ มีแต่พระสงฆ์หัวเก่าติดภัมภีร์ซึ่งเป็นชุดความรู้สมัยพันกว่าปีที่แล้วมันเลยบางเรื่องใช้กับปัจจุบันไม่ได้แล้ว น่าหัวเราะความเชื่อที่เราสอนกันมาใหมละครับ