เธอเข้าใจและทำใจ ใช้หลักธรรม เมตตาบารมีเข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และไม่แพ้โลก กล่าวคือ ไม่ยอมเป็นทุกข์อย่างขาดสติ สามารถดึงใจให้กลับจากความเป็นทุกข์ ให้ดำเนินไปในทางปกติที่สุดได้สำเร็จ ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชีวิตและแก่โลก
Guidance Angel ---เทพธิดา
ผู้เป็นแสงประทีปของครอบครัว
กำลังเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของชีวิต
โดยไม่ต้องไปวัด
สืบเนื่องมาจากบันทึกของ
คุณ วงศกฤต
เกรียงวรกุล
ที่ดิฉันได้อ่านด้วยความเข้าใจ เห็นใจ
และชื่นชมคุณวงศกฤต อย่างมากที่นำเรื่องนี้
มาเป็นกรณีศึกษา โดยให้เหตุผลว่า
"อยากให้คนไทยเข้าใจและช่วยเหลือผู้ป่วยอัลไซเมอร์"
แต่กรณีที่ดิฉันพบเห็นและใกล้ชิดด้วย
3 รายนี้ ไม่เหมือนกับเรื่องของคุณ วงศกฤต
·
รายแรก เป็นคุณพ่อของเพื่อนที่ป่วยด้วยโรคนี้ มานานมาก
สุดท้าย ต้องอยู่โรงพยาบาล และเสียชีวิต ซึ่งที่น่าแปลกคือ คุณแม่ของเพื่อน
ก็เป็นด้วย แต่เริ่มเป็นในช่วงหลังๆ ก่อนคุณพ่อจะเสีย
3 ปี ลูกๆพยายามใกล้ชิด ดูแลเป็นอย่างดี แต่อาการ
ของท่านก็จะเหี่ยวเฉาลงอย่างช้าๆ จนบัดนี้ จำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของลูกหลานอย่างดียิ่ง
สิ่งที่น่าแปลกคือ ทั้งคู่
ไม่มีใครในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้เลย และโรคนี้ ไม่ใช่โรคติดต่อ
แต่ทำไม สามีภรรยา
เป็นกันทั้งคู่เลย
โดยเริ่มเป็นเมื่ออายุ 75 ปี ดิฉันได้เคยไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ
ในช่วงที่ท่าน ยังพอจำ เพื่อนๆของลูกๆได้
-
อีกรายหนึ่ง เป็นสามีของผู้บังคับบัญชาเก่า ที่ดิฉันรักมาก
เหมือนพี่สาว
ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ขอสมมุติชื่อเธอว่า
พี่ปริมค่ะ
ในบรรดาคนที่ดิฉันรู้จักทั่วไป พี่ปริม เป็นคนที่
ใจดีมาก มีน้ำใจเมตตากรุณา
ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มองโลกในแง่ดีเหลือเกิน
คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนคิดถึงตัวเองเสมอ
เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้โดยเฉพาะการเสียสละเพื่อลูกสาว
2 คน และสามี
จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วทั้งรัฐวิสาหกิจนี้
ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศไปที่ไหน
ก็มีแต่คนรัก คนชอบ ได้สิทธิพิเศษต่างๆนานา โดยผู้คนเหล่านั้น
จะเต็มใจช่วยเหลือเธอเอง ซึ่งเรื่องนี้
เป็นบุญเฉพาะตัวจริงๆ
แต่สิ่งที่ทุกคนต้องประหลาดใจ
และอยากทราบจริงๆว่า
กรรมอะไรที่กำลังส่งผลให้เธอตอนนี้
คือ เธอ
ต้องดูแลและเฝ้าดูสามีที่กำลังป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ด้วยความร้าวรานใจอย่างบรรยายไม่ถูก
7 ปีมาแล้ว โดยที่ประวัติ
ก็ไม่มีใครในครอบครัวเป็นโรคนี้
การศึกษาดี
เป็นวิศวกรระดับผู้อำนวยการ
เคยได้รับการผ่าตัดสมองแล้ว 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
เริ่มเป็นครั้งแรก อายุ71 ปี ดิฉันไปเยี่ยมให้กำลังใจเธอเสมอ
ไม่ว่างก็โทรศัพท์ไป แต่เธอไม่เคยแสดงความเบื่อหน่ายที่จะดูแล
จะมีอยู่ครั้งเดียว ที่เธอบอกว่า
พี่เครียดนะ ดิฉันฟังแล้วใจหายจริงๆ
แพทย์แจ้งแก่เธอว่า
ในสมองของสามี มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า
พลัค--
plaque
และเส้นใยประสาทพันกัน
โดยเกิดขึ้นในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาท
การบำบัดที่น่าสนใจและดูว่าได้ผลคือ
แพทย์ให้ใช้เสียงดนตรีและการเล่นสับไพ่ที่เป็นสีๆ
มาช่วย ปรากฏว่า สามีเธอต่อเนื้อร้องเพลง บัวขาวได้จนจบ
ตอนนี้กำลังต่อเพลงอื่นๆอยู่ ส่วนเรื่องไพ่
ก็วางเรียงได้ แต่ยังสลับไม่ได้
บางครั้งจำเหตุการณ์เก่าแก่ได้ แต่จำคนในครอบครัวไม่ได้ ส่วนเรื่องยา
แพทย์ให้ยากันชัก เพราะมีอาการชักบ่อย
และยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสันด้วย ซึ่งเลยกลายเป็นง่วงนอนทั้งวัน
จนต้องปลุก มีคนแนะนำให้กินแปะก๊วย
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่
คนเราใช้ประโยชน์จากพืชที่มีความเก่าแก่ ว่ากันว่า
เก่าแก่ก่อนยุคไดโนเสาร์ด้วยซ้ำ
สิ่งที่ดิฉันคิดว่า พี่ปริมซาบซึ้งมากที่สุดตอนนี้ คือ
ซาบซึ้งการเข้าถึงสัจธรรมด้วยตนเอง
ว่า
ผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
ต้องรับศึกหนักมาก เพราะจะต้องพยาบาลอย่างเต็มตัว
เต็มเวลา
โดยแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม
เธอเข้าใจและทำใจ
ใช้หลักธรรม เมตตาบารมีเข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
และไม่แพ้โลก ไม่แพ้ชีวิต และสิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ ข้อพิสูจน์ ของคำว่า "รักแท้ " และ
" คู่ชีวิต"
กล่าวคือ ไม่ยอมเป็นทุกข์อย่างขาดสติ
สามารถดึงใจให้กลับจากความเป็นทุกข์
ให้ดำเนินไปในทางปกติที่สุดได้สำเร็จ
ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชีวิตและแก่โลก
ปัจจุบันเธอสดชื่น
ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ เป็นปกติดี
ยังมีอารมณ์ขันด้วยซ้ำ
สัจธรรมที่เธอได้ค้นพบด้วยตนเอง
ทำให้เกิดปัญญา ไม่ยินดีในเพราะสุข
ไม่ยินร้ายในเพราะทุกข์นั้นๆ
สามารถอยู่ได้อย่างใจสงบ มีความสุขได้ตามควร
นับถือเธอจริงๆค่ะ