กลับมาแล้วคะ หลังจากห่างหายไปนาน..วันนี้มีบทความที่น่าสนใจโดยเพื่อนจ๊ะจ๋าเป็นคนเขียน หาข้อมูล และวิเคราะห์ ซึ่งเมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกหลายอย่างทั้ง แปลกใจ สงสัย และตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกในยุค Generation Y
ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เราลืมมองข้ามไป ยิ่งใครที่มีลูกหลาน ลองอ่านดูซิคะ
ในช่วงปิดเทอม 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา แหล่งรวมตัวใหญ่ ๆ ของเด็กคงจะหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้า และที่ไม่ควรมองข้ามไปก็คือร้านอินเตอร์เน็ต ร้านเกมเล็ก ๆ ที่มีอยู่มากมายตามตรอกซอกซอย ที่เหล่านี้ได้กลายไปเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และใช้เวลาในยามว่างของเด็ก ๆ จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหา และที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่หลายฝ่าย เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “3feel ออนไลน์“ เกมยุคใหม่ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับเด็ก
เริ่มเข้าสู่ช่วงต้นของภาคการศึกษาใหม่ แต่คงไม่สายเกินที่ทางกรุงเทพมหานครจะนำเสนอทางเลือกให้กับผู้ปกครองและเด็กในยุคใหม่ เพื่อที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และที่สำคัญ “สติปัญญา” เหตุใดถึงบอกว่ายังไม่สายเกินไป ท่านผู้อ่านและผู้ปกครองลองพิจารณาตัวเลขเหล่านี้ดู
ในหนึ่งปีเด็กจะมีวันปิดภาคเรียนที่หนึ่งและภาคเรียนที่สองรวมกันประมาณ 105 วัน วันหยุดนักขัตฤกษ์รวมกันประมาณ 15 วัน และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์รวมกันอีก 104 วัน เมื่อรวมวันหยุดทั้งหมดแล้ว เด็กไทยจะมีวันที่ไม่ต้องไปโรงเรียนประมาณ 224 วัน และวันที่ไปโรงเรียนอีกประมาณ 141 วัน ซึ่งเท่ากับว่าช่วงเวลาประมาณ 1 ใน 3 ของปี จะเป็นเวลาที่เด็ก ๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของครู ส่วนเวลาอีก 2 ใน 3 ของปี เด็ก ๆ อาจจะอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองหรือไม่ก็อยู่คนเดียว ดังนั้นความแตกต่างตรงนี้จึงนำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆโดยเฉพาะกับเด็กที่ต้องอยู่ตามลำพังเมื่อผู้ปกครองต้องไปทำงาน
เมื่อเด็กมีเวลาว่างถึง 224 วันต่อปี คำถามที่ตามมาก็คือ พวกเขาใช้เวลาเหล่านี้ทำอะไร? “ท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ หรือ ช็อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า” “เล่นเกม หรือ อ่านหนังสือ” “นอนโดยไม่รู้จะทำอะไร หรือออกกำลังกาย” วันนี้ เด็กในกรุงเทพมหานครมีทางเลือกมากมายในการใช้เวลาว่างที่มีมากถึง 200 กว่าวันต่อปี โดยทางกรุงเทพมหานครได้จัดพื้นที่สีขาวและกิจกรรมมากมายที่สอดคล้องกับความต้องการในด้านต่าง ๆ ของเด็กให้มีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดทั้งปี
ศูนย์กีฬา ลานกีฬาเพื่อสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและประชาชนทั่วไปมีสุขภาพ พลานามัยที่สมบูรณ์ ทางกรุงเทพมหานครได้จัดให้มีแหล่งออกกำลังกายที่สะดวก ประหยัด ปลอดภัย จัดเป็นศูนย์กีฬาที่ได้มาตรฐานรวมทั้งหมด 9 แห่ง ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร 32 แห่ง ลานกีฬาที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯประมาณ 1,254 ลาน และสวนสาธารณะกระจายอยู่โดยทั่วไป เพื่อให้เด็กและครอบครัวมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมและพักผ่อนร่วมกัน
แหล่งเรียนรู้ เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ ทางกรุงเทพมหานครจึงให้ความสำคัญกับแหล่งเรียนรู้ของเด็ก โดยจัดให้มีห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ทั้งหมด 27 แห่ง บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายเพื่อการเรียนรู้ในสวนลุมพินี บ้านหนังสือกรุงเทพมหานครที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 54 แห่ง และพิพิธภัณฑ์เด็ก กรุงเทพมหานคร
นอกจากการออกกำลังกายแล้ว ทางกรุงเทพมหานครยังได้จัดให้มีกิจกรรมในสวนสลับสับเปลี่ยนกันไป เช่น “ธรรมมะในสวน” “ดนตรีในสวน” ท่านผู้ปกครองและเด็กคงเห็นแล้วว่ามีกิจกรรมดี ๆ ให้เลือกมากมายเพื่อร่วมกันช่วยสร้างอนาคตของชาติ ยังไม่สายเกินไปหากวันนี้คุณจะแนะนำลูกหลานให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่สีขาวที่ทางกรุงเทพมหานครจัดไว้
รัชนี เลิศเดชเดชา
คุณคิดเช่นไร ช่วยกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันดีกว่า
พาเด็กไปเข้าค่าย
หรือไปปฎิบัติธรรม
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ คุณจ๊ะจ๋า
เห็นด้วยกับ คุณ berger0123 และคุณครูโย่ง ค่ะ
ดีครับ ขออนุญาตนำไปรวมนะครับ ขอบคุณมากครับ...........รวมตะกอน
ลองเข้าเว็บไซด์ของทางกรุงเทพมหานครดูสิค่ะ www.bangkok.co.th แล้วเข้าไปที่หน้า กิจกรรมพิเศษ แล้วคุณจะพบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางกทม.จัดไว้ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ
เจ้าของบทความมาเช็คเรดติ้งด้วยคะ
comment ที่ 5
เก็น่าจะเป็นประโยชน์ทั้งการฝึกใช้เทคโนลยีและการใช้เวลาว่าง
ห็นด้วยอย่างยิ่งกับการหันมาให้ความสำคัญกับเวลาว่างงงงงงของเด็กๆแต่ถ้าจะให้ดีกทม
น่าจะจัดเวลาที่ว่าง(224วัน)เพียงแค่ร้อยละ10 ประมาณ22.4 วันต่อปีให้เด็กๆโดยเฉพาะเด็กในสังกัดร.ร.กทมได้เข้าไปใช้บริการinternetสีขาว
อยากให้ทุกจังหวัดทำกิจกรรมแบบนี้ด้วยนะ เพราะตอนนี้ปัญหาเด็กติดเกมส์นี้เป็นกันเกือบทุกจังหวัดหัวเมืองต่างๆ ทำไมเด็กติดเกมส์? ถ้าเด็กไม่เล่นเกมส์ที่สะดวกและใกล้บ้าน เด็กจะทำอะไรดี? คุมพลังอยู่ที่โรงเรียนนะเราว่า โรงเรียนนอกจากจะสอนหนังสือ ให้ความรู้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกบ้าง นอกจากกิจกรรมนันทนาการ สัก 2-3 ชม. ในเวลาเรียน แล้วนอกเวลาเรียน วันหยุด ปิดเทอมหละ..จะทำอะไรได้บ้างน๊า ?? พื้นที่โรงเรียนก็มี แถมส่วนใหญ่ก็ใกล้บ้าน..หากเด็กติดเกมส์ได้ไปทำกิจกรรมที่สนุก ฮาๆ ที่โรงงเรียนน่าจะดีกว่าเนอะ ^_^
ขอบคุณมากนะค่ะ สำหรับทุกความคิดเห็น
ชวนไปเข้าหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ บ้างค่ะ กรุงเทพฯ มีเยอะแยะเลย แล้วอีกหน่อย กทม.ก็จะมีหอศิลป์แห่งใหม่เกิดขึ้นย่านสยาม-มาบุญครองด้วยนะคะ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ต้องแนะนำและนำพาเขาให้พบกับช่องทางการเรียนรู้เหล่านี้ด้วยนะคะ เพราะถ้าผู้ใหญ่ยังไปห้างสรรพสินค้า เด็กก็ไม่มีแบบอย่างที่ดี ไม่มีคนคอยแนะนำค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เห็นด้วยกับคุณ jaewjingjing ค่ะ หอศิลป์สร้างกำลังจะเสร็จสวยงามมาก แล้วก็อยู่ในย่านใจกลางเมืองเลยค่ะ ถ้าผู้ใหญ่อย่างเรา-เราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เวลาว่าง แล้วเด็กๆจะเปลี่ยนได้อย่างไรหล่ะค่ะ
กิจกรรม อาจมีมากมาย
แต่การเข้าร่วมกิจกรรมบางกิจกรรม ต้องยอมรับกันว่า ยังมีการกีดกัน
น่าสงสารเด็กไทยบางคนมีความสามารถ แต่ไม่มีที่แสดงออก และเมื่อแสดงออกแต่ไม่ถูกสนับสนุนและยังกีดกันเค้าออกไปด้วยเหตุผลต่างๆ
ตัวอย่างไม่ไกลตัว พวกรายการ Academy Fantasia,the star, ถ้าหน้าตาไม่ดีก็คัดออก ....แม้ว่าจะเสียงดีแค่ไหนแทบจะไม่ได้แข่งกันที่ความสามารถเลย
หรือการแข่งขันกีฬาแทบจะทุกประเภท ถ้าไม่มีเส้น ไม่มีโค้ชหนุน ....เก่งแค่ไหนก็เล่นไม่รุ่ง
แค่สังคมกลุ่มเพื่อนเล็กๆ หน้าตาประหลาดไม่ให้เข้ากลุ่ม แค่หมากเก้บ ก็ไม่ให้เข้าวงเล่นด้วยแล้ว
อาจจะเรียบเรียงความคิดเห็นไม่เก่งนะคะ แต่ขอแสดงความคิดเห็นอีกมุมหนึ่งบ้างคะ ว่าสังคมไทยเรายังเป็นแบบนี้อยู่ อาจผลักเด็กให้แสดงออกในโลไซเบอร์มากขึ้น เพราะเค้าเป็นฮีโร่ ได้ในโลกไซเบอร์ เค้าดูดีได้ในเกมส์ เค้าอาจได้รับการยอมรับได้
การสร้างนู่นสร้างนี่ขึ้นมาแล้วก็บอกให้เค้าไปเดินวนๆดู คงไม่ได้ชวยอะไร นอกจากปลูกสร้างสังคมกันใหม่