ต้นตาลเป็นพืชที่มนุษย์ได้นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันกันมากที่เป็นอันดับต้นๆซึ่งสามารถนำมาทำอาหารได้หลายประเภทแต่ที่นิยมมากที่สุดคือ อาหารหวาน ต้นตาลมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมคือสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด และ เป็นพันธุ์ไม้พวกปาล์มขนาดใหญ่ สกุล (Genus)มีความแข็งแรงมากชนิดหนึ่ง ลำต้นสูงถึง 40 เมตร และวัดผ่า-กลางประมาณ 60 ซม. ประเทศไทยจึงมีต้นตาลขึ้นกระจายไปทุกภูมิภาค ดังเช่นที่ ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ก็มีต้นตาลโตนดขึ้นอยู่ในพื้นที่มากมายประมาณ 20,000 ต้น ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติมากมายก่อให้เกิดภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยบรรพบุรุษสมัยก่อนได้ทำน้ำตาลโตนดไว้รับประทานเองสืบต่อกันมานานถึง 300 ปี และเป็นที่กล่าวขานของผู้คนที่เดินทางผ่านนครสวรรค์แล้วผ่านไปยัง อำเภอชุมแสงจะต้องแวะลองลิ้นชิมรสน้ำตาลสดเกยไชย จนกลายเป็นคำขวัญประจำอำเภอชุมแสงว่า
" ถ้าไปชุมแสงแล้วไม่ได้ลิ้มชิมรส น้ำตาลสดเกยไชย ก้เปรียบเหมือนไม่ได้ไปชุมแสง"
การถนอมอาหารจากน้ำตาลโตนดของกลุ่มอาชีพผลิตภัณฑ์จากตาลโตนด หมู่ 6 ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์นับว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยสามารถแบ่งตามประเด็นหลักๆ ดังนี้
1. การเตรียมอุปกรณ์ ประกอบด้วยอุปกรณ์ที่สำคัญดังนี้
1.1 การเลือกต้นตาลที่พร้อมที่ให้น้ำตาลซึ่งต้องมีอายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป และต้องเป็นต้นที่ไม่สูงเกินไป
ต้นตาลที่ เกยไชยมีมากมายประมาณ สองหมื่นกว่าต้น เป็นตำบลที่มีทรัพยกรทางธรรมชาติที่ได้เปรียบางด้านอาหารโดยเฉพาะน้ำตาล บรรพบุรุษจึงเกิดภูมิปัญญาที่จะเอาน้หวานลงมาดื่มให้ชื่นใจ แถมยังมีกรรมวิธีถนอมอาหารเอาไว้รับประทานได้นานวันอีกด้วย
ตาลต้นไหนพร้อมที่จะให้น้ำหวาน ชาวบ้านก็มีวิธีปีนขึ้นไปเอามาดื่มจนได้
โดยใช้บันไดที่ทำจากไม้ไผ่ป่าซึ่งหาได้ในพื้นที่ตนเองมาทำเป็นบันไดไต่ขึ้น
คุณสุเทพขึ้นตาลด้วยความชำนาญ แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์การขึ้นตาลที่โชกโชน
1.2 พะองตาล เป็นบันไดสำหรับปีนขึ้นต้นตาลซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ป่า
พะองตาลทำจากไม้ไผ่ป่าเพราะมีแขนงที่แข็งแรง
ตัดแขนงให้ยาวประมาณ 1 คืบ เพื่อเหลือพื้นที่ให้คนขึ้นตาลปีนขึ้นสบายๆ
1.3 มีดปาดตาล ใช้สำหรับปาดงวงตาลและดอกตาล จะมีความคมมากๆ
มีดปาดตาล เป็นอุปกรณ์ที่ชาวบ้านอาชีพขึ้นตาลจะต้องฝนมีดให้คมทุกวัน
ที่สำคัญต้องเก็บไว้ที่สูงๆ ห้ามเดินข้าม
1.4 กระบอกตาล ทำจากไม้ไผ่สีสุก สำหรับรองรับน้ำตาลจากงวงตาล
กระบอกตาล ที่ตั้งรอการรมควันไฟ เพื่อลดความชื้น ป้องกันเชื้อรา และนำตาลโตนดบูด
1.5 เตารมกระบอก ใช้สำหรับรมไฟให้ความร้อนกระบอกตาลก่อนที่จะนำกระบอกตาลไปรองรับน้ำตาลสดจากยอดตาล เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราในน้ำตาล
เตารมควันกระบอกตาล เพื่อลดความชื้นป้องกันเชื้อรา และปอ้งกันน้ำตาลบูด
1.6 แก่นตะเคียน สำหรับใส่ไว้ในกระบอกตาลที่รมควันแล้วเพื่อนำขึ้นรองน้ำตาลจากงวงตาล ซึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านเชื่อว่า ามีสารเคมีที่หยุดยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่จะทำให้น้ำตาลบูดเสีย
แก่นตะเคียนที่หั่นเป็นชิ้นเล้กเพื่อเตรียมใส่ลงในกระบอกตาล
1.7 ไม้นวดตาล มี 2 แบบ คือ ไม้นวดตัวเมียและไม้นวดตัวผู้ ไม้นวดตัวเมียจะกลมยาวประมาณ 1.50 เมตร ใช้สำหรับนวดงวงตาลตัวเมีย ไม้นวดตัวผู้จะแบนยาวประมาณ 1 เมตร ใช้สำหรับนวดตาลตัวผู้ โดยชาวบ้านมีข้อห้ามเกี่ยวกับไม้นวดตาลว่า ห้ามข้ามไม้นวดทั้ง 2 แบบ เพราะจะทำให้ประสบอันตราย และมีอันเป็นไปได้
ไม้นวดตาลตัวผู้ มีลักษณะกลม
ไม้นวดตาลตัวเมีย มีลักษณะแบน
1.8 เลืองวงตาล การเลือกงวงตาลตัวผู้จะมีเกสรที่เริ่มบานและร่วง แสดงว่าเป็นงวงตาลที่พร้อมจะทำน้ำตาล ให้เลือกงวงตาลสัก 2-3 งวง สำหรับตาลตัวเมียจะมีดอกหรือทะลายที่มีลูกตาลโตมีขนาดเท่ากำมือเด็ก และควรเลือกทะลายที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด
งวงตาลตัวเมียจะมีผลเล็กๆติดอยู่
งวงตาลตัวผู้ จะมีลักษณะเหมือนงวง
2. ขั้นตอนการขึ้นเก็บน้ำตาลจากงวงตาล
2.1 การเตรียมตัวของคนขึ้นตาล คนขึ้นตาลจะต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีเจ็บป่วยในวันที่ต้องขึ้นตาล อีกทั้งต้องแต่งกายให้รัดกุม ใส่เข็มขัด ผูกปลอกมีด ปาดตาล และเชือกให้เรียบร้อย ความชำนาญในคนขึ้นตาลได้มาจากการฝึกฝนมาจากพ่อแม่ และเรียนรู้ปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความชำนาญ
2.2 การนวดตาล งวงตาลที่ถูกเลือกทำน้ำตาลจะถูกนวดงวงตาล 2 วัน และหยุดพักการนวด 1 วัน และนวดงวงตาลซ้ำอีก 2 วันและหยุดพักอีก 2 วัน หลังจากการนวด ถ้าเป็นดอกตาลหรือทะลายซึ่งเป็นของต้นตาลตัวเมีย หลังจากนวดแล้ว ก็ปาดงวงตาลและทำน้ำตาลได้เลยสำหรับงวงตาลตัวผู้ จะต้องทำการแช่งวงตาลอีกประมาณ 2 วัน สำหรับวิธีการแช่งวงตาลนั้นทำได้โดยการนำกระบอกน้ำตาลใส่น้ำสะอาด โดยทำการแช่ทิ้งไว้ 2 วัน เพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับทำน้ำตาลต่อไป
2.3 การปาดตาล ปาดหางงวงหนูทิ้ง แล้วปล่อยน้ำฝาดไหลทิ้ง 2 วัน แล้วปาดตาลใหม่ เมื่อน้ำตาลเริ่มไหลดี จึงใช้กระบอกตาลแขวนรองรับน้ำตาลจากงวงตาล
2.4 การนำกระบอกตาลรองรับน้ำตาลจากงวงตาล หลังจากปาดงวงตาลเตรียมกระบอกรองน้ำตาล ที่ใส่แก่นตะเคียน สับให้เป็นชิ้น มีขนาด 1 - 2 เซนติเมตร โดยให้ใส่ไว้ในก้นกระบอก กระบอกละ 4 - 5 ชิ้น กระบอกใส่น้ำตาลสดนั้น ต้องรมควัน ให้ภายในกระบอกแห้งสนิทเสียก่อน เพื่อป้องกันเชื้อราและเพื่อไม่ให้น้ำตาลสดเสีย
คนขึ้นตาล ใส่แก่นตะเคียนลงในกระบอกตาลเพื่อเตรียมนำไปแขวนรองน้ำตาลจากงวงตาล
คนขึ้นตาล บอกว่าไม่ชอบใส่เสื้อ เพราะอากาศร้อน ซึ่งต้องขึ้นวันละ 2 ครั้ง
เช้ามืด กับตอนเย็น เพื่อไม่ทิ้งให้นำตาลโตนดบูด
1 การเตรียมอุปกรณ์
1.1 กระถังแกลลอนพลาสติก สำหรับใส่น้ำตาลโตนดที่เทจากกระบอกตาลหลายๆใบ เพื่อนำไปเตรียมถนอมอาหารด้วยความร้อนต่อไป
1.2 กระชอนกรองน้ำตาล ใช้ตะแกรงพลาสติก ใช้สำหรับกรองเศษผงที่อาจติดมากับน้ำตาลสด สำหรับกรองเศษแก่นตะเคียนและเศษผงอื่นๆก่อนนำไปต้มในกระทะใบบัว
1.3 เตาต้มน้ำตาล เชื้อเพลิง และกระทะใบบัว เตาต้มน้ำตาล เป็นเตาที่ปั้นด้วยปูนซึ่งชาวบ้านคิดและทำขึ้นมาเอง และมีความทนทานกว่าเตาดินมาก ในขณะที่มีความปลอดภัยของผู้เคี่ยวน้ำตาลเนื่องจากมีการทำปล่องควันเพื่อระบายควันออกสู่ด้านบนของหลังคา อีกทั้งเชื้อที่ใช้จะใช้เปลือกตาลที่แห้งแล้วมาเป็นเชื้อเพลิงข้างใน และเติมแกลบลงบนเชื้อเพลิงอีกครั้งหนึ่ง และยังอำนวยความสะดวกให้อีกด้วยการมีระบบการเติมแกลบอัตโนมัติลงบนด้านข้างของเตาเคี่ยวตาล โดยเตาเคี่ยวตาลสามารถรองรับกระทะใบบัวใหญ่
เตาต้มน้ำตาล ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้าน ที่พยายามปรับปรุงให้เตามีความแข็งแรง
และผู้ทำงานก็มีความสุข เพราะมีปล่องระบายควันไฟและความร้อนออกทางหลังคา
แกลบซึ่งเป็นวัสดุที่เหลือจากการสีข้าว และเป็นอาชีพหลักของคนเกยไชยคือการทำนา หลังจากสีข้าวแล้วก็นำแกลบมาทำเป็นเชื้อเพลิงต่อ
2. การเตรียมวัตถุดิบ ใช้น้ำตาลโตนดจากงวงตาลล้วนๆ 100 % เคี่ยวเท่านั้น โดยไม่มีส่วนผสมอย่างอื่น จึงจะได้น้ำตาลสดที่แท้จริง
น้ำตาลโตนดแท้ๆที่กรองเศษไม้และเศษผงอื่นๆออก พร้อมที่จะนำไปต้มเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
3. ขั้นตอนการเก็บรักษาน้ำตาลโตนด
3.1 การทำน้ำตาลโตนดแบบพื้นบ้าน
3.1.1 เทน้ำตาลโตนดลงในกระทะใบบัว
3.1.2 เคี่ยวน้ำตาลโตนดนานประมาณ 30 นาที และได้รสชาติของความหวานในระดับที่ต้องการ
3.1.3 เทน้ำตาลโตนดที่ต้มแล้วลงในกระถ้งสแตนเลส ปล่อยให้ตกตะกอนแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
3.1.4 บรรจุน้ำตาลโตนดลงในขวดพลาสติกขนาด 950 ซีซี. หรือ 350 ซีซี.
3.1.5 เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิไม่เกิน 8-10 องศาเซลเซียส เก็บได้นานอีก 7 วัน ถ้าหากไม่แช่ตู้เย็นจะต้องดื่มให้หมดวันต่อวัน
น้ำตาลโตนดที่ต้มไปไม่นาน ขณะเดือดมีกลิ่นหอมๆไปทั่วทั้งบ้าน
น้ำตาลโตนดที่เดือดได้ที่ (ต้มนาน 30 นาที พร้อมที่จะยกลงจากเตา)
น้ำตาลโตนดที่ต้มเรียบร้อยแล้ว พักทิ้งไว้ให้เย็น และเตรียมกรอกใส่ขวด เพื่อเก็บไว้บริโภคและขายให้กับผู้ที่เดินทางผ่าน เกยไชย ชุมแสง
น้ำตาลสดบรรจุลงขวดพลาสติก สามารถนำไปแช่ตู้เย็น
เพื่อเป็นการถนอมอาหารไว้รับประทานได้อีก 7- 10 วัน
3.2 การทำน้ำตาลปึก
3.2.1 เทน้ำตาลสดลงกระทะใบบัวประมาณ
3.2.2 เคี่ยวน้ำตาลสดให้เดือดและเป็นฟอง
3.2.3 เคี่ยวน้ำตาลสดจนเหนียวและกลายเป็นสีเหลืองค่อนสีน้ำตาล
3.2.4 หยอดน้ำตาลที่เคี่ยวเหนียวแล้วลงบนเบ้าพิมพ์ไม้สำหรับทำน้ำตาลปึก โดยใช้ผ้าขาวบางรองเพื่อจะได้แกะออกจากเบ้าพิมพ์ได้ง่าย
3.2.5 เก็บใส่ภาชนะหรือถุงให้มิดชิดและไม่ถูกแดดหรือความร้อน จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน
เคี่ยวน้ำตาลโตนดต่ออีก 1 ชั่วโมง ให้นำตาลเดือดปุด ก็จะยกลงและกวนให้ขึ้นเนื้อน้ำตาลและนำไปหยอดในภาชนะมี่รองด้วยผ้าขาวบาง นานประมาณ 15- 20 นาที
เก็บนำตาลโตนดหรือน้ำตาลปึกใส่ถุงให้มิดชิด ไม่ให้ลมเข้า และไม่ให้ถูกความร้อน จะช่วยถนอมนำตาลปึก และเก็บไว้รับประทานได้อีกเป็นเดือน
จากการได้ชมภูมิปัญญาของชาวบ้านเกยไชย เกี่ยวกับการถนอมอาหารจากน้ำตาลโตนด ไม่ใช่มีแค่เพียงการทำน้ำตาลโตนดแบบพื้นบ้าน และการทำน้ำตาลปึกเท่านั้น ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่เป็น OTOP ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านๆจริง ที่สำคัญคือทำให้รู้สึกว่าการขึ้นตาลเป็นอาชีพที่ควรส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ และรัฐบาลควรคุ้มครองและสิทธิพิเศษกับคนขึ้นตาล หรือคนที่มีอาชีพอนุรักษ์ความเป็นภูมิปัญญาไทย เพื่อให้อาชีพคนขึ้นตาลมีการสืบทอดกันต่อไปอีกยาวนาน เพราะอาชีพนี้นั้นพ่อแม่ไม่ส่งเสริมให้ลูกๆสืบทอดที่จะขึ้นตาล เพราะมีความเสี่ยงสูงมากๆ และก็เหนื่อยมาก ดังนั้นภาครัฐควรส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาช่วยคิดนวตกรรมหรือเทคโนโลยีในการขึ้นเก็บน้ำตาลโตนด เพื่อให้รุ่นลูก รุ่นหลานได้มีน้ำตาลโตนดรับประทาน ไม่ใช้รู้จักเพียงที่ชื่อเท่านั้น
ขอกราบขอบพระคุณ คุณสุเทพ พลไพรินทร์ คุณชูเกียรติ พลไพรินทร์ และสมาชิกกลุ่มอาชีพผลิตภัณฑ์จากตาลโตนดบางท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามมาณ.ที่นี้ ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความรู้และช่วยให้คำแนะนำดีๆให้กับกับข้พเจ้า ซึ่งทำให้ให้งานศึกษาชิ้นนี้ผ่านลุล่วงไปด้วยดี
คำแนะนำ จากพยาบาลซึ่งห่วงใยผู้ที่ชอบทานของหวาน
ถึงแม้ว่าน้ำตาลเป็นอาหารจำเป็นชนิดหนึ่งของชีวิต เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ต่อการสร้างพลังงาน คนธรรมดาที่ไม่ทำงานหนัก จะต้องการพลังงานความร้อน ประมาณ 2,500 แคลอรี่ /24 ชั่วโมง น้ำตาล 1 กรัม เมื่อถูกเผาผลาญ จะให้ความร้อน 4 แคลอรี่
น้ำตาลจึงเป็นอาหารที่ให้คุณค่าแก่มนุษย์ที่ต้องการพลังงานทั้งทางสมองและพลังกายมากกว่าอาหารประเภทอื่น หากร่างกายขาดน้ำตาลหรือได้น้ำตาลมากเกินความจำเป็น สุขภาพของมนุษย์ก็จะได้รับความกระทบกระเทือนมากเหมือนกัน
ดังนั้นการบริโภคน้ำตาลพอเหมาะพอควรจึงเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย หากมีการบริโภคในปริมาณมาก จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน ทางทีดีควรมีการตรวจสุขภาพทุกๆปี เพื่อค้นหาภาวะเสี่ยงของตนเอง และจะได้รู้จักวิธีการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง
สมพร เจษฎาญานเมธา
นิสิตปริญญาเอก ปี 1 หลักสูตรปรัชญาดุษฎับัณฑิต
สาขาการศึกษา แขนงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
*ชื่นชมนะคะ
*แวะมาหาความรู้
วาสนา
แวะมาชมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าทึ่งในความฉลาด ความสามารถของคนในท้องถิ่นมากๆเลย
สวัสดีครับ..พี่ไก่
เมื่อก่อนจะชอบกินมาก เพราะตอนเด็กๆกินบ่อยครับ พึ่งจะมารู้ว่าก่อนจะมาถึงเป็นน้ำตาลสดต้องผ่านขบวนการหลายขั้นตอนแถมยังเก็บรับประทานได้หลายวันด้วย
เข้ามาเยี่ยมชม และเรียนรู้ภูมิปัญญาดีดีค่ะ
บ้านเกิดเราเองจ้า
อาหารมืงกวนตีนมากมาก
lสนใจต้องการชือรับประทาน อยู่จังหวัดอุดรธานีมี ขายที่ไหน ต้องการซื้อมากค่ะกรุณาบอกด้วย
ข้อมูลที่ได้มาจะเอาไปทำรายงานครับ(วิจัย)
ขอบคุณในภมิปัญญาบรรพบุรุษและอาจารย์ผู้เรียงเป็นอย่างมาก จากคนที่สนใจ ถ้าหากเพิ่มวิธีการนวดงวงตาล เป็นขั้นตอนอย่างละเอียด พร้อมกับมีภาพประกอบด้วย จะเป็นความรู้ที่วิเศษทีสุดเลย ขอขอบคุณ
ขอบขอบพระคุณสำหรับความรู้ภูมิปัญญาของปู่ย่าตายายที่ยังคงไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาสืบไป
ดีมากคะ ได้ความรู้มากๆ