บทความเต็ม โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 7 มิถุนายน 2551
via บล็อกจิตวิวัฒน์ > ย่อความโดยผู้เขียน (ส่วนที่เป็นตัวเอียงเท่านั้นที่ผู้เขียนเขียนเองค่ะ)
คือการดาวน์โหลด (Downloading) เพื่อนำข้อมูลเก่ามาใช้แบบอัตโนมัติ ไม่มีการคิดใหม่ ไม่มีการสร้างสรรค์ใหม่
ในแง่ของการต่อสู้นั้น
เราจะพยายามแยกแยะมองมิตรและศัตรูแยกจากกันอย่างเด็ดขาด ประมาณว่า "ถ้าไม่ใช่พวกฉันก็เป็นศัตรูของฉัน" เห็นท่าที(หรือแค่หน้าตา)ปุ๊บก็คิดไปเองเลยว่านี่ศัตรู
จริยธรรมในระดับที่หนึ่งนี้
เราจะเข้าไปไล่ล่าโจมตีคนที่เราคิดว่าเป็นศัตรูของเราเลย เพราะคิดว่าโจมตีก่อนได้เปรียบ ทำลายล้างไปก่อน เราจะได้อยู่รอด เราเลือกที่จะใช้ "ความกลัว" เป็นที่ตั้ง
เป็นฐานในการกระทำการต่างๆ ของเรา
(ไม่ทันขันธ์ 5 ตัวเอง ยึดสัญญาแล้วสังขารปรุงแต่งไปไม่มีสติ)
พยายามหาหนทางใหม่ๆ แต่ยังเป็นกรอบคิดแบบเดียวกันกับระดับที่หนึ่ง คือ ยังแยกแยะมิตรและศัตรูอย่างชัดเจน อาจจะมีการทดสอบมิตรว่าจะคิดแบบเดียวกันกับเราหรือไม่ ถ้ามิตรไม่คิดเหมือนเราตามที่เราได้ทดสอบ มิตรคนนั้นก็จะต้องกลายไปเป็นศัตรู
จริยธรรมของการต่อสู้ในระดับที่สองนี้ เราจะไม่โจมตีฝ่ายตรงข้ามก่อน แต่จะหาหนทางในการแยกแยะความเป็นมิตรความเป็นศัตรูให้ชัดเจน หาหนทางใหม่ๆ ในการยั่วยุให้ฝ่ายตรงกันข้ามโกรธ เมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นก็จะมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามด้วยความรุนแรง
(คิดดูว่าคนที่คุณคิดว่าเป็นศัตรูเค้าใช่วิธีนี้อยู่รึเปล่า ถ้าเราไปตอบโต้แบบระดับ 1 react กับสิ่งที่เค้ายั่วมา มันก็เข้าทางเค้าอ่ะดิ!)
เป็นระดับสำคัญที่เราเริ่ม "มองเห็น" ว่า "ไม่มีมิตรไม่มีศัตรู" มีแต่ "เพื่อนมนุษย์" เริ่มมองเห็น
"ความเป็นคนอื่น" ในตัวเรา
เรื่องราวที่เราเคยด่าเคยว่าคนอื่นนั้นบางทีเราเองก็ทำเหมือนเขานั่นแหละ
เราเริ่มมองเห็นแล้วว่าการโจมตีก่อนนั้นไม่มีประโยชน์อะไร
เป็นการทำลาย เป็นการสร้างศัตรูมากกว่าการที่จะได้ประโยชน์ร่วมกัน
การต่อสู้ในระดับนี้เราเริ่มเข้าใจคู่ต่อสู้หรือศัตรูของเรามากขึ้น (ฟังมากขึ้น มองให้กว้างขึ้น)
(ระดับนี้คือการพยายามเข้าใจ หาข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์)
ในระดับนี้เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
การต่อสู้ในระดับนี้ เราจะเป็นฝ่ายเฝ้าดู สังเกต ตั้งรับ
เราจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีคู่ต่อสู้ของเราก่อน
ถ้าคู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ดีโจมตีมา เราถึงจะ "ปลดอาวุธ" ของคู่ต่อสู้
ในไอคิโดมีคำพูดอยู่คำหนึ่งคือ "Protect the attacker"
คือเราจะปกป้องดูแลผู้ที่มาโจมตีเราไม่ให้เขาบาดเจ็บได้อย่างไร และนี่คือจริยธรรมระดับลึกที่สุดของศิลปะการต่อสู้
การต่อสู้ในระดับที่สี่
"มีความเป็นไปได้" ที่จะเกิดขึ้น และได้เกิดขึ้นแล้ว
ในศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ไอคิโด คาราเต้ ไท้ฉีฉวน
ผู้โจมตีจะถูกปลดอาวุธโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ
--------------------------------------------------------------
ลองย้อนมาดูตัวเรานะความเป็นจริงมีอยู่ว่า
"ความขัดแย้ง" เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตมนุษย์ ในทางใดก็ทางหนึ่ง
ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ไม่สถานที่ใดก็สถานที่หนึ่ง เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่มีความขัดแย้งในชีวิตนี้
แต่คำถามก็คือ "เราเลือกที่จะ 'จัดการดูแลความขัดแย้ง' เหล่านั้นอย่างไร?"
"เราใช้ระดับไหนของศิลปะการต่อสู้ในการจัดการดูแลความขัดแย้งเหล่านั้น?"
มนุษย์ส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างทุกเรื่องในระดับที่หนึ่งและสอง
แต่ความเข้าใจเรื่อง "สี่ระดับ" แบบนี้จะช่วยทำให้มองเห็นว่า
"เรายังมีหนทาง" และ "เรายังมีทางเลือก" ที่จะใช้ "ระดับการแก้ไขปัญหา"
ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
--------------------------------------------------------------
เราควรปลดอาวุธไม่ให้คนคิดไม่ดีทำในสิ่งที่เป็นโทษต่อผู้อื่นได้
ไม่ใช่ว่าจะไปทำร้ายไปกำจัด "ตัวเค้า" ให้เค้าหมดไปจากโลก คิดแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับ genocide นั่นแหละ คิดแบบนั้นมันก็มีแต่ความโกรธ ขาดสติ ไม่คิดยาวๆคิดแต่ว่าขอให้มันไปไกลๆก่อน
เรามาช่วยกันหาทางบีบให้เค้่าไม่สามารถใช้อาวุธ(อำนาจ/เงิน/ข้อมูล)ในทางไม่ชอบได้ พลังเรามีขนาดนี้แล้ว
แบบไอคิโด้ คือ ถ้าเค้าแรงมา แรงเค้าเองแหละที่จะทำให้เค้าแพ้ ยิ่งเค้าแรงมาเราก็มีหลักฐานมัดตัวเค้าได้มากขึ้น ถ้าเราไป react แรงแบบไม่คิดหาทางให้แยบยล เราก็ไม่ทีทางแก้ปัญหาได้เลย มีแต่จะทำร้ายตัวเองให้เค้ามาอ้างได้ว่าเราเองก็ทำผิด!
-------------------------------------------------------
ผมเชื่อว่าไม่เคยมี "เหยื่อของสถานการณ์" นะครับ มีแต่ว่าเราเลือกที่จะเป็นอย่างนั้นเท่านั้นจริงๆ ต่างหาก
-------------------------------------------------------
ติดตามผลงานของคุณหมอวิธานมานานแล้ว เคยไปคุยกับ อ. วิศิษฐ์ วังวิญญู ที่เชียงรายหลายครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสพบคุณหมอวิธาน อิอิ
ขอบคุณมากครับที่แนะนำบทความดีๆ จะได้นำไปฝึกฝน
เป็นบทความที่น่าอ่านมากครับ
ได้ทบทวนตัวตนของเราว่าจริงๆแล้วเราอยู่ระดับไหน บางทีเราก็ยังไม่ถึงไหนครับk
ขอบคุณคุณหมอสุธีและท่านอัยการมากๆค่ะที่แวะมา : )
เป็นบทความที่เรียกสติให้ผู้คนหันกลับมาทบทวนตัวเองได้ดีมากค่ะ ประทับใจอีกแล้ว
ขอบคุณคุณหมอมัทมาก ๆ เลยนะคะ ^_^
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สวัสดีครัีบน้องมัท
สบายดีนะครัีบ กระบวนการนี้มีประโยชน์มากๆ เลยครับ การฟังด้วยหัวใจ เข้าใจ เข้าถึง รอบด้าน ช่วยได้เยอะครัีบ
จะนำไปปรับใช้ด้วยครับ
ก่อนเราจะปลดอาวุธคนอื่น เราต้องปลดอาวุธตัวเองก่อนเนอะครับ...
ใจเราต้องกว้างและใหญ่พอ ถึงจะเรียกว่าเราได้ใจคนอื่น และอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
ขอบคุณมากๆ เลยครับผม
ขอบคุณมากๆค่ะ
สิ่งที่มัทหวังก็คือการ"เรียกสติ"คนที่กำลังโกรธ (และกลัวอยู่ลึกๆแต่ไม่รู้ว่าตัวเองกลัว) นี่แหละค่ะ อยากให้มีกำลังใจด้วยว่าปัญหามีทางแก้ ต้องใช้เวลาเราจะรีบไปไม่ได้ เดี๋ยวพังกันหมดเพราะ ความโกรธ
ต้องขอบคุณคุณหมอวิธานที่เขียนบทความนี้ขึ้นมากค่ะ : )
แล้วก็ต้องขอบคุณกลุ่มคนที่คิดเรื่อง Theory U ขึ้นมาด้วยค่ะ : )
กลับมาตอบคุณเม้งอีกที : )
"ก่อนเราจะปลดอาวุธคนอื่น เราต้องปลดอาวุธตัวเองก่อนเนอะครับ"
มัทลองไปคิดดู เราต้องปลดอาวุธเทียมๆเปลือกๆของตัวเอง
แล้วพัฒนาอาวุธที่แท้ของเราขึ้นมา ถ้าเทียบกับศิลปะการต่อสู้ เราต้องพัฒนา ki หรือ Chi หรือ พลังลมปราณ ซึ่งจะมีได้ต่อเมื่อมีสติ (mindfulness)
เราต้องพัฒนาปัญญา เมื่อเรามีปัญญาเป็นอาวุธแล้ว เราก็แค่ใช้แรงที่คู่ต่อสู้ส่งมากลับไปปลดอาวุธของเค้าเอง เหมือนไอคิโด้
ใช้อำนาจ ข้อมูล การใช้เงิน อย่างมีปัญญาให้ย้อนกลับไปปลดอาวุธเค้าเอง?
ประมาณนี่รึเปล่าค่ะ? : )
รู้จักอาจารย์วิธาน ตอนที่ไปอบรม transformative coaching อาจารย์ทำให้ผมเห็นกระจ่างในเรื่องชีวิตมากขึ้นครับ
ดีจัง
ขอบคุณ น้องมัทค่ะ
คุณหมอ วิธาน คนนี้ ไม่ธรรมดา
บันทึกนี้ ต้องอ่าน อ่านช้า ๆ คิดตาม
และสุดท้ายพยายามฝึกตน ให้ได้
มีประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกับผู้อื่น สังคม ความขัดแย้ง
กับคนในครอบครัว ก็ต้อง"ฝึกตน" เช่นกัน ขอบคุณหลายเด้อ
มาอ่านอีกครั้ง หลังไปเดินแถวสะพานกับเขามา
อยากให้หลาย ๆ คนได้อ่านแนวคิดแบบนี้
นั่นหน่ะสิค่ะ : )
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ
ที่แม่ฮ่องสอน ผมประยุกต์ใช้ไอคิโดในการฝึกเด็ก เยาวชนกับงานพัฒนาชุมชน ลองแวะเข้าไปเยี่ยมชม แลกเปลี่ยน ให้ข้อเสนอแนะกันนะครับ