เรื่องติดใจจากประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษกับฝรั่งจริงๆ (2)


เขียนขึ้นเมื่อครั้งยังใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลีย

ตอนที่แล้วเล่าที่มาของเรื่องไปแล้ว มาอ่านตอนที่สองกันต่อค่ะ

สำหรับเจ้าตัวเล็ก ถึงเวลานี้แล้ว เขาอยู่ที่นี่มามากกว่าครึ่งชีวิตของเขาเสียอีก ส่วนเจ้าสองตัวโต ซึ่งอายุ 11 และ 10 ขวบ ซึ่งเรียนภาษาอังกฤษมาประมาณ 1-2 ปีก่อนจะมาที่นี่ ทั้งคู่เรียนโรงเรียนเอกชนที่บ้านเราซึ่งสอนการอ่านเขียนรวมทั้งการคิดเลขตั้งแต่ชั้นอนุบาล พวกเขาสามารถปรับตัวกับการเรียนที่นี่ได้ภายในเวลาไม่นานนัก เจ้าตัวโตค่อนข้างเก่งกว่าเจ้าตัวกลาง เขาดูไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเขาสามารถฟังคุณครูรู้เรื่องมากกว่าเจ้าตัวกลาง แต่ชั่วเวลาแค่ 3 เดือน เจ้าตัวกลางก็สามารถปรับตัวได้ ถึงขนาดมาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่า แม่ เด็กที่นี่ เค้าพูดได้แต่เค้าเขียนไม่เป็นหรอกแม่ คุณครูให้สะกดคำ เหน่นทำได้มากกว่าเพื่อนๆในห้องอีก ซึ่งทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก จุดเด่นของลูกทั้งสองที่เห็นได้ชัดเมื่อแรกมาและทำให้เขาไม่รู้สึกว่าเขาด้อยกว่าเพื่อนๆก็คือ เขาสามารถคิดเลขได้เร็วกว่าเด็กในชั้นเรียนเดียวกัน เด็กที่นี่(ในชั้น ป.2) ยังใช้แผ่นพลาสติกนับแบ่งกองไปมาเวลาบวกลบ  ในขณะที่น้องเหน่นคิดคำตอบได้โดยไม่ต้องใช้แผ่นพลาสติกพวกนั้นเลย ต้องขอบคุณระบบการเรียนของเราในระดับนี้ แต่เมื่อเทียบกับพ่อและแม่แล้ว เราจะรู้ได้ว่าตรงกันข้าม เพราะเรามีปัญหากับการพูดให้ฝรั่งฟังเราให้รู้เรื่องมากกว่าที่เราจะคาดคิดมาก่อน เปรียบเทียบกับคนชาติอื่นซึ่งไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาเลย เช่นคนจากสโลวาเกียที่ฉันพบ เขามาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่นี่ 3 เดือนแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มา 2 ปี เทียบกับฉันซึ่งเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ชั้นประถม, มัธยม,มหาวิทยาลัย รวมๆแล้ว มากกว่า 10 ปีเสียอีก และอยู่ที่นี่มา 3 ปี เขาสื่อสารได้ดีกว่าฉันหลายเท่านัก แต่ถ้าให้เขียนอะไรแล้ว เราดูเหมือนจะล้ำหน้าเขาหลายขุม

นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันเกริ่นในตอนแรกว่า การเรียนภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาบ้านเราไม่ใช่เพื่อการพูดจาสื่อสาร ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเราใช้เวลาเป็นหลายปีเรียนภาษานี้เป็นภาษาที่สอง แต่เราใช้ในการสื่อสารพูดคุยได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เราใช้ไปในการเรียน ปัญหาที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การออกเสียง ชั่วระยะเวลาเพียง 1 ปีผ่านไป ฉันก็ได้รับการสอนจากเจ้าตัวเล็กว่า แม่พูดผิดเมื่อฉันพยายามจะพูดภาษาอังกฤษกับเขา แม่ต้องพูดว่า roof ไม่ใช่ loof” เขาหมายถึงหลังคา เขาออกเสียงคำว่า mouth ได้สบายไม่มีปัญหาเลย ในขณะที่เราต้องคิดว่าอย่าลืมเอาลิ้นออกมารองฟันเพื่อจะออกเสียง th ในตัวสะกด ฉันได้เรียนรู้ว่าเด็กๆเรียนภาษาได้ไวเพราะพวกเขาคิดน้อยกว่าพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจะสามารถเลียนเสียงต่างๆได้ง่ายกว่าพวกเราที่จำเสียงอ่านพูดที่ผิดๆมาเสียแล้ว

มีต่อพรุ่งนี้ค่ะ

หมายเลขบันทึก: 61394เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2006 21:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 18:16 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

เห็นด้วยค่ะ โดยเฉพาะ เด็ก ๆ เรียนได้ไว เพราะเขาคิดน้อยกว่า เพราะตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่กลัว

  • คิดมาก กลัวพูดผิด
  • อายถ้าพูดผิด
  • พูดไปถูกมั๊ย ? สื่อได้ตรงประเด็นไหม เขาเข้าใจไหม โอ๊ย !สารพัด
  • สรุปว่าอย่าพูดดีกว่า เขียนบันทึก + ฟัง สบายกว่ากันเยอะ
  • ตรงใจมาก ขอบคุณค่ะ
ถ้าเป็นไปพูดภาษาอังกฤษละก้อ ไม่ว่ากันค่ะ แต่ภาษาไทยเนี่ย คุณศิริพูดชัดถ้อยชัดคำแน่ค่ะ ขอยืนยัน รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ :-)

กดแป้นเร็วไปหน่อยขออภัย

จะบอกว่า

  • รู้ทันอีกแล่ะ
  • รู้ใจด้วยอ่ะ
เหอะๆๆๆๆๆๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า  เขียนและฟัง  ง่ายกว่า
แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ   อ่านง่ายกว่า   อย่างอื่นๆๆ  ย๊ากยาก
  • ขออนุญาตพี่โอ๋นะครับ
  • อะไรยากครับคุณ Nidnoi
  • เห็นใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ

 

คุณขจิต
ที่ยากน่ะ  "อย่างอื่นๆๆ"    ไงคะ
.
พยายามจะเก่งอยู่ค่ะ   โดยคบ "คนเก่ง ๆ"
อย่างเช่นพี่โอ๋  คุณขจิต
(คบบัณฑิต  บัณฑิตพาไปหาผล)
  • ขอบคุณครับ
  • บัณฑิตนะพี่โอ๋ครับ
  • ผมขจิต

"บัณฑิต" ในความหมายที่คุณ nidnoi เอามาใช้นั้น ควรหมายถึงผู้ที่มีความรู้ ความคิด มากกว่าคนที่มีกระดาษยืนยันดีกรีนะคะ คุณขจิต

เพราะฉะนั้น เราทุกคนเป็น "บัณฑิต"ได้ค่ะ

ประสาทการรับฟังก็น่าจะมีผลนะคะ เคยให้ฝรั่งอ่านออกเสียงบางคำให้ฟัง ก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ก็เลยไม่สามารถออกเสียงตามเค้าได้ บางทีลิ้นมันแข็งแล้วเลยพูดไม่ได้ก็มี  

มาคบพี่เม่ยสิ เดี๋ยวพาไปหาผล...(ละหมากรากไม้กินกันให้อิ่มไปเล้ย)
  • เด็กๆมักจะมีทักษะการสังเกต ฟัง จดจำ และเลียนแบบได้ดีกว่าผู้ใหญ่ค่ะ  พี่เม่ยว่าน่าจะเพราะเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้เนาะ 
  • ส่วนผู้ใหญ่น่ะ มักจะใช้วิธี "รับรู้" มากกว่า "เรียนรู้"....พูดเองก็งงเอง???
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท