วันนี้... (วันพระ)
ได้นำศีลข้อห้ามาเป็นหัวเรื่องในการแสดงธรรม
โดยเริ่มต้นจากการแปลคำสมาทานศีลว่า...
- สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา เวรมณีสิกฺขาปทํ
สมาทิยามิ
- ข้าพเจ้าขอรับเอาซึ่งหัวข้อในการศึกษาเจตนาเป็นเครื่องเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ในบรรดาศีลห้านั้น ศีลข้อนี้ต่างจากข้ออื่น กล่าวคือ
ศีลสี่ข้อแรกนั้น จะไม่มีคำว่า เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
กำกับอยู่ ซึ่งประเด็นนี้อาจอธิบายโดยรวบรัดได้ว่า
ศีลสี่ข้อแรกประสงค์ให้งดเว้นอย่างเด็ดขาด ขณะที่ศีลข้อนี้
อาจดื่มได้เพื่อเป็นยาเป็นต้นในบางกรณี
แต่ต้องตระหนักว่ามิได้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่โบราณาจารย์แนะนำว่า
การไม่ดื่มเลยน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการดื่มโดยตระหนักว่าจะไม่ประมาท...
ต่อจากนั้น ได้อธิบายศัพท์ว่า มัชชะ แปลว่าน้ำเมา
ซึ่งได้แก่ สุรา หมายถึงเหล้ากลั่น และ
เมรัย หมายถึงเหล้าหมัก แต่ปัจจุบันคำว่า
มัชชะ อาจรวมเอาของมึนเมาหรือยาเสพติดทุกชนิด...
ประเด็นนี้ ผู้เขียนเคยขยายความไว้แล้ว ผู้สนใจ (คลิกที่นี้)
ต่อจากนั้น ได้นำประวัติสุราในกุมภชาดกมาเล่าเป็นเรื่องเสริม
ซึ่งมีความยาวพอสมควร สรุปว่านาย สุระ
พรานป่าเป็นผู้ค้นพบจึงได้ชื่อว่า สุรา ...
และพระเจ้าสรรพมิตรมีราชโองการสั่งห้ามการผลิตสุรา ซึ่งคำว่า
สรรพมิตร นี้เอง คือที่มาของคำว่า
กรมสรรพสามิต
ที่ควบคุมเรื่องการผลิตสุราในยุคปัจจุบัน...
ผู้สนใจอ่านกุมภชาดกทั้งหมด (คลิกที่นี้)
ต่อจากนั้นก็ได้ประมวลมาถึงองค์ประกอบของการผิดศีลข้อนี้
ซึ่งมีหลายนัย กล่าวคือ สำหรับฆราวาสคือชาวบ้าน จะประกอบด้วยองค์ ๔
ดังนี้
- น้ำเมา
- จิตคิดจะดื่ม
- ความพยายามในการดื่ม
- น้ำเมาไหลลงสู่ลำคอ
ในประเด็นนี้นั้น
ให้ถือเอาเจตนาคือความที่จิตคิดจะดื่มเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ถ้าขาดองค์ประกอบข้อนี้แล้ว การดื่มก็จะเป็นไปไม่ได้
หรือถ้ามีการดื่มโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นั่นคือไม่มีเจตนาในเบื้องต้นแล้วก็ไม่ถือว่าผิดศีลข้อนี้....
ส่วนพระภิกษุ
มีวินัยห้ามไว้ในพระปาฏิโมกข์ว่า สุราเมรยปาเน
ปาจิตฺติยํ เป็นอาบัติปาจิตตีย์
ในเพราะการดื่มสุราเมรัย ซึ่งประเด็นนี้วินัยบอกว่า
ประกอบด้วยองค์ ๒ เท่านั้น คือ
นั่นคือ สำหรับพระภิกษุ
จะรู้ตัวหรือมีเจตนาในการดื่มเบื้องต้นหรือไม่ก็ตาม
แม้สุราเมรัยล่วงผ่านลำคอก็จัดว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์แล้ว
(ศัพท์วินัยเรียกว่า อจิตตกะ นั่นคือ
ไม่ขึ้นอยู่กับเจตนา)
อนึ่ง สำหรับสามเณรก็ต่างไปอีก
คัมภีร์บอกว่ามีองค์ ๔ เหมือนกับชาวบ้าน ดังนั้น
สามเณรรู้ตัวและมีจิตคิดจะดื่มในเบื้องต้นแล้วดื่มเข้าไป จึงจะผิดศีล
นั่นคือ ถ้าสามเณรไม่รู้ตัวหรือไม่มีเจตนาในเบื้องต้น ดื่มเข้าไป
ก็ไม่จัดว่าผิดศีล (ศัพท์วินัยเรียกว่า สจิตตกะ
นั่นคือ ขึ้นอยู่กับเจตนา)... และวินัยยังเพิ่มเติมอีกว่า
สำหรับสามเณร ศีลข้อนี้ จัดเป็นวัตถุแห่งปาราชิก นั่นคือ
สามเณรใดมีเจตนาดื่มเข้าไป
ถือว่าเป็นผู้พ่ายแพ้และขาดจากความเป็นสามเณร...
ก่อนจะจบพระธรรมเทศนาวันนี้
ก็ได้ยกโทษแห่งการดื่มสุราในกุมภชาดกมานิดหน่อยพอเป็นตัวอย่าง
ซึ่งโทษทั้งหมดนี้ ผู้เขียนได้ลอกมาไว้ ผู้สนใจ (คลิกที่นี้)
ในบรรดาศีลห้านี้
ความต่างกันระหว่างศีลสี่ข้อแรก กับศีลข้อสุดท้ายคือข้อสุราฯ นี้
มีหลายนัย ซึ่งผู้เขียนก็ทิ้งท้ายว่า
จะยกยอดไปแสดงในวันพระต่อไป....