รับปากกับอาจารย์หมอ นาย เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี ว่าจะเขียนเรื่องโรคประจำตัวให้ท่านวินิจฉัย แต่เมื่อคืนคอมฯ มีปัญหาจึงล่วงเลยมาถึงคืนนี้... ทุกคนเมื่ออายุสูงขึ้นก็มีโรคประจำตัว ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆ นั้น เคยศึกษาเรื่องการเกิดของโรคเหล่านั้น และมีวิธีการแก้อย่างไร แต่ในส่วนของผู้เขียนมีประวัติพอที่จะเล่า (หรือบ่น) ได้ดังนี้...
โรคประจำตัวแรกเริ่มต้นเมื่อผู้เขียนแรกบวช มีสาเหตุมาจากรัสปูติน... ว่ากันว่า รัสปูตินนักบวชกาลีแห่งรัสเซียนั้น ตอนเด็กๆ มักจะเพ่งดวงอาทิตย์ และนั่นคือบ่อเกิดแรกที่ทำให้เค้ามีอำนาจสะกดจิตผู้อื่นได้ในสมัยต่อมา... ผู้เขียนแรกบวชอ่านหนังสือเรื่องการฝึกกสิณผสมผสานกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับรัสปูติน ก็เลยเพ่งดวงอาทิตย์ตอนเช้าๆ... แบบว่ากลับจากบิณฑบาตเสร็จก็มาหัดเพ่งดวงอาทิตย์คอยเวลาฉันข้าว ฉันเสร็จแล้วก็มาเพ่งอีกยกหนึ่ง...ตอนบ่ายแก่ๆ หรือตอนเย็นก็มาเพ่งอีกยกหนึ่ง... ประมาณนี้
ผู้เขียนก็ทำอย่างนี้อยู่ประมาณเดือนหนึ่งน่าจะได้ (ยี่สิบกว่าปีแล้ว จำเวลาไม่ชัดเจน) จนวันหนึ่งรู้สึกปวดตาผิดปกติ จนกระทั้งต้องไปหาจักษุแพทย์... ผู้เขียนไปหาหมอเรื่อยๆ จนครั้งสุดท้ายหมอมอ. ไม่รับรักษา หลังจากผู้เขียนเล่าให้ท่านฟัง... นักเรียนหมอท่านหนึ่งอธิบายว่า ขอบนอกของตาดำได้ไหม้เล็กน้อย แต่ดีที่ตายังไม่บอด... และมันจะปรับตัวไปเองตามธรรมชาติ แต่ก็จะไม่เหมือนเดิม...
โรคประจำตัวจากสาเหตุนี้ก็คือ สมัยก่อนผู้เขียนจะแพ้แสง โดนแสงกระทบตา บางครั้งก็ปวดตาปวดศรีษะอยู่ ๒-๓ วัน... แต่เดียวนี้ อาการอย่างว่าเกือบจะไม่มีแล้ว... สิ่งที่ติดตัวมาก็คือ จุดที่ผู้เขียนเพ่ง (โฟกัส) จะเป็นดวงเล็กๆ คล้ายๆ ดวงอาทิตย์ แม้หลับตาก็ยังคงเห็นเหมือนเดิม... ผู้เขียนจะเห็นตลอดตราบเท่าที่ใจนึกถึง... มองไกลไปสัก ๑๐-๒๐ เมตรขึ้นไป ผู้เขียนจะจำหน้าคนที่ถูกมองไม่ได้ เพราะเห็นดวงหน้าของเขาเป็นเงากลมๆ ดำๆ คล้ายๆ ดวงอาทิตย์...
ส่วนดีของสิ่งนี้อาจมีอยู่บ้าง กล่าวคือ เวลาผู้เขียนนั่งหรือนอนสมาธิ หลับตาแล้วเพ่งไปยังดวง (อาทิตย์) กลมๆ นี้... สามารถให้มันขยายออกไปเป็นรัสมี หรือบางครั้งก็จากขยายก็ให้มันรวมกันเป็นจุดเดียวได้... ผู้เขียนได้สิ่งนี้มาบางครั้งก็รู้สึกพูมใจว่ามีอะไรที่พิเศษ... แต่บางครั้งก็ทรมานยามปวดตา บางครั้งก็อ่านหนังสือไม่ได้เลย... เจ้าดวงอาทิตย์ส่วนตัวกลมๆ นี้ ผู้เขียนคงจะพาตายไปแน่นอน...
.......
ผู้เขียนเคยเล่าไว้บ้างแล้วว่าเคยเดินแบกกรดจากเชียงใหม ผ่าน อ.แม่ริม อ.แม่แตง แล้วพอถึงสามแยกแม่มาลัยก็เลี้ยวไป อ.ปาย แม่ฮ่องสอน... ผู้เขียนไม่สวมรองเท้า และเหยียบเอาเศษแก้วแถวแม่ริม แม้จะพยายามเขี่ยออกแต่ก็มีชิ้นหนึ่งฝังลึกอยู่ในเนื้อทำให้ผู้เขียนต้องเขย่งเท้าไปเรื่อยๆ...
เมื่อไปถึงปายก็พักอยู่ที่วัดแพมกลางและเข้าไปเที่ยววัดแพมบกซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่า... เพราะเหตุว่าเดินเขย่งมาหลายวัน และเดินขึ้นเขาลงเขาทำให้ผู้เขียนรู้สึกเส้นขัด ขณะที่เดินไปวัดแพมบกนั้น (ไปกับพี่เณร คืออายุมากกว่าผู้เขียนแต่ยังเป็นเณร) ผู้เขียนก็รู้สึกเส้นขัดเดินไม่ได้เป็นครั้งแรก หลังจากบีบๆ สะบัดเท้าครู่หนึ่งก็ไปได้...
เส้นขาของผู้เขียนก็เสียมาตั้งแต่นั้นจนกระทั้งบัดนี้ เวลาเดินผู้เขียนจะรู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างไม่เท่ากัน (นี้เป็นประจำ)... บางครั้งก็รู้สึกเมื่อยขาข้างใดข้างหนึ่ง คงจะเลือดลมไม่ดี (สังเกตว่าสาเหตุุเริ่มต้นเพราะท้องผูก)... ส่วนการเดินไม่ได้นั้น ยังคงกำเริบนานๆ ครั้ง บางปีก็ไม่เป็นเลย เพียงแต่การกำเริบนั้น ไม่แน่นอน ผู้เขียนเคยนั่งริมทางเท้าบีบขาตนเอง ลุกขึ้นสะบัดๆ เพื่อจะเดินได้ต่อไปก็หลายครั้ง...
บางครั้งผู้เขียนบิณฑบาต แล้วเกิดกำเริบตอนบิณฑบาตนั้น น่าอนาถสุดๆ จะนั่งก็ไม่ได้ จะบีบขาไปพรา็งมือก็ไม่ว่าง... ต้องค่อยๆ ก้าวไปที่ละนิดๆ... โรคนี้กลายเป็นข้ออ้างอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนไม่ค่อยบิณฑบาต... บางครั้งหยุดบิณฑบาตหลายวัน พอเริ่มบิณฑฯ วันที่สองก็กำเริบมาดื้อๆ รู้สึกเศร้าใจในวาสนาตนเองเหลือเกิน ก็เลยหยุดต่ออีกเดือน... กลายเป็นข้ออ้างที่ก่อให้เกิดความขี้เกียจเหลวไหลเป็นธรรมดาสำหรับผู้เขียน...
เดียวนี้ แม้บิณฑบาตบ้าง ผู้เขียนก็ไม่กล้าบิณบาตไกลๆ เพราะสาเหตุนี้... และโรคเส้นไม่ปกติ ขาทั้งสองยาวไม่เท่ากันนี้ ผู้เขียนก็คงจะพาตายเช่นเดียวกัน....
.........
ประมาณปี ๒๕๓๖-๗ ผู้เขียนอยู่กรุงเทพฯ... เช้าๆ นั่งรถเมล์ไปเรียนบาลีวัดชนะสงคราม.. เช้าวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมา ผู้เขียนรู้สึกหายใจขัด มือเท้าสั่นๆ ไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ฝืนไปเรียน บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร... แต่พอบ่ายๆ รู้สึกค่อยทุเลา ความคิดที่ไปหาหมอก็ล้มเลิก... ตอนเช้าก็เป็นอย่างนี้อีก เป็นอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่งก็เลือนหายไป... ต่อมาอีกหลายเดือนก็เป็นอีก... ซึ่งผู้เขียนเพิ่งรู้ตอนหลังว่า อย่างนี้เค้าเรียกว่า แพ้อากาศ ...
ผู้เขียนแพ้อากาศมาตลอด และค่อยๆ หนักและถี่ขึ้น แต่ก็ไม่เคยฉันยาเพราะโรคแพ้อากาสนี้เลย... จนกระทั้ง ๔-๕ ปีก่อน มีปรากฎการณ์ใหม่เกิดขึ้น กล่าวคือบางช่วง ตอนใกล้ๆ รุ่ง ผู้เขียนนอนหลับอยู่ รู้สึกหายใจขาดเป็นห้วงๆ คล้ายๆ จะขาดใจตาย (จริงๆ)... ตอนเช้าก็หมดเรี่ยวแรง นอนต่อ ข้าวปลาอาหารก็ไม่หิว... พระใหม่บางรูปจึงไปคุยเกินความจริงว่า ผู้เขียนฉันกล้วยน้ำว้าสองลูกก็อยู่ได้แล้ววันหนึ่ง... ประมาณนี้
ถ้าเป็นอย่างนี้ ผู้เขียนมักจะมานั่งกลางแดด เพราะจะรู้สึกทุเลาขึ้น และตอนเย็นๆ ใกล้ๆ ค่ำก็สามารถกระทำอะไรได้ตามปกติ... แต่พอหลับไปตื่นหนึ่งใกล้รุ่ง ก็จะเป็นอย่างนี้อีก... การเป็นโรคทำนองนี้ ทำให้ผู้เขียนเบื่อชีวิต อยากตายให้พ้นๆ... ขณะที่หมดเรี่ยวแรงหมดพลังชีวิตทำนองนี้ ถ้ามีใครมากวนในเรื่องที่ไม่สบอารมณ์ ก็จะเกิดโทสะแรงกล้า... ผู้เขียนเคยตวาดใครต่อใครตอนเป็นอย่างนี้ทำนองนี้มาหลายคนแล้ว...
ผู้เขียนเป็นอย่างนี้มาหลายปี ตั้งแต่เล็กน้อยและค่อยๆ หนักขึ้นจนสุดๆ... จนกระทั้งใกล้รุ่ง เมื่อราวสามปีก่อน ขณะหลับอยู่ พอรู้สึกหายใจขัดแน่นหน้าอก ผู้เขียนมีพลังอะไรก็ไม่ทราบ รีบลุกขึ้นจากที่นอน ออกมาเดินท่องสวดมนต์บ้าง ชกลมบ้างตามประสา แล้วก็ชงกาแฟฉัน... ปรากฎว่า ตอนเช้าวันนั้น ผู้เขียนก็หายเกือบเป็นปกติ ไม่ได้หมดเรี่ยวแรงดังเช่นครั้งก่อนๆ...
ครั้งต่อมา เมื่อมีอาการทำนองนี้อีกยามใกล้รุ่ง ผู้เขียนจะรีบลุกขึ้น มาเดินเล่น ออกกำลังกายในวัด สวดมนต์... ผู้เขียนทำอย่างนี้เมื่อมีอาการทำนองนี้อยู่ไม่ถึงสิบครั้ง อาการแพ้อากาศ รู้สึกใกล้ตายตอนใกล้รุ่งก็หายไปจากผู้เขียน ไม่เคยเป็นอีกเลย...
..........
มาปีที่แล้วนี้ อาการแพ้อากาศก็มีชนิดใหม่อีก กล่าวคือ ถ้าฝนตก ผู้เขียนจะนอนไม่หลับ... ตั้งแต่เกิดมา ในยามฝนตก เราจะนอนหลับสุขสบายดี แต่ปีที่แล้วนี้เอง ถ้ากลางวันฝนตกห่าใหญ่ อากาศชื้น กลางคืนผู้เขียนจะนอนไม่หลับ รู้สึกเย็นๆ ยังไงไม่รู้... เมื่อก่อนอยู่ปักษ์ใต้บ้านเรา ผู้เขียนห่มจีวรผืนเดียวนอนหลับสบาย ปีที่แล้ว ผืนเดียวไม่อยู่ นอนไม่หลับ เพิ่มเป็น ๒-๓ ผืน แต่ถ้าอากาศชื้นมากก็นอนไม่หลับ จึงให้น้องซื้อผ้าห่มมาให้อีกผืน....
สรุปว่า ตอนนี้ ผู้เขียนกลัวฝน เพราะถ้าฝนตกนอนไม่หลับเลย จะรู้สึกทุกข์ทรมานมาก กว่าจะหลับได้ก็เริ่มสว่างแล้ว... (ปกติผู้เขียนจะไม่นอนเล่น ถ้าเอนหลังแล้วไม่เกินครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่หลับก็จะลุกขึ้น มาทำโน้นทำนี้ รออีก ๒-๓ ชั่วโมงค่อยนอนอีกครั้ง)
ฝนตกแล้วนอนไม่หลับนี้ ผู้เขียนทรมานมาก ยังหาวิธีการแก้ไม่เจอ... ถ้าไม่มีธุระ ผู้เขียนก็อาจไม่จำวัดได้ทั้งคืน เช้าตรู่ก็ออกบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จก็จำวัดนอนหลับสบาย... แต่ถ้ามีธุระจำเป็นต้องไปตอนเช้า นี้คือปัญหาที่จะต้องนอนสักเล็กน้อย... เมื่อนอนไม่หลับในเวลาใกล้ตีห้าแล้ว และ้ต้องไปธุระตอนสองโมงเช้านี้ เป็นช่วงชีวิตที่ทุกข์ทรมานมากในการฝืนนอนโดยไม่หลับนี้...
ยังมีอีกหลายโรค ค่อยมาบ่นอีก แต่ช่วงนี้ โรคกลัวฝน นี้แหละ ที่ผู้เขียนกลัวที่สุด...
กราบนมัสการพระอาจารย์ โรคกลัวฝนหรือโรคกลัวน้ำ ทำไม่ต้องกลัวเพราะอยู่ทางบ้านผมฝนไม่ตกเลยเพราะข้าวไม่มีน้ำ
แล้วทำไมต้องกลัวน้ำชอบอีก
นมัสการค่ะ
จริงๆแล้ว บางอาการของท่านก็หายได้เองนะคะ ยกเว้นอาการแพ้อากาศ ยังเป็นอยู่
ทำให้นึกถึงเรื่องของดิฉันค่ะ
ปกติเป็นคนสุขภาพดี ไม่ค่อยทานยา ใช้วิธีพักผ่อนและทำจิตใจให้สบายๆ ทำสมาธิบ้าง อาการจะดีขึ้น
และส่วนใหญ่ อาการป่วยมักเกิดจากการที่ร่างกายเกิดความไม่สมดุลย์มากที่สุดค่ะ และมักจะหายเอง เมื่อร่างกายสามารถปรับตัวได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง นะคะ
ชอบอ่านบันทึกที่ท่านเขียนค่ะ
กราบ 3 หนค่ะ
กราบ นมัสการพระคุณเจ้า
โยมเป็นผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพคน แต่บางครั้งยาทั้งหมดในโลกนี้ ก็ไม่อาจรักษา คนไข้ของโยมให้หายได้เลย โยมเลยคิดว่าความเจ็บไข้ของคนเรานั้นมีหลายสาเหตุ โดยเฉพาะสาเหตที่เรียกว่า กฎแห่งกรรม ทีมาส่งผลให้ให้คนไข้ของโยมไม่หาย แต่ได้ใช้ธรรมโอสถรักษา เช่น การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่เราล่วงเกิน การปล่อยชีวิตสัตว์ ที่กำลังอยู่ในภาวะอันตรายเช่นกำลังจะถูกฆ่า หรือจะไม่รอดอยู่แล้ว ซึ่งก็ทำให้คนไข้ของโยม มีอาการดีขึ้นบ้าง แต่สำหรับพระคุณเจ้า มีบุญมากและจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง เจ้าค่ะ
กราบนมัสการ
ประเด็นที่่คุณโยมว่า อาตมาก็เข้าใจ และเห็นใจ...
น้ำตามความเหมาะสมแห่งปริมาณและเวลา คือ สิ่งที่พึงต้องการของเกษตรกรทั่วไป...
แต่ เมื่อฝนตก ๑๐ วันติตต่อกัน ... อาตมากลางคืนเกือบไม่ได้นอนเลยทั้ง ๑๐ คืน... ถ้าไม่นอนตีห้ากว่าๆ ก็ไปนอนตี ๗ หลังฉันเช้า... นับว่าเป็นความทรมานแห่งร่างกายและจิตใจเหลือเกิน....
ก็เล่าสู่กันฟัง (อ่าน) เท่านั้น ... เกษตรกรต้องปรับปรุงพืชผักให้เหมาะสมกับฝนฉันใด... อาตมาก็ต้องคงปรับปรุงร่างกายและจิตใจให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับความร้อนความหนาวฉันนั้น...
เจริญพร
เห็นด้วยกับคุณโยม รู้สึกว่าจะมีศัพท์ว่า่ กัมมชโรค คือ โรคที่เกิดจากกรรม...
เคยเรียนเภสัชกรรมและเวชกรรมโบราณมาเล็กน้อย... ท่านว่า โรคมีอยู่ ๓ จำพวก กล่าวคือ
และต้องพิเคราะห์เฉพาะบุคลอีก... โรคบางอย่างเช่น โรคกลากเกลื้อน บางคนน้ำก็ไม่ค่อยอาบ เป็นอยู่ค่อนข้างสกปรก... แต่เค้าก็ไม่ค่อยที่จะเป็นโรคทำนองนี้... เป็นกลากเกลื้อนไม่นาน แม้ไม่รักษา พอเค้าขยันอาบน้ำ ซักเสื้อผ้าบ่อยๆ ไม่นานก็หายไปเอง...
แต่บางคนรักษาไม่หาย แม้จะรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า ใช้ครีมใช้ยา หรือฉีดยาเป็นบางครั้ง... แต่รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เผลอนิดเดียว เจ้ากลากเกลื้อนก็ขึ้นมาเต็มอีกแล้ว...
โรคเกิดแต่กรรม เราอาจมองไม่เห็น แต่พื้นฐานจิตใจของคนที่อาจเป็นสาเหตุของโรคนั้นๆ บางครั้งเราก็พอสังเกตและคาดเดาได้...
อนุโมทนาที่คุณโยมบอกว่า มีบุญ... แต่อาตมาว่า มีเวรมีกรรม มากกว่า เพราะต้องปรับตัว และคอยตั้งรับโรคาพยาธิเหล่านี้อยู่ตลอด....
เจริญพร
นมัสการพระอาจารย์
ก็เล่าให้อาจารย์และญาติธรรมในโกทูโนอ่านกันเล่นๆ... ยังมีอีก ๒-๓ โรค ค่อยเล่าตอนสอง... ยาวเกินไป เกรงญาติธรรมจะขี้เกียจอ่าน (เอาตัวเองเป็นเครื่องเปรียบ ไม่ชอบอ่านบันทึกยาวๆ)...
อาตมาก็แก้ปัญหาแล้วด้วยการเพิ่มผ้าห่ม... แม้จะรู้สึกดีขึ้น แต่คิดว่า เพราะอากาศชื้นมากกว่า เย็นจัดหรือหนาว เพราะอาตมาก็เคยอยู่ภาคเหนือหลายปี อาการจะผิดกันกับอากาศเย็นจัดหรือหนาว...
ไม่เป็นไรอาจารย์หมอ อาตมาทนอีกไม่กิ่ปีแล้วก็จะพาไปด้วย เพราะเราตายมันก็ตาย (.....)
เจริญพร
กราบนมัสการหลวงพี่ BM.chaiwut
แวะมาอ่านบันทึกแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนข้อความค่ะ..รู้สึกว่าหลวงพี่มีโรคประจำตัวเยอะทีเดียวค่ะ แล้วก็พอเข้าใจความทรมานที่นอนไม่ได้หากฝนตก แม้ว่าตัวเองจะไม่เคยมีประสบการณ์ก็ตามค่ะ..
สำหรับตัวเองหากป่วยจะพยายาม "ดู" อาการและกินยาตามสมควรค่ะ ยอมรับเลยว่าหากป่วยหนักๆ แล้ว จิตแกว่งมากๆ เลยค่ะ
ช่วงหลังนี้ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังขารตัวเองชัดเจนมากขึ้นค่ะ อ่อนแอขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่หลวงพี่ว่าไว้เลยค่ะ
เมื่อวานตอนกลางวัน (เย็นๆ) ฝนก็ตกหนักอีก... พอตอนกลางคืนรู้สึกว่าจะำทำอะไรก็กระทบกระทั้งใจไปหมด จึง stand by เครื่องไว้แล้วก็เอนหลังไปพักหนึ่ง... รู้สึกตัวอีกครั้ง (คงจะเลยเที่ยงคืน) จึงมาเปิดเครื่องเพื่อจะปิดเครื่อง... ก็เห็นอาจารย์เข้ามาเยี่ยมแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เพียงเพิ่งมาตอบตอนเช้าเท่านั้น...
เมื่อคืนนอนก็เหมือนคืนอื่นๆ ในวันฝนตก คือนอนไม่หลับ... แต่อาตมาก็ ทนนอน คล้ายๆ จะกึ่งฝันกึ่งตื่น สะดุ้งตื่นรู้สึกตัวเป็นระยะ .... และแน่นหน้าอก ปวดใจ คล้ายๆ มีอะไรกดทับ...
เพิ่งลุกขึ้นมาประมาณ เก้าโมงเช้า ล้างหน้า ชงกาแฟ แล้วมาเปิดเครื่องตอบอาจารย์อยู่นี้ และขณะนี้ก็มีน้ำมูกด้วย...
ก็บ่นให้อาจารย์อ่านเล่นๆ ... แต่ก็ไม่เป็นไร พอบ่ายๆ อาการก็เป็นปกติไม่มีอะไร... (ยกเว้นตอนเย็นฝนตกอีก กลางคืนก็จะเป็นอีก)
นึกถึงสุภาษิตของภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่งบอกว่า
พี่หลวงจัดห้องให้โปร่ง คิดว่าน่าจะช่วยได้มากครับ
ปลงเหมือนกัน ป่วยทั้งบ้านเลย
ชั้นวางหนังสือนะ ตัวปัญหา จะทำใหม่เอาแบบเหล็กเลย
แล้วค่อยจัดห้องใหม่...
เจริญพร