สวัสดีค่ะคุณ เบิร์ด
ทราบว่าคุณเบิร์ดยุ่งมากๆพักนี้ แต่ยังเจียดเวลามอ่านและให้ความเห็นที่มีคุณค่าอย่างเหลือเกิน ทำให้เห็นภาพของเรื่องการทำงานของสมองทั้ง 2 ซีกที่มีความเกี่ยวพันกันเป็นอย่างมาก รวมทั้งอธิบายอย่างมั่นใจว่า ดนตรีนี่แหละคือบ่อเกิดของจินตนาการอย่างแท้จริง
ค่ะ พี่เห็นด้วยเป็นอย่างที่สุด ที่ดนตรีนี้ เป็นทั้งความพอใจ ความสนุกสนาน และความเคยชินส่วนตน พอๆ กับที่มันสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างจินตนาการ สร้างความรู้สึกนึกคิด สร้างการสื่อสารกับคนอื่นๆ และสร้างสิ่งที่ดีเลิศ เท่าที่ศักยภาพเยี่ยงมนุษย์จะอำนวยให้ได้นะคะ
ที่ทุกคนไม่ปฏิเสธคือ ดนตรีนั้นมีพลังลึกกว่าคำพูดและรูปภาพ และสามารถเข้าถึงการสื่อสารและการเชื่อมต่อในระดับลึก ในขณะที่คำพูดและรูปภาพไม่สามารถทำได้ค่ะ
ที่สำคัญอีกอย่างคือ ดนตรีนั้นสามารถข้ามอุปสรรคทางวัฒนธรรม เขตแดน และภาษาได้นะคะ
แต่คลื่นเสียงดนตรีที่มีอิทธิพลกระตุ้นสมองส่วนต่างๆ เท่าที่มีการศึกษามาคือ....(จากข้อเขียนของศ.นพ.ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ)
1. ดนตรีประเภทเบส เครื่องเคาะจังหวะ กระตุ้นก้านสมองและไขสันหลัง
2. ดนตรีประเภทเครื่องเป่า เครื่องสาย กระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ ( limbic system )
3. ดนตรีประเภทเครื่องสาย เสียงสูง พิณ ออร์แกน ระฆัง กระตุ้น neo - cortex
4. เสียงเปียโน กระตุ้นสมองทุกส่วน เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นโน้ตได้ครั้งละหลายๆ ตัว
พอเราฟังเพลงที่มีระดับคลื่นเสียงเป็น แอลฟ่า ( 8 – 12 รอบ / วินาที )แล้ว ภาวะร่างกายจิตใจสงบผ่อนคลายเป็นภาวะที่ เหมาะสมกับการเรียนรู้ รับข้อมูลต่างๆ
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปนะคะว่า ขณะที่เราสบายใจ อามรณ์ดี จะมีคลื่นสมองต่ำ ทำให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว เหมือนกับเวลาเรานั่งสมาธิจนจิตสงบแล้ว จะเกิดปัญญาต่างๆ รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรในตอนนั้น เป็นต้น
เวลาเราเปิดเพลง แต่เปิดเพลงเบาๆ เสียงต่างๆ ผ่านอวัยวะมีรูปร่างคล้ายก้นหอย ( cochlesr ) ในหู ภายในนั้นมีเซลล์ประสารทรับรู้เสียง ประมาณ 30,000 ตัว คอยแยกแยะความถี่ของคลื่นเสียง และส่งข้อมูลไปยังก้านสมอง ต่อไปยังศูนย์ข้อมูลที่เปลือกสมอง ((auditory cortex ) และยังมีส่วนสมองเกี่ยวกับเสียงอีก 12 ส่วนกระจายอยู่ในเปลือกสมอง ทั้ง 2 ซีกทำงานประสานกันสมบูรณ์ขึ้น เมื่อได้ยินเสียงดนตรี
ดังนั้น เมื่อมาดูที่ คุณเบริ์ดอธิบายน่ะค่ะว่า ไอน์สไตน์มีร่องแบ่งสมอง 2 ซีกตื้นกว่าคนปกติ จนเหมือนเป็นสมองก้อนเดียวมากกว่าจะเป็น 2 ซีก
ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่ สมองของเขาทำงานประสานกันเป็นอย่างดี โดยการช่วยเหลือของดนตรี คือ ไวโอลิน ที่เขาเล่นอยู่เป็นประจำนะคะ
แต่นี่ก็คือ ข้อสันนิษฐานเท่านั้นเองค่ะ
ทีนี้มาในสมัย ปี 2005 นี้บ้าง
ทางคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้มีมติมอบรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ แก่นักเศรษฐศาสตร์ 2 ท่าน คือ ดร.ธอมัส ซี.เชลลิ่ง (Thamas C.Schelling) ชาวอเมริกัน อายุ 84 ปี เป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ และอีกท่านหนึ่งเป็นชาวอิสราเอลเชื้อสายอเมริกัน ชื่อ ดร.โรเบิร์ต เจ.อาวมันน์ (Robert J. Aumann) อายุ 75 ปี เป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮิบรู ประเทศอิสราเอล
ทั้ง 2 ท่านได้พัฒนาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ต่อยอดทฤษฎีพฤติกรรมการเล่นเกมของมนุษย์ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การเมือง การทหาร การค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งศาสตร์อื่นๆ เช่น สังคมวิทยา และอื่นๆ
เรามักจะพบว่าในการเล่นเกมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งได้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียรวมแล้วเป็นศูนย์ ภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่า zero sum game
แต่ถ้า มีได้มีเสียแต่รวมกันแล้วเสียก็เรียกว่า negative sum game
ถ้ามีได้มีเสียแต่รวมกันแล้วได้ก็เรียกว่า positive sum game
หรือบางกรณีได้ทั้งคู่ก็เป็นกรณีชนะด้วยกันทุกฝ่ายก็เป็น กรณีที่ชอบเรียกกันว่า win-win game หรือกรณีเสียด้วยกันทั้งคู่ ก็คือ แพ้ด้วยกันทั้งคู่
ในกรณีต่างๆ เหล่านี้พฤติกรรมของแต่ละฝ่าย รวมไปถึงพฤติ กรรมของตลาดจะเป็นอย่างไร สามารถอธิบายได้ด้วยเทคนิคทางคณิตศาสตร์
ทฤษฎีพฤติกรรมของมนุษย์ในการเล่นเกมกันแต่ละเกม อธิบายด้วยภาษาพูดหรือภาษาเขียนได้ยากมาก ต้องอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงจึงจะอธิบายได้ ภาษาคณิตศาสตร์เขาเรียกว่า ปัญหา maxminimization และ minimazation
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะนำเป็นตัวอย่างว่า ท่านทั้งสองเก่งคณิตศาสตร์มาก แต่ไปค้นในประวัติ ไม่พบว่าท่านเล่นดนตรีเก่งค่ะ หรือท่านจะไม่เอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวเลย ก็ไม่ทราบค่ะ
สรุปอีกทีสุดท้ายค่ะ.....การมีความสามารถเล่นดนตรีได้ดี กับการที่เป็นคนเก่งคณิตศาสตร์นั้น ยังไม่มี ใครกล้าฟันธง ว่า มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกันขนาดไหนนะคะ
เมื่อ ส. 08 มี.ค. 2551 @ 21:54
569226 [ลบ]
สวัสดีค่ะ พี่ sasinanda