หน้าแรก
สมาชิก
ปราชญ์ขยะ
สมุด
กาย ใจ จิต วิญญาณ
ลักษณะของใจ จิต แ...
ปราชญ์ขยะ
คุณสมถะ ... ...
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ลักษณะของใจ จิต และวิญญาณ
อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/
ลักษณะของใจ จิต และวิญญาณ
บรรดาสัตว์และมนุษย์ที่มีชีวิตทั้งหลายหมดทั้งสกลกายนั้น ย่อมประกอบด้วยธรรมชาติ ๒ ส่วนใหญ่ คือ ส่วนที่เป็น
ร่างกาย
ส่วนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่เป็น
รูปธรรม
กับส่วนที่เป็น
ใจ
ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็น
นามธรรม
เฉพาะส่วนที่เป็นร่างกายนั้น ทุกคนย่อมรู้จักกันดีโดยทั่วไป เพราะสามารถเห็น หรือสัมผัส แตะต้องได้ด้วยตาเนื้อหรือกายหยาบ แต่ส่วนที่เป็นใจนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเนื้อ หรือไม่อาจสัมผัสแตะต้องด้วยกายหยาบ จึงเข้าใจธรรมชาติส่วนที่เรียกว่า
ใจ
นี้ได้ไม่ง่ายนัก
“
ใจ
”
นั้น ประกอบด้วยธรรมชาติ ๔ อย่าง ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ต่างๆ กัน คือ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์
(
๑) เรียกว่า
เวทนา
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่จดจำ
หรือ
รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน
เรียกว่า
สัญญา
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่คิด
หรือที่เรียกว่า
“
จิต
”
นั้น เรียกว่า
สังขาร
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้
หรือ
รับรู้อารมณ์
เรียกว่า
วิญญาณ
เวทนา สัญญา สังขาร และ
วิญญาณ
ธรรมชาติทั้ง ๔ อย่างนี้เองที่รวมเรียกว่า
“
ใจ
”
และต่างก็ทำหน้าที่ต่างๆ กัน แต่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนแทบจะแยกไม่ออก ธรรมชาติทั้ง ๔ อย่างนี้ ก็มีชื่อเรียกต่างกันตามหน้าที่ของมัน
************************************************************************
(
๑)
“
อารมณ์
”
หมายถึง เครื่องยึดเหนี่ยวของจิตใจ
,
สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยว
,
สิ่งที่ถูกรู้หรือรับรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย) และ ธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกถึง นึกเห็น หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในใจ)
************************************************************************
ในญาณกถา ปฏิสัมภิทามรรค ได้กล่าวไว้ว่า
“
ยํ จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ ปณฺฑรํ มนายตนํ มนินฺทฺริยํ วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขนฺโธ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ
”
แปลความว่า
“
จิต
คือ
มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุ
อันสมควรแก่จิตนั้น
”
(
พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๑. ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
,
ข้อ ๔๑๒. หน้า ๒๘๗.)
และอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ได้อธิบายว่า
“
พึงทราบวินิจฉัยในตติยจตุกนิเทศ ดังต่อไปนี้. บทว่า
จิตฺตํ
เป็นมูลบท. บทว่า
วิญฺญาณํ
เป็นบทขยายความ. บทมีอาทิว่า
ยํ จิตฺตํ
จิตใจพึงประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปีติ. ในบทมีอาทิว่า
จิตฺตํ
นั้น ชื่อว่า
จิตฺตํ
เพราะวิจิตรด้วยจิต. ชื่อว่า
มโน
เพราะกำหนดรู้อารมณ์. บทว่า
มานสํ
คือ ใจนั่นเอง. ท่านกล่าวธรรมอันสัมปยุตแล้วว่า
มานโส
ในบทนี้ว่า
“
บ่วงใด มีใจเที่ยวไปในอากาศ
”
ดังนี้เป็นต้น. พระอรหัต ท่านกล่าวว่า
มานสํ
ในบทนี้ว่า
“
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัต ยังเป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงทำกาละเสียเล่า.
”
บทว่า
หทยํ
คือ จิต. อุระท่านกล่าวว่า หทัย ในบทมีอาทิว่า
“
เราจักทำจิตของท่านให้พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกอกของท่าน
”
.
ท่านกล่าวว่า จิต ในบทมีอาทิว่า
“
เห็นจะถากจิตจากจิตด้วยความรู้
”.
ท่านกล่าวหทยวัตถุในบทว่า ม้าม หทัย. แต่ในที่นี้ จิต ท่านกล่าวว่า หทัย เพราะอรรถกถาว่าอยู่ภายใน. จิตนั้นชื่อว่า
ปณฺฑรํ
(
ขาว) เพราะอรรถว่า บริสุทธิ์ ท่านกล่าวหมายถึง
ภวังคจิต
.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
“
ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร แต่จิตนั้นถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาจึงเศร้าหมอง
”...
อนึ่ง เพราะจิตมีลักษณะรู้อารมณ์ จึงไม่เป็นกิเลสด้วยความเศร้าหมองโดยสภาวะ เป็นจิตบริสุทธิ์ทีเดียว แต่เมื่อประกอบด้วยอุปกิเลส จิตจึงเศร้าหมอง แม้เพราะเหตุนั้น จึงควรเพื่อกล่าวว่า
ปัณฑระ
(
ขาวผ่อง). อนึ่ง การถือเอา
มโน
ในบทนี้ว่า
มโน มนายตนํ
เพื่อแสดงถึงความเป็นอายตนะของใจ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงแสดงถึงบทว่า
มนายตนะ
นี้ ว่ามิใช่ชื่อว่ามนายตนะ เพราะเป็นอายตนะของใจ ดุจเทวายตนะ(ที่อยู่ของเทวดา) ที่แท้ใจนั่นแหละเป็นอายตนะ จึงชื่อว่า
มนายตนะ
.
อรรถแห่งอายตนะท่านกล่าวไว้ในหนหลังแล้ว. ชื่อว่า
มโน
เพราะรู้ ความรู้แจ้ง. ส่วนพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ชื่อว่า
มโน
เพราะรู้แจ้งอารมณ์ ดุจตวงด้วยทะนานและดุจทรงชั่งด้วยเครื่องชั่งใหญ่. ชื่อว่า
อินฺทฺริยํ
เพราะทำประโยชน์ใหญ่ในลักษณะรู้. ใจนั่นแหละเป็นอินทรีย์ จึงชื่อว่า
มนินทรีย์
.
ชื่อว่า
วิญญาณํ
เพราะอรรถว่ารู้แจ้ง. วิญญาณนั้นเป็นขันธ์ จึงชื่อว่า
วิญญาณขันธ์.
ท่านกล่าวว่า ขันธ์งอกขึ้น. วิญญาณหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณขันธ์ ด้วยอรรถว่าเป็นกอง...
บทว่า
ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ
มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้นคือ มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่สัมปยุตตธรรมมีผัสสะเป็นต้นเหล่านั้น. จริงอยู่ในบทนี้ จิตดวงเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวโดย ๓ ชื่อ คือ ชื่อว่า
มโน
เพราะอรรถว่า นับ ชื่อว่า
วิญญาณ
เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง ชื่อว่า
ธาตุ
เพราะอรรถว่า เป็นภาวะ หรือเพราะอรรถว่า มิใช่สัตว์
”
(
พระมหานามเถระ
,
อรรถกถาขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ภาค ๒
,
โรงพิมพ์วิญญาณ
,
พ.ศ.๒๕๓๔. หน้า ๑๓๕-๑๓๗.)
************************************************************************
จากอรรถาธิบายนี้ หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว จะประจักษ์ชัดว่า
จิต
และ
วิญญาณ
นั้น เป็นธรรมชาติที่ทำหน้าที่ต่างกัน เช่นเดียวกันกับ
เวทนา
และ
สัญญา
หากแต่ว่า เมื่อจิตกระทำหน้าที่สัมพันธ์กันกับธรรมชาติใด ก็มีชื่อเรียกต่างๆ กันออกไปเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเท่านั้นเอง และพึงสังเกตว่า พฤติกรรมของจิตที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งนั้น ย่อมเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน โดยอัตโนมัติ จึงจะสมบูรณ์ เพราะลำพังแต่จิตอย่างเดียว หาได้ปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จด้วยตนเองไม่
ความข้อนี้จะเห็นได้ชัด เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมของธรรมชาติที่น้อมไปหาอารมณ์ในแต่ละขณะ เมื่อ
จิต
จะน้อมไปสู่อารมณ์ใดก็ตาม ย่อมกระทบกระเทือนถึงธรรมชาติอื่น ได้แก่ ธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์ คือ
เวทนา
๑
,
กระเทือนถึงธรรมชาติที่ทำหน้าที่จดจำหรือรวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน คือ
สัญญา
๑
,
และธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้ หรือรับรู้อารมณ์ ที่เรียกว่า
วิญญาณ
อีก ๑ ให้ทำหน้าที่พร้อมกันไปในตัวเสร็จ เป็นอัตโนมัติ
ธรรมชาติทั้ง ๔ อย่างนี้อุปมาดั่งข่ายของใยแมงมุม
ซึ่งไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบส่วนหนึ่งส่วนใดของข่ายนั้นให้กระเทือนแล้ว ส่วนอื่นๆ ย่อมได้รับความประทบกระเทือนถึงกันหมดทั้งข่ายนั้น ธรรมชาติที่น้อมไปหาอารมณ์และทำหน้าที่พร้อมกันหมดทั้ง ๔ นี้เองที่มีชื่อเรียกว่า
ใจ
หรือ
มโน
ขณะใดที่จิตน้อมเข้าสู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง พร้อมด้วยธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจ เป็นสุข หรืออารมณ์ที่ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ เป็นทุกข์
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์นั้น
เรียกว่า
“
มนัส
”
กล่าวคือ ถ้าพอใจ หรือเป็นสุขใจ ก็เรียกว่า
“
โสมนัส
”
ถ้าไม่พอใจ หรือเป็นทุกข์ใจ ก็เรียกว่า
“
โทมนัส
”
เป็นต้น และธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์ในเวลาจิตน้อมเข้าสู่อารมณ์ ซึ่งเรียกว่า
“
มนัส
”
นี้เอง ที่เรียกว่า
“
เวทนา
”
ส่วน
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน
หรือ
จดจำอารมณ์
เมื่อเวลาที่จิตน้อมเข้าสู่อารมณ์นั้น เรียกว่า
“
หทัย
”
หรือ
“
ดวงใจ
”
เรียกว่า
“
สัญญา
”
เฉพาะ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่คิดนั้น
เรียกว่า
“
จิต
”
และเพราะจิตทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ จึงเรียกว่า
“
สังขาร
”
เฉพาะ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้
หรือ
รับรู้อารมณ์
ในขณะที่จิตน้อมเข้าสู่อารมณ์นั้น เรียกว่า
“
วิญญาณ
”
กล่าวโดยย่อ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่ต่างๆ กัน แต่เกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด เป็นอัตโนมัติ
ได้แก่
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์
เรียกว่า
“
มนัส
”
หรือ
“
เวทนา
”
๑
,
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน
หรือ
จดจำอารมณ์
เรียกว่า
“
หทัย
”
หรือ
“
สัญญา
”
๑
,
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่คิด
เรียกว่า
“
จิต
”
หรือ
“
สังขาร
”
๑ และ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้หรือรับรู้อารมณ์
เรียกว่า
“
วิญญาณ
”
อีก ๑ ธรรมชาติทั้ง ๔ อย่างนี้ แม้จะมีหน้าที่ต่างกัน เวลาที่น้อมไปหาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ย่อมทำหน้าที่พร้อมกันหมดทั้ง ๔ จึงรวมเรียกว่า
“
มโน
”
หรือ
“
ใจ
”
นั่นเอง และ
แม้แต่จะหยุด จะนิ่ง อยู่ในอารมณ์เดียวเพียงใด ก็ย่อมหยุดย่อมนิ่งลงพร้อมกันเพียงนั้น
ใจ
หรือ
มโน
นี้เป็น นามธรรม ที่ต้องอาศัยรูป และเป็นอายตนะหรือเครื่องเชื่อมต่อ จึงเรียกว่า
มนายตนะ
เป็นธรรมชาติที่ครองความเป็นใหญ่ในการรู้ จึงเรียกว่า
มนินทรีย์
และเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่รับรู้อารมณ์ได้ จึงเรียกว่า
มโนวิญญาณธาตุ
แต่ถ้าจะแยกออกเป็นส่วนๆ แล้ว เรียกว่า
ขันธ์
มีอยู่ ๔ ส่วน คือ
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
และ
วิญญาณขันธ์
********************************************************************************************
รวบรวมข้อมูลจาก : หนังสือ "ทางมรรคผลนิพพาน" พระมหาเสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖
,
รป.ม. (เกียรตินิยมดี) มธ.
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ปราชญ์ขยะ
ใน
กาย ใจ จิต วิญญาณ
คำสำคัญ (Tags):
#ชมรมพัฒนาใจให้สว่างใส
#ปราชญ์ขยะ
#พุทธศาสนา
#อายตนะ
#ใจ จิต และวิญญาณ
หมายเลขบันทึก: 215947
เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 09:36 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 11:24 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ปราชญ์ขยะ
สมุด
กาย ใจ จิต วิญญาณ
ลักษณะของใจ จิต แ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท