นรกและสวรรค์ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ภาคนรก
1.
นรก
ในทรรศนะของพระพุทธเจ้า นรกมีจริงหรือไม่
พระพุทธเจ้าทรงมีท่าทีต่อนรกอย่างไร
ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องกรรม
การให้ผลของการชั่ว และมักตรัสสรุปไว้ตอนท้ายว่า
“คนทำกรรมชั่ว
หลังจากที่ตายไป จะเข้าถึงอบายทุคคติ วนิบาต
นรก”
เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า
พระพุทธเจ้าทรงยอมรับนรกเช่นกัน
อีกทฤษฏีหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นว่า
พระพุทธเจ้าทรงมีทรรศนะเช่นใดต่อนรก คือ
ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องโลกหน้า
โลกหน้า
คือโลกที่มนุษย์จะต้องไปเกิดหลังจากตายลงในชีวิตนี้นั่นเอง
และพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้บุคคลมีความเชื่อว่าโลกหน้ามีจริง
ถึงกับตรัสติเตียนว่า “คนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องโลกหน้า
(ปรโลกศรัทธา)
เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ”
“...เมื่อปรโลกมี เขาเห็นว่าปรโลกไม่มี
ความเห็นของเขาก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
.....พวกที่มีวาทะมีทิฏฐิว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
การบำเพ็ญทานไม่มีผล .....สำหรับพวกนี้
เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้คือ
พวกเขาจะทิ้งกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริตอันเป็นกุศลธรรมทั้ง 3
อย่าง เสีย”
(อปัณณกสูตร , ม.ม.๑๓/๑๐๓-๑๒๔)
วิสัยของมนุษย์ปุถุชนมีคุณภาพต่ำเกินไปที่จะพิสูจน์เรื่องนรกให้ประจักษ์ชัดแก่ประสาทสัมผัสได้
การพูดถกเถียงกันจึงเป็นการอิงอาศัยข้อความในคัมภีร์ชั้นต่าง
ๆ
โดยใช้ภูมิปัญญาอย่างปุถุชนเข้าไปตัดสินตีความแล้วแสดงออกมาทางคำพูด
หลักการทางพระพุทธศาสนาดูจะไม่สนใจข้อสงสัยที่ถกเถียงกันอยู่แต่แสดงจุดยืนในเรื่องนรกไปอีกแนวหนึ่ง
โดยแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนรกโดยหลักเหตุผลและแสดงปฏิปทาที่จะให้ถึงนรก
ปฏิปทาที่จะให้พ้นไปจากนรก
มีพุทธฎีกาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้อย่างเด่นชัด
นรกในฐานะที่เป็นภพหรือภูมิที่บุคลผู้ทำความชั่วจะต้องไปเกิดหลังการตายลงในมนุษย์โลกนี้ปรากฏคัมภีร์พระไตรปิฎกมาก
และมักปรากฏใน 5
ลักษณะคือ...
1.
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงกำลังสติปัญญาของพระองค์เอง
และของพระสาวกที่ทรงคุณวุฒิบางรูปในอันที่จะตรวจสอบดูความเป็นไปของโลกในเรื่องใดก็ได้
เมื่อมีบุคคลมากราบทูลถามพระองค์หรือเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในโอกาสอันเหมาะ
พระพุทธองค์ก็จะแสดงออกถึงกำลังสติปัญญาของพระอริยบุคคล
“....ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ
อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม....ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์เป็นไปตามกรรมว่า
สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริตติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ยึดถือว่าการกระทำด้วยมิจฉาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่ตายไป
เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต
นรก....”
(มหาสีหนาทสูตร , ม.มู. ๑๒/๑๖๖)
2.
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะปลดเปลื้องหมู่สัตว์ให้พ้นทุกข์ในสังสารวัฏ
จึงตรัสเตือนว่า กรรมชั่ว ความเห็นผิด
(มิจฉาทิฏฐิ)พฤติกรรมอันไม่ชอบธรรมอื่น ๆ
นอกจากจะก่อทุกข์เผ็ดร้อนในปัจจุบันชาตินี้แล้ว
ตายไปยิ่งจะได้รับผลเผ็ดร้อนมากกว่านี้หลายเท่านักผู้มีปัญหาเห็นประจักษ์
พึงละกรรมชั่ว
ความเห็นผิดแล้วประกอบกรรมดีและความเห็นที่ถูกต้อง
“...กายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต ที่เรากล่าวว่า ไม่ควรทำโดยส่วนเดียวนี้
เมื่อผู้ใดกระทำ ก็พึงหวังโทษต่อไปนี้ได้
คือ ตนเองก็กล่าวโทษได้
วิญญูชนทั้งหลายใคร่ครวญแล้วย่อมติเตียน
กิตติศัพท์อันชั่วร้ายขจรไป ย่อมหลงตาย
เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ภายหลังมรณะย่อมเข้าถึงอบาย
ทุคคติ วินิบาต
นรก.....”
(จูฬกัมมวิภังคสูตร ,
ม.อุ.๑๔/๕๘๒,๕๘๔,๕๘๖,๕๘๘,๕๙๐,๕๙๒)
ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกบางตอนที่ว่าด้วยเรื่องนรก
มีจุดประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดสุดท้ายของบุคคลผู้กระทำกรรมชั่วโดยเฉพาะ
จึงตั้งชื่อว่าวรรคว่า “นิรยวรรค”
และมีพุทธภาษิตเป็นหลักการประกอบอยู่ด้วย
“ผู้มักพูดคำไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก
หรือแม้ผู้ใดทำแล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้ามิได้ทำ
ชนแม้ทั้ง 2 นั้น
เป็นมนุษย์มีกรรมเลวทราม ละไปในโลกอื่นแล้ว
ย่อมเป็นผู้เสมอกัน”
(นิรยวรรควรรณนา , ขุ.ธ.๒๕/๓๒)
ข้อความที่ว่าเรื่องนรกซึ่งปรากฏในลักษณะอย่างนี้
ไม่มีจุดประสงค์ที่จะให้ถามตามมาอีกว่า
“นรกมีจริงหรือไม่
นรกตั้งอยู่ที่ไหน”
แต่เป็นการแสดงข้อเท็จจริงว่า
“บุคคลหว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ทำกรรมดี
ย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่ว
ย่อมได้รับผลชั่ว”
(สมุททกสูตร , สํ.สฬ.๑๘)
3.
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนอานิสงส์ของความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างไม่หวั่นไหว
ความเป็นผู้มีปัญญา มีความเพียรว่า
เป็นผลทำให้พ้นไปจากนรกนั้นได้
การตรัสเช่นนี้
เป็นการชี้ให้เห็นถึงผลที่ผู้บำเพ็ญธรรมจนบรรลุคุณวิเศษถึงขั้นโสดาบันขึ้นไป
ย่อมข้ามพ้นอบาย
ทุคคติวินิบาตนรกได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า
“นรกมีจริงหรือไม่
นรกตั้งอยู่ที่ไหน?”
“...บุคคลบางคนในโลกนี้
เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์ มีปัญญา
ร่าเริงเฉียบแหลม...บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบาย
ทุคคติ วินิบาต...”
(ปฐมสรกานิสูตร ,
สํ.ม.๑๙/๑๕๓๐-๑๕๓๕)
4.
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษที่บุคคลผู้กระทำกรรมชั่วในโลกมนุษย์จะได้รับหลังจากตายไปแล้วเช่นกัน
แต่ทรงแสดงให้รายละเอียดของนรกมากกว่าที่เคยแสดงไว้ในที่อื่น
น่าจะเป็นเพราะทรงมีพระประสงฆ์ที่จะให้บุคคลซาบซึ้งในเรื่องนรกมากกว่าเป็นอยู่
พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิธีการลงโทษสัตว์นรกของพวกนายนิรยบาล(ยมบาล)
ตรัสพรรณาลักษณะนรกและความเป็นอยู่ของสัตว์นรก
“.....เหล่านายนิรบาลจะให้คนพาลนี้ปีนขึ้นลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่
ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง
คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น
และยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เหล่านายนิรบาลจะจับคนพาลนั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน
เอาหัวลงข้างล่าง
แล้วพุ่งไปในหม้อทองแดงที่ร้อน มีไฟติดทั่ว
ลุกโพลงโชติช่วง
คนพาลนั้นจะเดือดเป็นฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น
เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่
จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง
พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง
พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง...”
(พาลบัณฑตสูตร , ม.อุ.๑๔/๔๗๕.)
“...พวกนายนิรบาลจับบุรุษนั้นไปลงนรก
ก็มหานรกนั้น มีสี่มุม แบ่งออกเป็นสัดส่วน
มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบด้วยเหล็ก
พื้นทำด้วยเหล็ก ร้อนลุกเป็นไฟลามไปตลอด
100 โยชน์ ลุกอยู่ตลอดเวลา
...”
(เทวทูตสูตร, ม.อุ.๑๔/๕๐๗-๕๒๓.
พาลบัณฑิตตสูตร,ม.อุ.๑๔/๔๗๒-๔๗๕.ฑูตสูตร,องฺ.ติก.๒๐/๔๗๕)
---> ข้อความเหล่านี้
เป็นการยืนยันว่านรกคือสถานที่
เป็นสถานที่สำหรับเสวยผลบาปของสัตว์ผู้ทำกรรมชั่ว
พระพุทธเจ้าตรัสข้อความเหล่านั้นโดยตรง
และมีข้อความบางตอนที่เป็นคำสนทนากันระหว่างสัตว์นรกกับพวกนายนิรบาล
“....นางเรวดีถามนายนิรบาลว่า คูถ
มูตร และของไม่สะอาด
เห็นกันได้เฉพาะหรือหนออุจจาระนี้มีกลิ่นเหม็นหรือ
นายนิรบาลกล่าวว่า นรกนี้ชื่อสังสวกะ
ลึกชั่วร้อยบุรุษ เป็นนรกที่เจ้าจะต้องหมกไหม้อยู่หลายพันปีนะ
เรวดี. นางเรวดีถามว่า
ดิฉันทำกรรมชั่วด้วยกาย วาจา ใจหรือหนอ
ดิฉันได้นรกสังสวกะ
ลึกชั่วร้อยบุรุษ....”
(เรวตีวิมาน, ขุ.วิ.๒๖/๕๒)
5.
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสระบุชื่อของนรก
และบางชื่อ
เหมือนกับเป็นการแสดงพุทธประสงค์ที่จะให้บุคคลหันมาสนใจนรกภายในตัวของแต่ละบุคคลความน่ากลัวของนรกที่เป็นสถานที่คือ
“ความทุกข์ที่ได้รับจากการถูกนายนิรบาลลงโทษโดยวิธีการต่าง
ๆ”
ความทุกข์ที่มนุษย์ประสบในโลกนี้เพราะสาเหตุต่าง ๆ
ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน
พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า
“ฉผัสสายตนิกนรก”
แปลว่า
นรกอันเป็นไปทางอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก
เมื่ออายตนะทั้ง 2
นี้สัมผัสกันแล้วเกิดการรับรู้
“ดูก่อนภิกษุ นรกชื่อว่าผัสสายตนิก
6 เราเห็นแล้ว
ในผัสสายนิกนรกนั้น
สัตว์จะเห็นรูปอะไรด้วยจักษุ
ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา
ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา
....จะฟังเสียงอะไรด้วยหู
ก็ย่อมฟังแต่เสียงอันไม่น่าปรารถนา....จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรด้วยใจ
ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา
ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา...”
(ขณสูตร, สํ.สฬ.๑๘/๒๑๔.)
พระพุทธดำรัสนี้
เป็นการนำเสนอนรกที่เกิดขึ้นพร้อมกับการได้เห็น
ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส
ได้สัมผัสทางกายและทางใจซึ่งสิ่งที่ไม่น่าพอใจ
นรกชนิดนี้อาจเกิดขึ้นทั้งในขณะที่มีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่และหลังจากตายไปเกิดในภพใหม่แล้ว
เป็นการแสดง “ภาวะ”
ไม่ใช่แสดงถึง “สถานที่”
นอกจากนี้ ยังตรัสเปรียบเทียบความเร่าร้อนในนรกชื่อว่า
“ปริฬาหะ”
กับความเร่าร้อนของพวกสมณพราหมณ์ผู้ไม่รู้แจ้งทุกข์
เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์
และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ในโลกมนุษย์นี้
“....นรกชื่อว่าปริฬาหะมีอยู่
ในนรกนั้นบุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยนัยน์ตาได้
(แต่)เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว
ไม่เห็นรูปที่น่าปรารถนา...ดูก่อนภิกษุความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวความเร่าร้อนนี้
มีอยู่.....สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงน่า นี้ทุกข์
......ย่อมยินดี ย่อมปรุงแต่งครั้นปรุงแต่งแล้ว
ย่อมเร่าร้อน ....”
(ปริฬาหสูตร , สํ.ม.๑๙/๑๗๓๑-๑๗๓๓.)
ส่วนชื่อของนรกที่พระพุทธเจ้าตรัสระบุนั้น
เป็นนรกบริวารของนรกใหญ่ 8
ขุม
พระพุทธองค์ตรัสระบุสภาพของนรกและสภาพของสัตว์นรกที่ถูกลงโทษในนรกใหญ่เป็นเวลายาวนาน
และมีสัตว์นรกบางตนพยายามหนีออกไปจากนรกใหญ่
“.....โดยล่วงไประยะกาลนาน
ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิดออก
สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น
ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ
ไหม้เอ็น
แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบแต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว
จะกลับคงรูปเดิมทันที
สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล
มีนรกเต็มด้วยคูถ (คูถนรก)
ใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน...”
(เทวทูตสูตร , ม.อุ.๑๔/๕๑๗.)
ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสระบุชื่อ
“กุกกุลนรก”
ลิมเพลีนรก,อลิปัตตนรก,
ขาโรทกนทีนรก พร้อมกับตรัสถึงลักษณะของนรก
วิธีการลงโทษของนายนิรบาล
และความเจ็บปวดที่สัตว์นรกได้รับในนรกนั้น
“...สัตว์เหล่านั้นบอกอย่างนี้ว่า
ข้าพเจ้ากระหายน้ำ เจ้าข้า
เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อน มีไฟติดทั่ว
ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปาก (ของสัตว์นรก)
ออกแล้ว เอาน้ำทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว
ลุกโพลงโชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก
น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง
ปากบ้าง...”
(เทวทูตสูตร, ม.อุ.๑๔/๕๒๓.)
ลักษณะของนรกตามที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก
ถ้าเป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรงโดยมาก
พระพุทธองค์จะตรัสถึงกรรมชั่วในปัจจุบัน
ผลของกรรมชั่วในปัจจุบัน
และตรัสสรุปตอนท้ายว่า
“เมื่อคนทำชั่วตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย
ทุคคติ วินิบาต นรก”
ตรัสพรรณนาลักษณะของนรกตรัสระบุชื่อของนรกบ้างเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่เหมาะสม
ข้อความที่พระพุทธองค์ตรัสพรรณนานรกอย่างพิสดารนั้น
เป็นการตรัสต่อหน้าของเหล่าภิกษุผู้มีญาณแก่กล้าแล้วแทบทั้งสิ้น
และพระพุทธองค์จะไม่ทรงตั้งกฎเกณฑ์หรือจำแนกประเภทนรกและลักษณะของนรกไว้มากนัก
เรื่องนรก
ถ้าเป็นข้อความที่พระสาวกหรือนักปราชญ์ฝ่ายพุทธในยุคพุทธกาลกล่าว
แม้จะมีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกเพียงเล็กน้อย
แต่เป็นการตั้งกฎเกณฑ์พรรณนาลักษณะและประเภทของนรกไว้อย่างพิสดาร
“...อาตมภาพจะกล่าวคติคือนรกเหล่านั้น
ขอพระองค์ทรงสดับอาตมภาพเถิด นรก 8
ขุมเหล่านี้คือ สัญชีวนรก กาฬสุตตนรก
สังฆาฏนรก โรรุวนรก
มหาโรรุวนรก ตาปนนรก มหาตาปนนรก อเวจีนรก
อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว ก้าวล่วงได้ยาก
เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมหยาบช้า
เฉพาะขุมหนึ่ง ๆ มีอุสสทนรก 16 ขุม
เป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อน....”
“…..พวกหญิงรีดลูก
ย่อมก้าวล่วงลำธารนรกอันขรุขระ
ที่ก้าวล่วงได้แสนยาก
ดุจคมมีดโกนแล้วตกไปสู่แม่น้ำเวตรณีที่ไปได้ยาก
ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็น มีหนาม
16 องคุลี (นิ้ว)
..”
(สังกิจจชาดก, ขุ.ชา.๑๘/๙๒.)
ข้อความนี้
เป็นข้อความที่สังกิจจฤาษีกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าพรหมทัต
เป็นทรรศนะของพุทธสาวก
และยังมีข้อความอีกตอนหนึ่งที่ท่านพระโมคคัลลานะกล่าวกะมารผู้ลามกที่มารบกวนท่านว่า
“...มารผู้ลามก
ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ 8 อย่าง
ชื่อผัสสายตนิกะก็มี ชื่อสังกุสมาหตะก็มี
ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี มารผู้ลามก
ครั้งนั้น
พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า
เมื่อใดแลหลาวเหล็กกับหลาว
มารวมกันที่กลางหทัย (อก)ของท่าน
เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า
เราไหม้อยู่ในนรกหนึ่งพันปีแล้ว...”
(มาตัชชนียสูตร,
ม,มู.๑๒/๕๖๕.)
นรกคือภูมิอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกนั้น
จัดอยู่ในพวกกามาวจร
คือภูมิของสัตว์ผู้ยังเสพกามอยู่
พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสถึง
ก็ตรัสไว้ในฐานะที่เป็นผลของกรรมชั่ว
และทุกครั้งที่ตรัสถึงนรก
จะไม่ตรัสในฐานะเป็นคำเทศนา
แต่จะเป็นไปในลักษณะเล่าให้ฟัง
เพื่อแสดงกำลังของพระพุทธญาณหรือเป็นข้อสนทนาส่วนพระองค์กับหมู่ภิกษุ
“....ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด
พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา
ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้
ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา
ย่อมปรากฏในโลก.....แม้ในโลกกันตริกนรก มีแต่ทุกข์
ซึ่งมิใช่ที่เปิดเผย มีแต่ความคิด
ซึ่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้
ส่องแสงไปไม่ถึง
ก็ยังปรากฏแสงสว่างโอฬารหาประมาณมิได้ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา
ด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่ผู้อุบัติในนรกนั้น
ก็รู้ว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดขึ้นในที่นี้.....”
(อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร, ม.อุ.๑๔/๓๗๘.
มหาปทานสูตร, ที.ม.๑๐/๒๗.)
ดีมาก ความละเอียดต้องค้นหาต่อไป ควรมีการบันทึกลงยูทูปให้คนไม่รู้ได้รับฟังให้เกิดปัญญา