ตำนานรัก ๖ >>> รักแผ่นดิน <<<,


เราตัดไม้ใหญ่ๆลงมามากมาย ก่ายกันจนเดินไม่ติดพื้นดิน เผาทิ้งไปเปล่าๆปลี้ๆแล้วเอาพื้นที่ปลูกข้าวโพด “สมัยนั้นผมไม่เชื่อว่าป่าจะหมด ผมไม่เชื่อจริงๆ”... ลุงฉ่ำยืนยันความรู้สึกเช่นนั้น ...”แต่มันก็หมดจริงๆ เพราะคนอพยพกันมากขึ้น ต่างก็ตัดโค่นไม้กันเหมือนดายหญ้า”....

วันนี้ได้อ่านบันทึกเรื่องเล่าจากดงหลวง ของคุณไพศาล ช่วงฉ่ำ ในนามบางทราย คนเข็นครกขึ้นภูเขา  เรื่อง   285 ลุงฉ่ำ.....เสือข้าวสุก    http://gotoknow.org/planet/e-m-a-e แล้วประทับใจงานที่เขาทำ......และขอโมทนากับลุงฉ่ำ.....ที่คิดคืนผืนป่าให้แก่แผ่นดิน...........  ขอยกเนื้อความทั้งหมดมาไว้ให้ท่านได้อ่านและปริทัศน์ตำนานรัก ๖ >>> รักแผ่นดิน <<<

285 ลุงฉ่ำ.....เสือข้าวสุก
...”ผมทำบาปมามาก ผมตัดไม้ทำลายป่ามามาก ผมไม่เชื่อว่าป่าจะหมด แต่มันหมดจริงๆ เมื่อผมมีชีวิตอยู่ ผมต้องล้างบาปด้วยการสร้างป่าชุมชน สร้างคนรุ่นใหม่”....

ปี 2539 ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานกับองค์กร Save the Children (USA) ที่นครสวรรค์ ซึ่งมีกิจกรรมใหญ่ร่วมกับ มูลนิธิหนองขาหย่าง โดยมี สปก.เป็นแม่งาน ทำงานพัฒนากลุ่มป่าห้วยขาแข้ง โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก DANCED (องค์กรความร่วมมือในการพัฒนาของประเทศเดนมาร์ค) เป็นงานพัฒนาชุมชนที่เน้นอนุรักษ์กลุ่มป่าห้วยขาแข้ง ผมรับผิดชอบพื้นที่ชายป่า อ.แม่เปิน และแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งมีแนวเขตป่าห้วยขาแข้งมากกว่า 100 กม. มูลนิธิหนองขาหย่างรับผิดชอบพื้นที่ในจังหวัดอุทัยธานี     

ผมมีทีมงานมากกว่า 20 คน ที่ประจำอยู่ที่บ้านลาน อ.แม่เปิน คลุกคลีกับชาวบ้าน ซึ่ง 90 % เป็นพี่น้องชาวอีสานที่อพยพไปหาที่ทำกินใหม่เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา สมัยหนึ่งพื้นที่แถบนั้นมีนายทุนบุกรุกเอาพื้นที่ชายป่ามาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แล้วก็ขายถูกๆให้ชาวอีสาน    

จากการตระเวนไปประชุมตามหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ผมรู้จัก ลุงฉ่ำ คุ้มครอง วัย 70 กว่าปี แต่แข็งแรง ผิดวัย ลุงฉ่ำให้ความสนใจเรื่องการออมทรัพย์มากพยายามสนับสนุนเพื่อนบ้านให้สนใจและร่วมกันตั้งกลุ่มขึ้น... 

วันหนึ่งผมนั่งอยู่ที่สำนักงานในหมู่บ้านนั่นเอง ลุงฉ่ำเดินมาหาผมแล้วคุยกัน... อาจารย์ผมมีเรื่องอยากปรึกษา.. ผมอยากทำป่าชุมชน เห็นอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ไปพูดหลายครั้งแล้ว ผมสนใจอยากจะทำ  ผมมีที่ดินที่มีสภาพป่าอยู่ อยากตั้งเป็นป่าชุมชนครับ... 

นักพัฒนาอย่างผมเมื่อได้ยินชาวบ้านพูดอย่างนี้.. หัวใจมันพองโต มีไม่บ่อยนักที่ชาวบ้านเดินมาหาแล้วบอกว่าอยากทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบนี้ ส่วนใหญ่มาเรื่องการทำมาหากิน หนี้สิน ผลผลิตขายไม่ได้ พืชเป็นโรคแมลง ฯลฯ.. ผมฟังลุงฉ่ำอยู่พักใหญ่ จึงชวนเพื่อนร่วมงานออกไปดูพื้นที่กัน   

บริเวณที่ลุงฉ่ำอยากทำป่าชุมชนนั้น ติดชายป่าห้วยขาแข้ง มีพื้นที่รวมกันประมาณ 1,700 ไร่หากเราสามารถสนับสนุนพื้นที่แห่งนี้ และทุกๆจุดที่อยู่ชายขอบป่านี้ให้เป็นป่าชุมชนก็เท่ากับเราสร้างรั้วให้ป่าห้วยขาแข้งด้วย ผมมองเห็นหลักสำคัญนี้จึงสนับสนุนความปรารถนาของลุงฉ่ำเป็นล้นพ้น 

วันต่อมาผมไปคุยกับลุงฉ่ำเป็นการส่วนตัว เพื่ออยากทราบด้านลึกว่าเป็นใครมาจากไหน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำไมจึงมีแนวคิดนี้ขึ้นมาได้...    

 ------------------------

ผมเป็นคนลานสัก(จ.อุทัยธานี) อพยพกันมาตั้งแต่ปี 2500 โน้น... มากัน 20 กว่าคน ตรงนี้ป่าอุดมสมบูรณ์ ดินดี น้ำท่าบริบูรณ์ เรียกบ้านเขาหล่นเขาแหลม  ป่าทึบมองไม่เห็นแสงตะวัน... ลุงฉ่ำเปรียบเทียบให้เห็นลักษณะป่าไม้สมัยนั้น ..เราตัดไม้ใหญ่ๆลงมามากมาย ก่ายกันจนเดินไม่ติดพื้นดิน เผาทิ้งไปเปล่าๆปลี้ๆแล้วเอาพื้นที่ปลูกข้าวโพด สมัยนั้นผมไม่เชื่อว่าป่าจะหมด ผมไม่เชื่อจริงๆ... ลุงฉ่ำยืนยันความรู้สึกเช่นนั้น  ...แต่มันก็หมดจริงๆ เพราะคนอพยพกันมากขึ้น ต่างก็ตัดโค่นไม้กันเหมือนดายหญ้า....  

แถบนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามา เพราะทึบน่ากลัว จะมีก็พวกโจร ที่เขาเรียก เสือ ที่ปล้น ฆ่าคนตายแล้วหนีตำรวจเข้ามา เสือดังๆทั้งนั้น ผมนับได้ถึง 11 คน มันก็มาหาผม มาขอข้าวกิน มาขอที่พัก ผมก็ให้มันกินให้มันพัก ไม่รู้จักกี่คนต่อกี่คน หลายคนก็ฆ่ากันเองตาย  ก็ผมอีกนั่นแหละที่ต้องไปเผามันทิ้งไป  มีบางคนมันสงสัยผมจะเป็นสายให้ตำรวจจะฆ่าผมก็มี แต่มันสำนึกในข้าวปลาที่ผมหาให้มันกิน.. นี่แหละต่อมาใครต่อใครก็เรียกผมว่า ลุงฉ่ำ..เสือข้าวสุก” (ข้าวสุกเป็นสำนวนภาคกลางที่เรียกข้าวที่หุงแล้ว พร้อมกิน ว่าข้าวสุก) ในที่สุดพวกเสือทั้งหลายก็ทยอยโดนตำรวจฆ่าตายจนหมดสิ้น... 

ลุงฉ่ำคิดอย่างไรจึงจะเอาที่ของลุงมาทำเป็นป่าชุมชน..ผมซัก ..ก็ผมมีที่ดินมาก  ผมมาอยู่ก่อนใครๆ ก็เอาที่ดินไว้มาก ลูกๆผมก็มีหลายคนผมก็แบ่งไปให้ทุกคนแล้วไม่เดือดร้อนอะไร ที่เหลือนี่ผมไม่ให้ใคร ผมจะเอาทำป่าชุมชน..ลุงฉ่ำขยายความ ..ก็ผมไม่คิดว่าป่าไม้มันจะหมด น้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์มันก็แห้งขอดลงทุกวัน ปลาปูที่เคยได้กินได้หา เดี๋ยวนี้หายากเต็มที ยิ่งคนอพยพมาอยู่มาก ของพวกนี้ก็หมดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ ผมเห็นว่าลูกหลานมันจะไม่ได้กินเห็ด ไม่ได้กินหน่อไม้แล้วในอนาคต  เข้าป่าใหญ่ก็ไม่ได้(หมายถึงป่าห้วยขาแข้ง) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็จับ  มันมีทางเดียวคือ ปิดป่าแห่งนี้ทำเป็นป่าชุมชนให้พืชพันธุ์ธรรมชาติมันฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยให้ลูกหลานเข้าไปเก็บกิน แต่ห้ามหาเอาไปขาย... ลุงฉ่ำสาธยายแนวคิดให้ผมฟัง..  

ผมยกมือไหว้ลุงฉ่ำ แล้วพูดว่า ..สาธุ..ลุงฉ่ำคิดถูกแล้ว หากไม่ช่วยกันรักษาป่า อนุรักษ์ป่าไม้วันนี้ ลูกหลานก็ไม่เหลืออะไร เพื่อนบ้านใกล้ ไกลก็ไม่มีของป่ากิน อย่างที่เคยได้กิน  แม้ว่าป่าห้วยขาแข้งจะอุดมสมบูรณ์ เขาก็ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปทำมาหากินแล้ว ไม่ไกลจากตรงนี้ คุณสืบ นาคะเสถียร ท่านใช้ชีวิตท่านสังเวยการอนุรักษ์ป่าไม้ ลุงฉ่ำทราบดี ทำไมคนดีดีอย่างคุณสืบต้องลงทุนชีวิตเช่นนั้น.....

------------------------- 

เราคุยกันนาน และครั้งแล้วครั้งเล่าจนเข้าใจเจตนารมณ์ทั้งสองฝ่ายกันอย่างดี โครงการตั้งป่าชุมชนจึงเกิดขึ้น เราจัดงานบวชป่าชุมชน เชิญผู้ใหญ่ทางราชการมาร่วมพิธี รับรู้และสนับสนุน เราทำแนวเขตป่า ปลูกป่าเสริม ทำแนวกันไฟ ....ฯลฯ.....และมอบเงินกองทุนไว้ให้ก้อนหนึ่ง เพื่อให้คณะกรรมการป่าชุมชนใช้จ่ายในกิจกรรมดูแลรักษาป่า.. 

กิจกรรมป่าชุมชนเจิญงอกงามเร็วเกินคาด เพราะลุงฉ่ำ เสือข้าวสุก เป็นคนจริง ทำจริงและนำเพื่อนบ้านปกป้องป่าอย่างจริงจัง กฎกติกาถูกตั้งขึ้นอย่างเหมาะสมแล้วลุงก็ยังตระเวนไปพบชาวบ้านอื่นๆใกล้เคียง เล่าให้ฟังถึงการทำป่าชุมชนของลุง และเล่าถึงกติกา การใช้ประโยชน์จากป่า มิได้ห้ามเข้าไปหากิน แต่ห้ามเอาไปขาย และจะปิดป่าเป็นช่วงๆเพื่อให้ป่าฟื้นตัว      

ผมย้ายงานไปประจำกรุงเทพฯก่อนเข้าดงหลวง มุกดาหาร แต่ก็ติดตามข่าวคราวจากเพื่อนๆน้องๆที่เกาะติดพื้นที่อยู่ทราบว่า จากการตระเวนไปเช่นนั้นของลุงฉ่ำ และจากการที่เพื่อนบ้านคนอื่นๆแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมป่าชุมชนของลุง เห็นความสำเร็จ เห็นประโยชน์การตั้งป่าชุมชน เพียงไม่กี่ปี ชุมชนต่างๆที่ติดป่าห้วยขาแข้ง และบริเวณเขาแม่กระทู้ อ.แม่วงก์ก็ตั้งป่าชุมชนขึ้นตามกันมา จำนวน 19 ป่า และรวมเป็นเครือข่ายใหญ่ป่าชุมชนแม่วงก์ มีจำนวนพื้นที่ทั้งสิ้น 37,000 ไร่ โดยทีลุงฉ่ำ คุ้มครองเป็นประธานเครือข่าย  

สิบกว่าปีมาแล้วที่ลุงฉ่ำยังคงรับหน้าที่ดูแลป่าแห่งนี้ ลุงฉ่ำคิดว่างานนี้ต้องสร้างเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ด้วย จึงเอาพื้นที่ป่า 1 ไร่เป็นสถานที่ให้เยาวชนเข้าไปศึกษาทำวิจัยเรื่องทรัพยากรในป่ามีอะไรบ้าง ต้นไม้มีกี่ชนิด อะไรที่กินได้ อะไรที่เป็นสมุนไพร ..สัตว์มีกี่ชนิดอะไรบ้าง ธรรมชาติมันเกื้อกูลกันอย่างไร... พาเยาวชนไปศึกษาดูงานที่ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนรุ่นเก่าที่จะล้มหายตายจากไปในที่สุด... 

ผมเทิดทูนจิตสำนึกลุงฉ่ำที่หายากยิ่งในสังคมนี้ แม้ลุงฉ่ำเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แถมหลุดออกมาจากก้นบึ้งของป่าเขาที่เป็นแดนหลบลี้ของโจรผู้ร้ายในอดีต แต่ลุงฉ่ำคุ้มครองตระหนักในสิ่งที่คนใหญ่โตในสังคมนี้ป่าวประกาศว่าจงช่วยกันดูแลป่าไม้...  

...ผมทำบาปมามาก ผมตัดไม้ทำลายป่ามามาก ผมไม่เชื่อว่าป่าจะหมด  แต่มันหมดจริงๆ เมื่อผมมีชีวิตอยู่ ผมต้องล้างบาปด้วยการสร้างป่าชุมชน สร้างคนรุ่นใหม่....

ผมยังจำคำพูดนี้ของลุงฉ่ำ คุ้มครอง เสือข้าวสุก..ผู้เฒ่าที่ผู้มีจิตสำนึกสูงส่งเหลือเกิน.... 

เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมคิดถึงมากจริงๆ..

หมายเลขบันทึก: 164851เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2008 15:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 12:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • ความเข้าใจ
  • ความเข้าถึงธรรมชาติ
  • ความรักต่อธรรมชาติก็บังเกิด
  • ถึงจะช้าไป ก็ยังดีที่เกิดได้ต่ะ
  • ขอส่งความรักมาให้ต่ะ
  • Happyvalentine

สวัสดีค่ะอาจารย์

  • สุดท้ายมนุษย์ก็ยังต้องสำนึกรักธรรมชาตินะคะ
  • นับถือคุณลุงฉ่ำนะคะ  ฝากกำลังใจให้คุณลุงผู้ดำเนินอยู่ในวิถีแห่งความสำนึกรักธรรมชาติในผืนแผ่นดินเกิดด้วยนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ

 

P

สวัสดีค่ะอาจารย์

- ขอขอบพระคุณในไมตรีจิตค่ะ

- มาสายดีกว่าไม่มาใช่ไหมคะ

- อยากให้คนไทยกลุ่มเบ้ง....ทำอย่างลุงฉำ 

P สวัสดีค่ะคุณเกศวิไล

-ถ้าใครไม่อยากเสียใจแบบลุงฉำ

- รีบสำนึกและคืน......ให้แก่แผ่นดิน

- เราจะโทนาแก่ท่านทุกวันเลย

budofox

- อย่ารอจนเท่าลุงฉำนะ

- คิดให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยลุย

- รับเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีตลอดกาล.....นานเทอญ

-คุณทวดข้างย่าเขาทำนายไว้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท