ชาติหน้ามีจริงหรือ


ชาติหน้ามีจริงหรือ

ท่านนักอ่านทั้งหลาย ครั้งที่แล้วได้เขียนเรื่องชาติหน้ามีจริงหรือโดยยกเอาเรื่องที่พระกุมารกัสสปอธิบายแก้ไขความเห็นผิดของเจ้านครปายาสิที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าว่ามีอยู่จริงเพราะสาเหตุที่ท่านไม่เห็นโลกหน้าหรือชาติหน้าด้วยตาตนเองและไม่มีใครที่เสียชีวิตแล้วกลับมาบอกมาแจ้งข่าวให้ท่านทราบสักคนแต่โดยที่สุดแล้วพระเถระก็สามารถแก้ไขประเด็นเรื่องโลกหน้ามีจริงหรือไม่นี้ได้

           มาครั้งนี้ก็จะเขียนประเด็นนี้อีกโดยจะยกเอาเรื่องพระจักขุบาลที่มีเนื้อความปรากฏอยู่ในอรรถกถาธรรมบทภาค ๑

เรื่องที่ ๑ ของท่านพระพุทธโฆษาจารย์ พระอรรถกถาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมากล่าวเพื่อเป็นการยืนยันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้ามีจริงหรือ

           อรรถกถาธรรมบทเล่าประวัติพระจักขุบาลว่า เดิมท่านเป็นบุตรของกุฎุมพีชื่อมหาสุวรรณชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศลประเทศอินเดียปัจจุบัน มีน้องชาย ๑ คน เดิมตัวท่านชื่อ บาล ต่อมาเมื่อมีน้องชายจึงได้ชื่อใหม่ว่า มหาบาล แปลว่า บาลใหญ่ หรือบาลผู้พี่คู่กับจุลบาล ซึ่งแปลว่า บาลเล็ก หรือบาลผู้น้อง ต่อมาพ่อแม่ก็เสียชีวิตทรัพย์สมบัติมรดกของตระกูลจึงมาตกอยู่กับพี่น้องสองคนต้องช่วยกันดูแลรับผิดชอบ

         ในช่วงเวลานั้น เขตกรุงสาวัตถีมีวัดใหญ่อยู่ ๒ วัด คือวัดพระเชตวันมหาวิหารของอนาถบิณฑิกเศรษฐีมหาอุบาสกและวัดบุพพารามของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านกล่าวว่า ในระยะเวลานั้นในนครสาวัตถีมีคนอยู่ประจำ ๗ โกฏิ ถ้า โกฏิ = ๑๐ ล้าน ก็คงจะเป็น ๗๐ ล้าน ในคนจำนวนนั้น ๕ โกฏิ เป็นพระอริยสาวกอริยบุคคล คือ ตั้งแต่พระโสดาบันพระสกิทาคามี พระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ อีก ๒ โกฏิ ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดา

       ท่านเล่าว่า พระอริยสาวกมีกิจธุระประจำวันเพียง  ๒ อย่างเท่านั้น คือในกาลก่อนแต่เวลาฉันอาหารของพระสงฆ์ ท่านถวายทานในกาลภายหลังที่พระสงฆ์ฉันอาหารเสร็จแล้ว คือหลังเที่ยงวันแล้วไปท่านถือเครื่องสักการบูชามีของหอมและระเบียบดอกไม้ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ใช้คนให้ถือไทยธรรม มีเภสัชและน้ำปานะเป็นต้น  ไปเพื่อฟังธรรมสังเกตดูแล้วคงจะครึกครื้นน่าดู


       อยู่ต่อมาวันหนึ่ง มหาบาลเห็นหมู่อริยสาวกถือเครื่องสักการบูชามีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไปวัดจึงถามว่า จะไปไหนกัน ครั้นได้ยินว่า ไปฟังธรรม ก็จึงคิดว่าจักไปบ้าง ครั้นไปถึงวัดถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่งอยู่ข้างท้ายประชุมชน

 วันนั้นตอนหัวค่ำฝนตกจึงมีแมลงค่อมทองอยู่ที่พื้นจำนวนมากตอนมัชฌิมยามคือช่วงจากสี่ทุ่มถึงตีสองพระจักขุบาลจะเดินจงกรมประจำแม้ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเดินจงกรมอยู่เหมือนเดิมคืนนั้นจึงเหยียบแมลงค่อมทองตายจำนวนมาก พระลูกศิษย์ท่านยังไม่ทันกวาดตอนเช้าและมีพระอีกกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมท่านแต่เช้าเห็นแมลงค่อมทองที่พระเถระเดินจงกรมเหยียบตายไว้เกลื่อนกลาด จึงกล่าวหาท่านความนั้นทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสว่าพระจักขุบาลไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นและตรัสว่าที่พระจักขุบาลกลายเป็นพระตาบอดนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนพระจักขุบาลเป็นหมอรักษาตาที่มีฝีมือยอดเยี่ยม

       ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปรักษาหญิงตามัวมองไม่ค่อยเห็นคนหนึ่งโดยหญิงนั้นรับรองจะให้ค่ารักษาด้วยวิธีจะยอมเป็นทาสีคอยรับใช้หมอทั้งแม่และลูกชายลูกสาวถ้าหมอรักษาให้หายได้พอหมอรักษาตาดีขึ้นจนจวนจะหายแล้วกลับกลัวที่จะเป็นคนรับใช้หมอทั้งครอบครัวเมื่อหมอมาถามอาการที่รักษาจึงโกหกว่า เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้าปวดน้อยเดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน หมอก็รู้ได้ทันทีว่า หญิงนี้ประสงค์ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร คงจะไม่ได้ค่าจ้างแน่ ๆเราจะต้องทำให้มันตาบอดเสียเดี๋ยวนี้ จึงไปถึงเรือนแล้วปรุงยาขนานหนึ่งเสร็จแล้วนำไปให้หญิงคนนั้นหยอดเมื่อนางหยอดยานั้นแล้ว ดวงตาทั้ง ๒ ข้าง ได้ดับวูบเหมือนเปลวไฟดับวูบไป

      ตามปกติแล้วพระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรม ทอดพระเนตรอุปนิสัยแห่งคุณมีสรณะศีลและบรรพชาเป็นต้นก่อนแล้วจึงทรงแสดงธรรมตามอำนาจอัธยาศัยความท่อนนี้บงชัดว่าสรณะและศีลของคนที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดนั้นต้องมีต้องเคยรักษาต้องเคยบำเพ็ญต่อเนื่องมาจากภพก่อนหรือภพที่ผ่านมานั่นก็ย่อมจะเป็นเครื่องยืนยันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้ามีจริงเพราะถ้าไม่มีชาติหน้า อุปนิสัยแห่งคุณคือ สรณะ ศีล และบรรพชาเป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรดูนั้นจะส่งผลถึงชาติต่อมาได้อย่างไร

       วันนั้น พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรอุปนิสัยของมหาบาลแล้วเมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงได้ตรัสเริ่มจากอนุปุพพีกถา คือ ทรงพรรณนาเรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะคือความออกจากกามหมายถึงการออกบวชเป็นพระนั่นเอง

           เมื่อมหาบาลได้สดับธรรมนั้นแล้ว  จึงคิดว่า  บุตรและธิดาก็ดีโภคสมบัติก็ดี  ย่อมไปตามผู้ไปสู่ปรโลกหาได้ไม่ แม้สรีระร่างกายก็ไปกับตัวไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน  เราจักบวช สรุปแล้วก็คือ ท่านก็ได้บวชสมใจปรารถนา

           เมื่อบวชแล้วก็ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยของพระ ๕ พรรษาแล้ว จึงเรียนเอาวิปัสสนากรรมฐานจนชำนาญแล้วชักชวนภิกษุเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปเพื่อบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐานได้ ๖๐ รูป เดินทางไปไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ จากเมืองสาวัตถี

       ท่านตั้งใจบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอย่างแรงกล้าโดยการถือธุดงค์ข้อเนสัชชิกังคะถือการไม่นอนเป็นวัตร คือตลอด ๓ เดือนในพรรษานั้น ท่านไม่นอนเลยจะอยู่ในอิริยาบถ ๓ ท่า คือ ยืน เดิน นั่ง เท่านั้นในท้ายที่สุดแล้ว เดือนที่ ๒ ก็มีปัญหาเรื่องสายตาเพราะทำความเพียรอย่างจริงจังตลอดคืนยันรุ่ง และไม่ยอมหยอดตาตามที่หมอบอก ที่สำคัญก็คือยาชนิดนั้นต้องนอนหยอดและหยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็สามารถรักษาโรคตาแบบนี้ได้ แต่นิสัยของอริยสาวกย่อมเป็นผู้เด็ดขาดในด้านการทำความเพียรเพื่อฆ่ากิเลสมากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยต่อสรีระร่างกายของตน พอเดือนสุดท้ายในพรรษาท่านก็ตาบอดสนิทพร้อมกับการดับสิ้นของกิเลสในช่วงมัชฌิมยามล่วงไปคือ หลังตี ๒ พระจักขุบาลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะพอออกพรรษาแล้วท่านก็กลับมาเมืองสาวัตถีครั้งแรกให้สามเณรปาลิตหลานท่านเป็นผู้นำทางและท้าวสักกะเป็นผู้รับช่วงนำทางต่อ จนถึงวัดพระเชตะวันเมืองสาวัตถี

พระพุทธเจ้าตรัสว่า หมอรักษาตาคนนั้นได้มาเกิดเป็นพระจักขุบาล  พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า

กรรมที่บุตรของเราคือพระจักขุบาลทำแล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลัง ๆ จริงอยู่  ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ย่อมตามผู้ทำไปเหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัทคือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า ตัวเข็นธุระคือลากเกวียนไปอยู่

       จากข้อความที่นำมากล่าวนี้เป็นอันยืนยันได้ว่า ชาติหน้ามีจริง เพราะว่าถ้าชาติหน้าไม่มีจริง หมอรักษาตาคนนั้นก็คงจะไม่มาเกิดใหม่เป็นพระจักขุบาลแล้วก็ตาบอดเพราะกรรมเก่าของตน เป็นแน่
       
นอกจากนั้นยังมีเรื่องอีกจำนวนมากที่มีปรากฏในชั้นพระไตรปิฎกซึ่งเป็นพระคัมภีร์ชั้นหนึ่งของพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงเรื่องปัจจุบันชาติและอดีตชาติของคนนั้นๆ ได้ทำกรรมชนิดต่าง ๆทั้งกรรมดีคือบุญทั้งกรรมชั่วคือบาปแล้วต้องมาเสวยกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดี
       แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อคราวที่ทรงเป็นพระโพธิ์สัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีในพระชาติต่าง ๆ นั้นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า มีชาติหน้าแน่นอน ถ้าชาติหน้าไม่มีพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้พระองค์ได้อย่างไรและพระบารมีของพระองค์จะเต็มได้อย่างไร

       จะอย่างไรก็ตาม ชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่สำคัญอยู่ตรงที่การกระทำของบุคคล ถ้าได้ประกอบกรรมดีอยู่เสมอ ๆ ก็อุ่นใจได้ว่า ชาตินี้ไม่ต้องเดือดร้อน ถ้าไม่มีชาติหน้าก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีชาติหน้าก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าตนเองจะไม่ต้องเดือดร้อนได้รับโทษทุกข์นานาประการ ในทางตรงกันข้ามถ้าได้ประกอบกรรมชั่วไว้ ก็เป็นที่แน่ใจได้เลยว่า
ต้องได้รับความทุกข์ในหลายรูปแบบ ถ้าชาติหน้าไม่มีก็เป็นกันแล้วไป แต่ถ้าชาติหน้ามีผลกรรมของของคน ๆ นั้น จะส่งผลเป็นทวีคูณ เป็นร้อยเท่าพันเท่า จะลำบากเดือดร้อนขนาดไหน เชิญท่านสาธุชนลองคิดดูก็แล้วกัน

ท่านนักศึกษาธรรมทั้งหลาย ด้วยเรื่องที่ยกมานี้เป็นเครื่องยืนยันว่า ชาติหน้ามีจริง ดังนั้นเรื่องชาติหน้ามีจริงหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธไม่น่าจะสงสัยต่อไปว่ามีหรือไม่มีอย่ามัวแต่ลังเลสงสัยแล้วไม่แน่ใจเรื่องทำความดีไม่ยอมเลิกสร้างความชั่วแล้วตัวท่านเองจะขาดทุนชีวิตสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งก็คือต้องรีบเร่งสร้างความดี สร้างบุญบารมี เพื่อชาติหน้าที่ดีกว่าปัจจุบันชาตินี้

 

ขอขอบพระคุณ  พระศรีรัชมงคลบัณฑิต อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา  ผู้เขียนบทความ

 

หมายเลขบันทึก: 215801เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 15:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 17:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท