ตอนที่แล้วเล่าที่มาของเรื่องไปแล้ว มาอ่านตอนที่สองกันต่อค่ะ
สำหรับเจ้าตัวเล็ก ถึงเวลานี้แล้ว เขาอยู่ที่นี่มามากกว่าครึ่งชีวิตของเขาเสียอีก ส่วนเจ้าสองตัวโต ซึ่งอายุ 11 และ 10 ขวบ ซึ่งเรียนภาษาอังกฤษมาประมาณ 1-2 ปีก่อนจะมาที่นี่ ทั้งคู่เรียนโรงเรียนเอกชนที่บ้านเราซึ่งสอนการอ่านเขียนรวมทั้งการคิดเลขตั้งแต่ชั้นอนุบาล พวกเขาสามารถปรับตัวกับการเรียนที่นี่ได้ภายในเวลาไม่นานนัก เจ้าตัวโตค่อนข้างเก่งกว่าเจ้าตัวกลาง เขาดูไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเขาสามารถฟังคุณครูรู้เรื่องมากกว่าเจ้าตัวกลาง แต่ชั่วเวลาแค่ 3 เดือน เจ้าตัวกลางก็สามารถปรับตัวได้ ถึงขนาดมาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่า “แม่ เด็กที่นี่ เค้าพูดได้แต่เค้าเขียนไม่เป็นหรอกแม่ คุณครูให้สะกดคำ เหน่นทำได้มากกว่าเพื่อนๆในห้องอีก” ซึ่งทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก จุดเด่นของลูกทั้งสองที่เห็นได้ชัดเมื่อแรกมาและทำให้เขาไม่รู้สึกว่าเขาด้อยกว่าเพื่อนๆก็คือ เขาสามารถคิดเลขได้เร็วกว่าเด็กในชั้นเรียนเดียวกัน เด็กที่นี่(ในชั้น ป.2) ยังใช้แผ่นพลาสติกนับแบ่งกองไปมาเวลาบวกลบ ในขณะที่น้องเหน่นคิดคำตอบได้โดยไม่ต้องใช้แผ่นพลาสติกพวกนั้นเลย ต้องขอบคุณระบบการเรียนของเราในระดับนี้ แต่เมื่อเทียบกับพ่อและแม่แล้ว เราจะรู้ได้ว่าตรงกันข้าม เพราะเรามีปัญหากับการพูดให้ฝรั่งฟังเราให้รู้เรื่องมากกว่าที่เราจะคาดคิดมาก่อน เปรียบเทียบกับคนชาติอื่นซึ่งไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาเลย เช่นคนจากสโลวาเกียที่ฉันพบ เขามาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่นี่ 3 เดือนแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มา 2 ปี เทียบกับฉันซึ่งเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ชั้นประถม, มัธยม,มหาวิทยาลัย รวมๆแล้ว มากกว่า 10 ปีเสียอีก และอยู่ที่นี่มา 3 ปี เขาสื่อสารได้ดีกว่าฉันหลายเท่านัก แต่ถ้าให้เขียนอะไรแล้ว เราดูเหมือนจะล้ำหน้าเขาหลายขุม
นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันเกริ่นในตอนแรกว่า การเรียนภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาบ้านเราไม่ใช่เพื่อการพูดจาสื่อสาร ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเราใช้เวลาเป็นหลายปีเรียนภาษานี้เป็นภาษาที่สอง แต่เราใช้ในการสื่อสารพูดคุยได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เราใช้ไปในการเรียน ปัญหาที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การออกเสียง ชั่วระยะเวลาเพียง 1 ปีผ่านไป ฉันก็ได้รับการสอนจากเจ้าตัวเล็กว่า “แม่พูดผิด” เมื่อฉันพยายามจะพูดภาษาอังกฤษกับเขา “แม่ต้องพูดว่า roof ไม่ใช่ loof” เขาหมายถึงหลังคา เขาออกเสียงคำว่า mouth ได้สบายไม่มีปัญหาเลย ในขณะที่เราต้องคิดว่าอย่าลืมเอาลิ้นออกมารองฟันเพื่อจะออกเสียง th ในตัวสะกด ฉันได้เรียนรู้ว่าเด็กๆเรียนภาษาได้ไวเพราะพวกเขาคิดน้อยกว่าพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจะสามารถเลียนเสียงต่างๆได้ง่ายกว่าพวกเราที่จำเสียงอ่านพูดที่ผิดๆมาเสียแล้ว
มีต่อพรุ่งนี้ค่ะ
เห็นด้วยค่ะ โดยเฉพาะ เด็ก ๆ เรียนได้ไว เพราะเขาคิดน้อยกว่า เพราะตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่กลัว
กดแป้นเร็วไปหน่อยขออภัย
จะบอกว่า
"บัณฑิต" ในความหมายที่คุณ nidnoi เอามาใช้นั้น ควรหมายถึงผู้ที่มีความรู้ ความคิด มากกว่าคนที่มีกระดาษยืนยันดีกรีนะคะ คุณขจิต
เพราะฉะนั้น เราทุกคนเป็น "บัณฑิต"ได้ค่ะ
ประสาทการรับฟังก็น่าจะมีผลนะคะ เคยให้ฝรั่งอ่านออกเสียงบางคำให้ฟัง ก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ก็เลยไม่สามารถออกเสียงตามเค้าได้ บางทีลิ้นมันแข็งแล้วเลยพูดไม่ได้ก็มี