ขอบคุณทุกท่านค่ะ
- คุณพันคำ
- คุณวัลภา (คนไม่มีราก)
- อ. ขจิต
- คุณกวิน
- พี่แจ๋ว (jaewjingjin)
เขียนต่อนิดนะคะ
ภาษาจีนอ่านว่า เร็น (rén)
ภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า จิน (jin) - [เป็น code ของ ซามูไร และ bushido ด้วย]
คุณ แคเร็น นักเขียนในดวงใจเราพูดไว้ว่า
คนเราจะเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้า หรือ รู้แจ้งได้ก็ด้วย "ความเห็นอกเห็นใจ" ด้วย compassion นีี่แหละ ไม่ว่านับถือศาสนาไหน คำสอนสำคัญของทุกศาสนาคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เพราะเมื่อเราเอาใจเข้ามาใส่ใจเราแล้วนั้น เราจะกำจัดตัวกูออกไป โยนเอาความคิดที่ว่าเราเป็นศูนย์กลางของโลกออก แล้วเอาผู้อื่นเข้ามาในใจแทน
และเมื่อใดเราไม่มี ego แล้ว เราก็พร้อมที่จะรับรู้อะไรซักอย่างที่มันยิ่งใหญ่มากๆ (ready to see the Divine)
กฎทองของทุกศาสนาคือข้อนี้แล
คำสอนทั้งหมดเหมือนกับที่ขงจื้อ (Confucius) สอนไว้ 500 ปีก่อนพระเยซูว่า
มนุษยธรรมจึงไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว แต่เหมือนอักษรจีน มันคือสิ่งที่อยู่เชื่อมระหว่างคนสองคนนั่นเอง
ที่มา:
ชอบจังเลยค่ะ
อธิบายได้ดีจัง แล้วก็ชอบตัวหนังสือจีนนี้ด้วยค่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวข้างหน้าเป็นคน ตัวข้างหลังเป็นเลขสองเลยนะคะ แต่ถ้ามองแบบนี้ก็ไช่เลยค่ะ ^ ^
ขอบคุณค่ะอ. กมลวัลย์
มัทก็ชอบมากจนต้องมาเขียนบันทึกเลยทั้งๆที่งานยังไม่เสร็จ! : P
พอดีไปอ่าน transcript ที่คุณแคเร็นมาพูดไว้ที่ TED talks แล้วได้แรงบันดาลใจอย่างแรง hahahahaha
ไปทำงานต่อแล้วค้าาา : )
ขอบคุณครับ
น่าสนใจมากครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอมัท
สวัสดีค่ะหมอมัท
อ่านแล้วสบายใจจัง
ขอบคุณค่ะ :)
อ. พิชัย กรรณกุลสุนทร เคยเขียนเรื่อง เมตตาธรรม ไว้ที่นี่และที่นี่ค่ะ
วิธีเจริญเมตตา
1. เราต้องเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น สมเหตุสมผลทุกกรณี กรรมเราทำไว้ก่อนทั้งนั้น ความโกรธ ความโลภ ความหลงในจิตใจเป็นต้นเหตุ เราต้องรับผิดชอบ 100 % ด้วยตัวเอง
2. พยายามเข้าใจ เห็นอกเห็นใจเขาว่า เขาก็กำลังทุกข์เหมือนเราเหมือนกันทุกชีวิต ทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผิดหวัง ไม่สมปรารถนาต่างๆ ยิ่งคนที่กำลังด่านินทาเรา เขาทุกข์ก่อนเราอีก สงสารเมตตาเขา ถึงแม้ว่าเขากำลังได้เปรียบ เราเสียเปรียบก็ตาม
ไม่ต้องอิจฉาเขา ไม่ต้องน้อยใจอะไรเลย
ถ้าเขากำลังได้เปรียบมีความสุขที่ได้มาจากอกุศลกรรม บาปกรรม แล้วไซร้
เปรียบเทียบได้ว่าเขากำลังมีความสุขอยู่ชั้นบน แต่ชั้นล่างไฟกำลังไหม้บ้าน
ควรสงสารเขาตั้งแต่บัดนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้
เราไม่ต้องสร้างกรรมสร้างเวรกับใครอีกต่อไป ให้ตั้งอยู่ในความดี
ความถูกต้องด้วยกายวาจาใจดีกว่า............
ขอบคุณทุกท่านค่ะ
เมตตาธรรมเป็นจุดเริ่มของพรหมวิหาร 4 ทั้งหมด เป็นธรรมค้ำจุนโลก ทำให้โลกสงบสุข
ศาสนาพุทธเด็ดตรงที่สอนต่อไปจากนั้นอย่างละเอียดอีก ว่าจะพ้นจากโลกียะอย่างไร
แต่มัทคนนึงที่เชื่อว่าคนศาสนาอื่นที่เค้าไม่ติดที่ doctrine เข้าถึงแก่นจริงๆ เค้าพบโลกุตระได้เช่นกันแต่เค้าพบเอง ไม่มีทางชัดอย่างศาสนาพุทธ
มัทไม่ชอบที่จะพูดว่าศาสนาพุทธเท่านั้นคือทางออก เพราะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลยในโลกปัจจุบัน มัทเห็นด้วยกับการเข้าถึงแก่น หาความเหมือนของศาสนาต่างๆ
ศาสนาอื่นเค้าก็สอนเรื่อง การเจริญสติเช่นกัน แต่คนละแบบ และอาจจะไปไม่สุดทาง อย่างละเอียดเท่าที่พระพุทธเจ้าสอน เพราะเค้าติดที่ doctrine มากเหลือเกิน
แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นสาเหตุที่เราจะไปบอกว่าของเขาผิดของเราถูก
ควรจะช่วยกันพากันไปให้พ้นทุกข์มากกว่า
เช่น
มัทเคยฟัง Rabbi Zalman Schachter-Shalomi พูด มัทเชื่อว่าอย่างน้อยเค้านี่แหละที่เป็นยิวแต่เข้าถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
ท่านแปลคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษา Hebrew แล้วไปสอนต่อด้วย ท่าน meditate ด้วย
ท่านพูดว่า God "เป็นสภาวะธรรม" ไม่ได้เห็นเป็นผู้ชายหน้าตาใจดีหรืออะไรที่เป็นตัวตนเลย
cool! ดีนะ เขียนแบบนี้ดี เปิดโลกทัศน์และเปิดใจ พี่ไม่ถนัดเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ คือถ้าจะเขียนต้องศึกษาอีกเยอะ เลยเลือกทำสิ่งที่ตัวเองถนัดก่อน ตัดสินใจได้แล้ว เขียนเชิงอิงประวัติศาสตร์ดีกว่า ให้ความรู้และไม่ค่อยเกิดข้อถกเถียงด้วย แล้วไว้ค่อยลงเรื่องที่เป็นแก่นอีกที คืออย่างศาสนาคริสต์พูดแล้วก็ยังเข้าใจยากสำหรับคนไทยนะ เพราะมันไกลตัวในเรื่องของพื้นฐานทางวัฒนธรรมด้วย แทบจะไม่มีอะไรที่โยงกันให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ ถ้ามีการปูพื้นฐานให้เห็นภาพรวมกว้างๆ ก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดอาจจะทำความเข้าใจได้มากขึ้น ส่วนศาสนาอื่นด้วยความรู้ที่น้อยจัดเลยไม่รู้ว่าจะนำมา compare ยังไง แค่อันเดียวก็จะแย่แล้วง่ะ - - "
ที่สำคัญไม่ได้ตั้งใจจะมาเผยแผ่ศาสนาด้วย อยากแค่ถ่ายทอดสิ่งที่รู้ให้คนอื่นได้อ่าน ส่วนเรื่องอื่นต้องไปคิดเอง ปรึกษาได้ถ้าสงสัยแต่ไม่ชี้นำ จริงๆ คิดแบบนี้นอกคอกนะ คริสเตียนคนอื่นมาเห็นอาจจะประนามว่าไม่ทำตามคำสั่งสอน แต่พี่ก็เป็นงี้ล่ะ ไม่เคยเปลี่ยนความคิดมานานแล้ว เชื่อว่าถ้าคนมีความรู้ ได้รับข้อมูลเพียงพอ ศึกษาจนเข้าใจ เลื่อมใส เปิดใจยอมรับ และเกิดปฎิสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณโดยตรงเอง อันนั้นก็เป็นเรื่องประสบการณ์ระหว่างเขากับ God เราไม่เกี่ยว แบบนั้นถึงจะเป็นของจริง ไม่ใช่เชื่อแบบมึนๆ คล้ายแบบอุปทานหมู่หรือถูกป้ายยา ซึ่งสักวันมันก็จืดจางลงได้ ไม่ถาวร แต่ถ้าได้ข้อมูลแล้วไม่เชื่อก็ถือว่าได้เรียนรู้เพิ่ม มีแต่กำไรล้วนๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าเสียหาย คือพี่ถือว่ามีหน้าที่แค่นำสาร บอกสิ่งที่เรารู้ เราได้รับก็พอแล้ว เป็น messenger นั่นเอง
สวัสดีค่ะพี่ซูซาน
พี่เจตนาดี ไม่ต้องกังวล ถ้าเค้าไม่เข้าใจเราก็ทำไปเรื่อยๆแสดงความจริงใจ
ชอบที่พี่เขียนมากค่ะ "ปรึกษาได้ถ้าสงสัยแต่ไม่ชี้นำ" แล้วก็ "เกิดปฎิสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณโดยตรงเอง ...เป็นเรื่องประสบการณ์ระหว่างเขากับ God เราไม่เกี่ยว แบบนั้นถึงจะเป็นของจริง"
ถูกใจใช่เลย
มัทเชื่อว่าการสอนที่ดีที่สุดไม่ใช่การ preach แต่เป็นการพูดและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งมัทว่าพี่ทำได้ดีแล้ว ไม่ต้องไปกลัวคริสเตียนคนอื่น
เป็นเรื่องประสบการณ์ระหว่างพี่กับ God ...คนที่เข้าใจเค้าจะมาเกี่ยวกับพี่แบบเชื่องโยงสรรพสิ่งในโลกเข้าด้วยกันอย่างมีความรักที่เต็มเปี่ยม....คนที่ไม่เข้าใจ....ก็ช่างเค้า....ไม่เกี่ยว : )
ขอบคุณพี่มากค่ะ ไว้มัทมีอะไรสงสัยจะถามพี่แน่นอนค่ะ