80 / 20
"หลักการพาเรโต" ตั้งขึ้นในปี 1895 ชื่อนี้ตั้งขึ้นตามชื่อผู้สร้างกฎ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ "วิลเฟรโด พาเรโต "
.
กฎดังกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่สำคัญหรือมีประโยชน์จะมีอยู่เป็นจำนวนที่น้อยกว่าสิ่งที่ไม่สำคัญหรือไม่มีประโยชน์ซึ่งมีจำนวนที่มากกว่า (Vital few and trivial many) ในอัตราส่วน 20 ต่อ 80 หรือที่เรียกกันว่ากฎ 80/20 ของพาเรโตนั่นเอง
1.ความหมายของกฎ 80/20
กฎ 80/20 หมายความว่า สิ่งที่สำคัญจะมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่ไม่สำคัญอีก 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นกฏที่แสดงถึงความไม่สมดุล ที่สามารถพบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวัน และในระดับมหาภาค เช่น ....
2.การนำกฎ 80/20ไปใช้ในการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หากเราพบว่า สิ่งไหนให้ประโยชน์สูง ก็ควรเน้นส่งเสริมสิ่งนั้น หรือในทางตรงกันข้ามกันให้เพิ่มประสิทธิผล ของสิ่งจำนวนมากที่เหลือให้ขยายรากฐานกว้างขึ้น เช่นการมุ่งเน้นส่งเสริมเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้เข้มแข็ง
3.การนำกฎ 80/20ไปใช้อย่างมีคุณธรรมจริยธรรม
4.การนำกฎ 80/20ไปใช้ในการบริหารชีวิตและเวลา
หากทำบัญชีรายจ่ายส่วนตัวของเรา จะพบว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ 80เปอร์เซนต์ จะอยู่ในกลุ่มรายการข้อรายจ่ายเพียง 20เปอร์เซนต์ ของรายการทั้งหมด กลุ่มรายการเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่รับประทานไม่ได้ หากรับประทานไปก็จะเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น รายการของ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์,บุหรี่,ค่าเติมเงินมือถือสำหรับคุยไร้สาระ ค่าเสื้อผ้าแฟร์ชั่น และค่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ที่คนส่วนใหญ่หลงคิดไปว่า ใช้เงินสำหรับซื้อความสุข ซึ่งความสุขที่ได้ซื้อมานั้น จะสุขแบบชั่วครั้งชั่วคราว สุกๆดิบๆ ไม่สุขจริง และเมื่อหมดสุข ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อซื้อหาความสุขใหม่เปรียบได้กับการเป็นทาสของกิเลสตัณหา มีความสุขจอมปลอมเป็นสารเสพติด บังคับให้ผู้เสพต้องดิ้นรนไขว่คว้าเงินตราไปซื้อหาอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากควบคุมรายการรายจ่ายจำนวน 20เปอร์เซนต์นี้ได้ ด้วยการชนะใจตนเอง จะทำให้ลดรายจ่ายส่วนมากที่มีปริมาณถึง 80เปอร์เซนต์
เราควรให้ความสำคัญของการใช้เวลาในการทำงานประจำวันของเราว่า เวลา80เปอร์เซนต์ที่คุณใช้ไป ให้คุณค่าหรือผลงาน 20เปอร์เซนต์ที่มีคุณภาพที่สุดออกมาหรือยัง งานแต่ละอย่างอาจใช้เวลาเท่ากันในการทำให้สำเร็จ แต่จะมีอยู่ 1 - 2 งาน เท่านั้น ที่จะให้คุณค่ามากเป็น 5 เท่า หรือ 10 เท่าของงานอื่น
หากคุณเป็นคนผลัดวันประกันพรุ่งในงาน 1-2 ชิ้นนั้น คุณก็จะกลายเป็นคนที่ยุ่งตลอดวัน โดยทำงานได้สำเร็จน้อยมาก คุณกำลังทำงานที่มีคุณค่าต่ำ และผัดวันประกันพรุ่งในงานสำคัญอยู่หรือเปล่า ใช่แล้ว.....งานสำคัญของคุณคือ การสะสมทรัพย์ภายใน หาใช่ทรัพย์ภายนอกไม่
5.กฎ 80/20เศรษฐจริยธรรม
ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่า ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ตายไปก็เอาไม่ได้ มีเพียงความดีความชั่ว หรือที่เรียกว่ากรรมเท่านั้นที่ติดตัวไป แต่เรากลับใช้เวลาทั้งชีวิตของเรามากกว่า 80 เปอร์เซนต์ไปทุ่มเทให้กับสมบัตินอกตัว โลภในสิ่งที่ว่างเปล่า ดิ้นรนไข่วคว้าอากาศธาตุ กิเลสตัณหาและวัตถุนิยมเข้าครอบงำจิตใจ สังคมเราบ้านเมืองเราจึงเข้าขั้นวิกฤติอย่างที่เห็น
เรามาประยุกต์กฎ 80/20 แล้วนำมาใช้เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ขึ้นดีไหม
5.1 หลักการของเศรษฐจริยธรรม
80เปอร์เซนต์ ของกำไรทั้งหมด จะถูกนำไปใช้เพื่อสังคมและส่วนรวม 20เปอร์เซนต์ ของกำไรที่เหลือจึงค่อยเป็นรางวัลให้กับตนเอง
80เปอร์เซนต์ จะแบ่งเป็น 40+40 40แรก เพื่อการลงทุนเพิ่มในกิจการหรือธุรกิจ 40 ที่เหลือ หากเป็นธุรกิจ SME 15เปอร์เซนต์จะเป็นภาษีที่ต้องจ่าย ที่เหลืออีก 25เปอร์เซนต์ จะเป็นเงินบริจาคเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์
สัดส่วน 80/20 นี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนบุคคลที่ขึ้นอยู่ว่าจะเต็มใจและพอใจในการบริหารจัดการส่วนของการตอบแทนสังคมมากหรือน้อยเท่าใด อย่างน้อยที่สุดเราก็จะมีนักธุรกิจสายพันธ์ใหม่ที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคมเพื่อภาพลักษณ์ขององกรค์แบบบังหน้าเท่านั้น แต่เป็นธุรกิจที่ตั้งใจเกิดเพื่อสังคมโดยแท้
5.2 การประยุกต์ใช้เศรษฐจริยธรรม กับหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง คือการนำหลักธรรมะข้อ เดินสายกลาง มาประยุกต์ใช้กับชีวิต ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามาถ ทรงนำธรรมะมาประยุกต์ใช้ได้อย่างลงตัวกับการดำเนินเศรษฐกิจ ทรงเป็นแบบอย่างของพ่อที่ดีให้กับลูกของพระองค์ทั้งประเทศ
พอเพียร พอเพียง พอดี คือหลักธรรมข้อ เดินสายกลาง เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วด้วยปัญญา ผสมผสาน พัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของตน ใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นแก่การดำรงค์ชีวิต ไม่ตกเป็นเหยื่อโฆษณา ไม่เป็นทาสทางวัตถุ ไม่ตามกระแส ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ประมาท ไม่สร้างหนี้สิน สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพ เป็นการพัฒนาแล้วที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
หากธุรกิจทุกๆธุรกิจของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็น SMEs หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ประยุกต์ใช้กฏ 80/20 ตามเศรษฐศาสตร์จริยธรรมนี้แล้ว แม้นักธุรกิจไทยจำนวนเพียงไม่ถึง 20เปอร์เซนต์ต่างมีจิตสำนึกที่จะใช้หลักเศรษฐจริยธรรมนี้ ประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรืองแบบก้าวกระโดดมากกว่า 80เปอร์เซนต์แน่นอน ชาติไทย จะกลายเป็นประเทศที่มี GHP(Gross Happiness Product)และ GNP(Gross National Happiness) ความสุขมวลรวมประชาชาติสูงที่สุด และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งด้านจิตใจและวัตถุที่แท้จริง
แนวความคิดเศรษฐจริยธรรมนี้ แม้จะไม่มีใครเห็นด้วยหรือปฏิบัติตามเลย แต่ที่แน่ๆคือ ผู้เขียนขอสัญญาว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ทำตามแนวความคิดนี้อย่างแน่นอน
6.ตัวอย่างของเศรษฐจริยธรรม
.
.
คนที่รวยที่สุดในโลกอย่างบิลเกต Bill Gate แห่งไมโครซอฟท์ นอกจากเงินทุกเหรียญจะได้มาอย่างบริสุทธิ์ และเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ในแต่ละปีเขายังบริจาคช่วยสังคม อย่างไม่ขาดสาย ล่าสุดยังประกาศว่าจะเพิ่มเงินบริจาคผ่านมูลนิธิตัวเองจากเดิมปีละ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 900 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 3 เท่าตัว
ที่สำคัญ เขายังออกมาประกาศไว้ว่า หากเขาเสียชีวิต ทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของเขา จะถูกนำไปบริจาค เพื่องมูลนิธิและการกุศล เหลือเงินเพียงนิดหน่อยพอสมฐานะเท่านั้นที่ให้กับทายาท นี่คือเศรษฐจริยธรรมที่แท้จริง....
.
.
คนรวยที่รวยเป็นอันดับ1และ2 ของโลกต่างใจตรงกันที่จะกระทำสิ่งนี้ที่สำคัญคือไม่ได้กระทำเพียงเพราะต้องการสร้างภาพแต่เป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริงๆ
น่าแปลกใจไหมว่า..คนจนที่บ้าหอบเศษเงินจำนวนไม่ถึงแสนล้าน ตะลอนไปรอบโลก ชนิดที่ไม่มีแผ่นดินให้เหยียบ ทำไมจึงไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวางของหนักๆ บาปหนักๆกันเสียที
ธุรกิจระบบทุนนิยมจะเข้าครอบงำทุกองกรค์ในชาติไม่เว้นแม้แต่องค์กรทางศาสนา ดังนั้น"เศรษฐจริยธรรม"เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างขึ้นมา หากปล่อยให้เรื่องคุณธรรม กลายเป็น คุณ-นะ-ทำ ผมไม่ทำ แล้ว เกรงว่า อีกไม่นานวิกฤติคุณธรรม จะต้องกลายเป็นวิกฤติโลก
ไม่มีความเห็น