สำคัญของการรักษาสุขภาวะ
การมีสุขภาพที่ดีนั้นมิได้หมายความเพียงแค่การไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น นายแพทย์เอนดรู ไวล์ (Andrew Weil M.D.) ซึ่งเป็นแพทย์ทางเลือกเรืองนามท่านหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การมีสุขภาพดีเยี่ยมยังทำให้มีความรู้สึกแข็งแรง กระชุ่มกระชวย และแจ่มใส คุณจะต้องประสบกับตัวเองเท่านั้นจึงจะทราบว่าการมี “สุขภาพดี” นั้นมันเป็นเรื่องที่มากกว่า “การไม่เจ็บป่วย” มากนัก
คำว่าสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมย่อมไม่ได้หมายถึงมิติทางร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง “สุขภาวะอันสมบูรณ์ทั้งทางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ” ซึ่งนอกจากจะมีตัวกำหนดจากปัจจัยด้านปัจเจกบุคคลแล้ว ยังได้รับผลกระทบอย่างสำคัญจากปัจจัยพื้นฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อันได้แก่สันติภาพ ที่อยู่อาศัย การศึกษา ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต อาหาร รายได้ ความยุติธรรมทางสังคม ความเสมอภาค ฯลฯ
การสร้างเสริมสุขภาวะจึงเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะต้องมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม มิใช่เพียงการบริการที่จัดขึ้นโดยระบบบริการสาธารณสุขเท่านั้น
การดำเนินในระยะที่ผ่านมายังมีจุดอ่อนหลายประการ ที่สำคัญอันหนึ่งน่าจะอยู่ที่ความเข้าใจความหมายของสุขภาพอย่างไม่เป็นองค์รวม กล่าวคือ โครงการสร้างเสริมสุขภาพส่วนใหญ่ยังอาศัยมาตรการและเทคโนโลยีทางการแพทย์มากกว่ามาตรการทางสังคมจึงไม่อาจแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่มีความสลับซับซ้อน และมีรากเหง้ามาจากปัญหาด้านจิตใจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
สุขภาวะในมุมมองของศาสนา
สุขภาวะเป็นปัจจัยที่เป็นรากเหง้าในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอันเป็นรากฐานของกระบวนการพัฒนาในทุกมิติ การที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์นั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่คนจะต้องมีสุขภาวะอันสมบูรณ์ หากคนมีปัญหาสุขภาพ แน่นอนว่าจะเป็นอุปสรรคในทุกด้าน หากขาดปัจจัยด้านสุขภาพเสียแล้ว อย่าว่าแต่จะเข้าสู่กระบวนการการผลิตและการสร้างสรรค์ใดๆเลย แม้แต่ตัวเองบางครั้งยังเป็นภาระของคนรอบข้าง
ในหลักคำสอนของศาสนาต่างๆ ให้ความสำคัญต่อเรื่องสุขภาวะในระดับสูงยิ่ง พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่นำมากล่าวกันอย่างแพร่หลายในระดับสากล คือคำว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” (การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ) นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในคุณค่าของสุขภาวะเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเพียงแค่การปลอดจากโรคหรือการไม่มีโรค ท่านถือว่านั่นคือลาภอันประเสริฐที่มนุษย์พึงได้รับ หมายความว่าเป็นลาภที่ไม่อาจสรรหาหรือแลกเปลี่ยนมาด้วยเงินทองหรือปัจจัยทางวัตถุ
ในศาสนาอิสลามท่านศาสดามูฮัมมัดได้กล่าวถึงสุขภาวะไว้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมปัจจัยแห่งสุขภาวะไว้อย่างเป็นองค์รวม ท่านกล่าวว่า
“ผู้ใดตื่นเช้าขึ้นมามีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีจิตใจที่สงบร่มเย็น ไม่มีความวิตกกังวลทุกร้อน มีอาหารสำหรับบริโภคในวันนั้น ก็ประหนึ่งว่าเขาผู้นั้นได้คลองโลกไว้ทั้งโลก” (ติรมีซีย์ อิบนิมาญะห์ บุคอรี)
วจนะของท่านศาสดาย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องสุขภาวะ โดยถือว่านั่นคือความโปรดปรานอันสูงสุดที่มนุษย์พึงได้รับจากพระองค์อัลลอฮฺ ในเมื่อเพียงแต่ไม่มีโรคถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐแล้ว การที่คนเรามีสุขภาวะอันสมบูรณ์อย่างเป็นองค์รวมดังที่ท่านศาสดามูฮัมมัดกล่าวย่อมจะทรงความหมายล้ำลึกและครอบคลุมเป็นอย่างยิ่ง
ในเมื่ออิสลามถือว่าสุขภาวะอันสมบูรณ์เป็นสุดยอดแห่งความโปรดปราน (เนียะมัต) ที่มนุษย์พึงได้รับจากอัลลอฮฺ จึงเป็นหน้าที่ซึ่งมนุษย์จะต้องมีความสำนึกในคุณค่าและต้องแสดงความกตัญญูต่ออัลลอฮฺด้วยการดำรงรักษาความโปรดปรานนั้นไว้อย่างที่สุด ดังที่ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า
“และสำหรับร่างกายของเจ้านั้นเป็นหน้าที่ซึ่งเจ้าต้องดูแลมัน”
(บันทึกโดยบุคอรี มุสลิม)
หากปล่อยปละละเลยหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการบั่นทอนสุขภาวะแล้วนอกจากจะต้องได้รับความเดือนร้อนของชีวิตในภพนี้แล้ว เขายังจะต้องรับผิดชอบในวันปรโลกอีกด้วย
ทั้งนี้ เพราะความโปรดปรานใดๆก็ตามที่มนุษย์ได้รับจากอัลลอฮฺ เขาจะต้องถูกสอบถามในวันปรโลก ดังปรากฏโองการในอัลกุรอ่านว่า
“และหลังจากนั้น(ตาย)สูเจ้าต้องถูกสอบถามถึงเรื่องความโปรดปรานต่างๆที่ได้รับ จากอัลลอฮฺ”
(อัตตะกาซุร :8)
ไม่มีความเห็น