คนจน


“ขอเงินบาทนึง ซื้อยาสูบ” แกพูดโดยไม่มองหน้า

 

คนจน

โทรศัพท์สาธารณะเนี่ย โทรเสียเงินมั้ย ป้าไม่เคยโทรสักทีเคยแต่เข้าป่า…”

ไปกินเหล้าแล้วไม่ยอมจ่ายเขาอีกแล้วใช่ไหม จนเขาต้องมาตามทวงถึงบ้าน...

ลูกไอ้ใบตายแล้วนะ”…

กลับมาก่อน  กลับมาก่อน บัณฑิต

มานี่ก็ให้ได้ผลงานกลับไปสักชิ้นเน้อ

ไม่จริง ถ้าทางราชการไม่ช่วยจะสำเร็จได้ยังไง ...

ขอเงินบาทนึง ซื้อยาสูบ”…

ประโยคเหล่านี้ฝังตรึงในความรู้สึก แม้เวลาผ่านไปแสนนาน รอยทางของอดีตยังชัดคม...

1

ผมปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ ลมพัดแรงขึ้น แดดรอนแสงลงอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นผ่านปะทะใบหน้า แล้วละอองน้ำเล็ก ๆ  ก็เซ็นมา ชั่วอึดใจฝนเม็ดใหญ่เทลงอย่างหนักหนาวสั่นไปทั้งร่าง ผมรีบปั่นจักรยานเข้าข้างทางหลบฝนใต้ร่มไม้ใหญ่ มีน้าผู้หญิงอายุราว 40 หลบฝนอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อนั่งได้สักพักแกเอ่ยขึ้นว่า  เป็นคนที่ไหน ผมตอบว่าเป็นนักศึกษามาจากกรุงเทพ มาเรียนรู้ชนบท แกทำหน้างง แต่ก็ถามต่อว่าจะไปอำเภอทำไม ไม่เคยไปเลยเหรอ ? ผมว่าจะไปโทรศัพท์ แกถามต่อว่า โทรศัพท์สาธารณะเนี่ย โทรเสียเงินมั้ย ป้าไม่เคยโทรสักทีเคยแต่เข้าป่า…” 17 กันยายน 2535

2

ผมคว้าจักรยานคันเดิมปั่นไปตามทางลูกรังทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ขากลับพบชาวบ้าน 3 คนกำลังนั่งดื่มสุรากันบนบ้าน มานี่ก่อน มานั่งคุยกันก่อน เสียงตะโกนโหวกเหวกดังออกมาจากเรือน มองเห็นชายร่างกายกำยำ โบกมือเรียกให้เข้าไปหา ผมตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งร่วมวง จัดแจงวางบุหรี่และไฟแช็ค ไว้ด้านหน้าข้างตัวตามธรรมเนียมวงเหล้าที่แสดงถึงว่า ใคร ๆ ในวงก็หยิบไปสูบได้ คนที่เรียกผมขึ้นไปคือ ผู้ช่วยใบ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายป้องกันและปราบปราม เขาสงสัยว่าผมทำแผนที่ไปทำไม เข้ามาที่นี่ทำไม ท่าทางหน้าตาขึงขังและคาดคั้นจะเอาคำตอบ ผมรู้สึกราวกับว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง แต่ความสุภาพก็ชนะ... นั่งดื่มได้สองแก้วจึงเอ่ยปากขอตัวกลับ... ผู้ใหญ่บ้านเปิดเครื่องขยายเสียงดังตุบตับเพื่อเตรียมแนะนำตัวผมกับชาวบ้าน ด้วยความคะนองผมหยิบเทปเพลงในป่ายุคเก่าช่วง 14 ตุลาให้ผู้ใหญ่เปิดเรียกคน... มารวมกันนะเธอจ๋า...  หนุ่มสาวเสรี...  ลำเพลินเจริญใจขับไล่อเมริกามันกระตุ้นอารมณ์ให้ฮึกเหิมอยากทำงานพัฒนาหมู่บ้านจนเลือดฉีดพล่านไปทั่วจุดชีพจร...18 กันยายน 2535

3

เย็นแล้วซ้อนจักรยานไปหนองสะแกกลุ่มบ้านที่อยู่ห่างไป 2 กิโลเมตรกับลูกชายผู้ช่วยไกร เขาเป็นเด็กเลี้ยงวัวตามโครงการให้ยืมวัวเลี้ยงของหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง เรียกสั้น ๆ ว่า อพป.  เขาเป็นวัยรุ่นที่ไม่ค่อยพูด เงียบขรึมและไม่มีร่องรอยอารมณ์ความรู้สึกใดบนใบหน้า ผมมาถึงหนองสะแกตอนเย็นไม่มีใครรู้จักฐานะคือคนแปลกหน้า ลูกชายผู้ช่วยพาไปนั่งที่บ้านหลังหนึ่งมีตากับยายอยู่กันสองคน บ้านทุกหลังที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ บรรยากาศชวนอึดอัดคัดเคร่ง ไม่มีใครพูดอะไร ลูกผู้ช่วยไม่ปลิปากแนะ นั่งสักพักภายใต้บรรยากาศหวาดระแวงของเจ้าบ้าน จึงได้เอ่ยปากลากลับ ผมเดินลงจากบ้านได้ยินยายด่าตาเสียงดังว่า ไปกินเหล้าแล้วไม่ยอมจ่ายเขาอีกแล้วใช่ไหม จนเขาต้องมาตามทวงถึงบ้าน...

21 กันยายน 2535

4

เมื่อผู้ช่วยใบคนที่สอบความเป็นมาของผมเมื่อวันก่อน กวักมือเรียกชวนดื่ม ผมก้าวขึ้นไปร่วมวงโดยไม่

ลังเลวันนี้เราคุยกันเรียบรื่นขึ้น บนบ้านกำลังทำพิธีต่อชะตาลูกชายผู้ช่วยเด็กน้อยที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.1   นอนป่วยหายใจแรงเสียงดัง บริเวณตับบวมพองโปนออกมา ผู้ช่วยเล่าว่ากำลังรอผลตรวจชิ้นเนื้อที่ตับจากโรงพยาบาลจุฬา หมอที่อุตรดิตถ์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ระหว่างนี้เลยขอเอาตัวลูกชายกลับบ้านเพื่อทำพิธี   ผมบอกว่าทำพิธีเสร็จให้รีบนำส่งโรงพยาบาลแต่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นเพราะมีหมอพื้นบ้านกำลังปรุงยารักษาอยู่ กลับมาที่บ้านผมคุยกับ แม่ ทราบว่า ลูกผู้ช่วยปวดท้องมานานแล้วแต่ไม่มีใครสนใจเพราะฝากลูกไว้กับญาติ สองผัวเมียไปทำงานกรุงเทพ จนกระทั่งอาการหนักจึงกลับมาดูลูกแล้วรีบส่งโรงพยาบาล 24 กันยายน 2535

5

ตื่นเช้ามาด้วยอาการที่ยังไม่สร่างเมาดีนัก ปวดหัว ปวดตามตัว รู้สึกแสบท้อง คิดใคร่ครวญว่ากินเหล้าขาว 40 ดีกรีไป 3 ขวด ตอนที่อยู่เพชรบูรณ์ก็กินเท่านี้ไม่เห็นมีอาการ จำได้ลาง ๆ ว่า เมื่อคืนผมโก่งคออาเจียนนอกชานบ้าน แล้วเดินมากางมุ้งจากนั้นล้มลงกลางบ้าน ผู้ช่วยไกรมาปะครองไปนอนแล้วกางมุ้งให้ใกล้ ๆ กับวงเหล้านั่นเอง

 ผมเดินตาม    พ่อผู้ใหญ่ ไปที่วัดด้วยอาการอ่อนล้า วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้แนะนำตัวต่อหน้าชาวบ้าน ระหว่างทางผู้ช่วยไกรขี่จักรยานผ่านมาร้องว่า ลูกไอ้ใบตายแล้วนะ ... 26 กันยายน 2535

6

คิดว่าจะเดินแวะหาทำความรู้จักคุ้นเคยกับบ้านที่ยังไม่เคยไป แต่ก็ไม่วายเดินเรื่อยเปื่อยไปถึงบ้านผู้ช่วยใบจนได้ ในใจคิดว่าแวะทักทายให้กำลังใจหน่อยก็ดีเพราะเพิ่งเสร็จงานศพลูกชายไป  วงเหล้างานศพยังคงไม่เลิกรา เดินมาถึงบ้านงานเช่นนี้แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ผมนั่งร่วมดื่มด้วย วันนี้ได้รู้จักกับทายก หลง ที่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะ ความขัดแย้ง ที่ชาวบ้านเบื่อระอากับงานพัฒนา เริ่มตั้งแต่เรื่องการสร้างโรงเรียนที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นแล้วไปขอครูกับโรงเรียนที่หมู่บ้านฝั่งตรงข้าม แต่ครูใหญ่ไม่ให้ การขอถนนลาดยางเข้าหมู่บ้านที่ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว แต่ทางป่าไม้ไม่ยอมให้สร้างอ้างว่าเป็นเขตป่า เรื่องการขัดผลประโยชน์การก่อสร้างสะพานข้ามคลองตรอนที่ถึงขนาดมีการฆ่าปิดปากกัน  เรื่องฝายกั้นน้ำไม่เป็นไปตามความต้องการต่างจากแบบที่เสนอของบประมาณไปโดยไม่สามารถใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้ เพราะการทุจริตของเจ้าหน้าที่ ผู้รับเหมา และคนของหมู่บ้านเอง ลุงหลงบอกว่า 7 เดือนที่อยู่ที่นี่ต้องรู้ทุกเรื่องแน่ ๆ รายละเอียดที่อยากรู้นั้นบอกไม่ได้ให้ศึกษาเอาเอง หลังจากมีอาการมึนผมขอตัวกลับแต่ก็ถูกรั้งไว้ นั่งสักพักผมขอตัวกลับเป็นครั้งที่สอง และแอบเลี่ยงออกมาโดยที่ทายกหลงไม่ทันเห็น กำลังจะก้าวพ้นบ้าน แกร้องเรียกผมเสียงหลง...  กลับมาก่อน  กลับมาก่อน บัณฑิต 28 กันยายน 2535

7

ผมคิดเรื่องการสร้างที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน มันเป็นงานที่ ผอ.ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนฝากให้ช่วย ตามโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิต วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้คุยเรื่องนี้กับชาวบ้านเพราะเป็นวันพระ ชาวบ้านจะมาพร้อมกันที่วัดมากกว่าการเรียกประชุมผ่านหอกระจายข่าว ผมไปวัดเป็นคนที่สอง ทายกหลงกำลังเตรียมเครื่องขยายเสียง พอหันมาเห็นก็ทักทายว่า วันนี้จะปราศรัยมั้ย ... หลังพระฉันท์เสร็จผมเตรียมบทเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาที่เก็บไว้ตอนไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกของกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นเรื่องราวของการพัฒนาให้ชาวบ้านอ่าน พออ่านเสร็จแล้วจะมีคำถามให้ชาวบ้านพูดคุยให้ความเห็น รูปแบบคำตอบนั้นมีอยู่แล้วคือโน้มน้าวให้ชาวบ้านมาทำงานพัฒนาร่วมกัน มีคำถามอยู่ 2 คำถาม เมื่อชาวบ้านอ่านเสร็จผมถามคำถามแรกทันที แต่คำตอบทำให้ผมไม่สามารถโน้มน้าวอะไรต่อไปได้อีก หยุดชะงักงุนงงอยู่ตรงนั้น... คำถามข้อแรก... มีคำพูดอยู่ว่า ถ้าผู้ใหญ่ไม่สั่งผู้น้อยก็ไม่ต้องทำ (งานพัฒนา) เห็นด้วยหรือไม่ ผมอ่านคำถามเสียงดัง ชาวบ้านตอบด้วยเสียงอันดังเช่นกันว่า เห็นด้วย ถ้าผู้ใหญ่ไม่สั่งจะไปทำได้ยังไงข้ามหน้าข้ามตา...?  คำถามที่สอง การพึ่งตนเองจะทำให้การพัฒนาหมู่บ้านสำเร็จได้ คำตอบก็คือ ไม่จริง ถ้าทางราชการไม่ช่วยจะสำเร็จได้ยังไง ... 4 ตุลาคม 2535

8

ฝนตกไม่ยอมหยุดติดต่อกันมา 3 วันแล้ว อาการหวัดค่อยยังชั่วขึ้นหลังจากนอนอยู่บนบ้านมา 2 วัน ผมนั่งเขียนโครงร่างสารนิพนธ์จนถึงบ่าย เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่มัคทายกหลงเล่าให้ฟังถึงความขัดแย้ง ท่าทีแปลก ๆ และหวาดระแวงของตากับยายที่หนองสะแก  และคำพูดของผู้นำหมู่บ้านที่บอกว่า มีพวกคนจนเป็นพวกดื้อ ไม่ให้ความร่วมมือ ขี้เกียจ และไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย

ถึงวันนี้กลุ่ม 3 กลุ่มที่กระจายอยู่ในหมู่บ้านนั้นได้เดินสำรวจและสร้างความรู้จักคุ้นเคยจนครบแล้ว ยังขาดกลุ่มที่เรียกว่า บ้านบน ที่ตั้งบ้านอยู่แถบตีนเขา เป็นกลุ่มย่อยที่อยู่ในกลุ่มป่าแดง ห่างจากบ้านที่ผมพักอยู่ไปไม่กี่ร้อยเมตร แต่มันคล้ายดินแดนต้องห้าม เพราะไม่เคยเห็นใครที่นั่นเข้าประชุม ไปทำบุญที่วัด หรือร่วมกิจกรรมใด ๆ ซ้ำยังไม่เคยเห็นผู้คนเดินออกมาตามทางดินเล็ก ๆ ที่ตัดลัดเลาะขึ้นไปยังบ้านบนนั้นเลย ตอนเย็นผมจึงตัดสินใจเดินขึ้นไป บ้านที่เรียงรายอยู่ตีนเขานั้นมีประมาณ 10 หลัง คนบนกระต๊อบบางหลังมองผมด้วยสายตาหวาดระแวง ไม่มีใครส่งเสียง ไม่มีคำทักทาย มีเพียงสายตาจับจ้อง ที่ทำให้ผมก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวด้วยความระแวดระวัง มันเหมือนมีแรงบีบคั้นที่หน่วงหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละก้าวที่รุกล้ำเข้าไป ในที่สุดจึงตัดสินใจหันหลังกลับ ขากลับผมปะทะเข้ากับหญิงชราผมขาวยาวเป็นกระเซิง ตัวเล็ก หน้าเรียวยาว ดวงตาไร้แววความรู้สึก สวมผ้าถุงและเสื้อเก่าคล้ำ ผมชะงักหัวใจเต้นแรง นึกไม่ถึงว่าแกจะเดินเข้ามาหา จะไปไหน แกถาม เดินเที่ยว ผมตอบ แกจ้องมองผมอยู่สักพักแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำราบเรียบ ขอเงินบาทนึง ซื้อยาสูบ แกพูดโดยไม่มองหน้า ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในพลันคาดเดาได้ว่าคนที่นี่ไม่น่ามีอันตราย เพียงแต่กลัวและหวาดระแวงคนแปลกหน้า ผมตอบปฏิเสธเพราะไม่ได้นำเงินติดตัวมา ดูแกผิดหวังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว มีเสียงบ่นพึมพำระหว่างเดินสวนกันไป...

9

ผมตื่นตะลึงกับการถูกขอเงิน 1 บาท ไม่เชื่อว่าจะมีขอทานอยู่ในหมู่บ้านชนบทเพราะเคยเห็นแต่ขอทานในเมืองหลวง พร้อมไปกับความรู้สึกผิดที่ดันไม่ได้พกเงินติดตัว มีบ้านอีกหลังเด็กชายตัวแคระนั่งเล่นหน้าบ้าน ท่าทางสนใจ จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา ผมเดินเข้าไปหา นี่มันไม่ใช่เด็กนี่ ใบหน้าเหมือนคนอายุยี่สิบปลาย ๆ รูปร่างไม่สมส่วนผอม โทรม ตาลึก หัวโต พุงโร มีอาการบวมตามลำคอ มีคนหลายคนอยู่บนบ้าน หญิงอายุราว 30  ยายแก่ ๆ และเด็กรูปร่างประหลาดที่ผมเห็นแต่แรก เข้าไปนั่งทักทายแล้วแนะนำตัว ชวนคุยได้สักพักผมก็ถามถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา   ที่นี่น้ำประปาถึงมั้ยครับ  ไม่ถึงหรอก อีกฝ่ายตอบสั้น  อ้าวแล้วใช้น้ำที่ไหนล่ะครับ  น้ำบ่อ ถ้าหน้าแล้งก็ไปเอาที่ศาลาเก่าโน่น ตั้งแต่เขาทำประปานั่นแหละก็ไม่มีน้ำใช้ลำบากมาก ไม่มีเงินต่อท่อเข้าบ้าน ไฟยังไม่มีปัญญาเลย มีกินไปวันวันเท่านั้น แกพูดอย่างอัดอั้น ศาลาที่ไปเอาน้ำนั้นอยู่ห่างไป 1 กิโลเมตร ตอนหน้าแล้งต้องไปรอน้ำตอนเที่ยงคืน และตี 3 เป็นสองช่วงเวลาที่มีน้ำมากที่สุดที่จะตักมาใช้ได้  หญิงยากจนให้ข้อมูลต่อไปว่า บ่อน้ำบาดาลที่เคยใช้เป็นประจำตรงข้ามบ้านผู้ใหญ่บ้านถูกโบกปูนปิดแล้วต่อท่อสูบไปทำน้ำประปาหมู่บ้าน เพราะเป็นบ่อเดียวที่มีน้ำตลอดปี จากนั้นคนที่บ้านบนก็เหลือน้ำใช้เพียงบ่อเดียวที่มีน้ำเฉพาะหน้าฝน ส่วนหน้าแล้งที่หมายถึงนอกฤดูฝนต้องไปเอาน้ำที่ห่างออกไป1 กิโลบางคนหาบมา บางคนใส่รถเข็น เป็นความคับแค้น และเครืองโกรธในทุกครั้งที่ไปรอน้ำคราวละหลายชั่วโมง...นี่เองที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ผมคิด

10

กลับมาที่บ้านผมนึกไปถึงคำพูดผู้ช่วยไกร ที่เล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อนว่า น้องอยู่นี่อีกไม่กี่เดือนก็คงได้เห็นเหตุการณ์ เขาต่อต้านผู้ใหญ่บ้าน ตอนนี้พี่ได้ข่าวว่าเขาจะเอากันแล้ว ผู้ใหญ่คงอยู่ได้ไม่นานต้องออกก่อนปลดเกษียน ถ้าน้องออกไปแล้วกลับมาอีก 6 ปีพ่อผู้ใหญ่จะไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกอยู่ไม่ได้ ต้องย้ายไปอยู่บ้านในโน่น...

18 ตุลาคม 2535

บทกลอนของนายผี เขียนไว้ว่า

            ตลิ่งคลองสองข้างลำน้ำของ               แม้ยืนมองอยู่ยังคอตั้งบ่า

          เขาหาบน้ำตามขั้นบันไดมา                  แต่ตีนท่าลื่นลู่ดังถูเทียน

          เหงื่อที่กายไหลโลมลงโทรมร่าง              แต่ละย่างตีนยันสั่นถึงเศียร

          อันความทุกข์มากมายหลายเล่มเกวียน

          ก็วนเวียนอยู่กับของสองฝั่งเอย

กลับวนเวียนอยู่กับงานการพัฒนา

11

ฝนหยุดในวันนี้แต่อากาศยังเย็น หมอกลงคลุมไปทั่ว กระดานบริเวณที่นอนเปียกชื้น ยกเว้นตรงที่วางฟูก ผมนอนอยู่หน้าห้องผู้ใหญ่ เป็นห้องโล่งกว้าง ห้องนี้ใช้กินข้าว ทำครัว นั่งกินเหล้า ดูทีวี บางด้านไม่มีฝา บางด้านมีฝาครึ่งเดียว ผมนอนสัมผัสระอองหมอกไอเย็นและน้ำค้างได้ใกล้ชิด ตอนสายผมไปถามเรื่องการทำ จปฐ. กับผู้ช่วยเด่น เพราะแบ่งให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไปเก็บข้อมูลมา คำตอบที่ได้รับคือยังไม่ได้ทำ  อารมณ์เริ่มหงุดหงิด พาดไปคุยต่อเรื่องทำที่อ่านหนังสือที่ตกลงกันว่าจะเก็บเงินชาวบ้านทำ ตามที่ได้ประชุมกันไว้ ผู้ช่วยเด่นบอกว่า ผมว่าเก็บไม่ได้หรอก  ทำไมล่ะครับ  ไม่มีใครให้หรอก อย่าสร้างเลยเน้อ รอเงิน ส.ส. ดีกว่า แกพูดต่อว่า เอาสะพานก่อน ที่อ่านหนังสือมันไม่สำคัญ สะพานมันจะพัง  ผมเก็บข่มอารมณ์ไว้ ด้วยความโมโหที่ไม่ยอมเห็นดีเห็นงามกับที่อ่านหนังสือ ก่อนผมกลับ ผู้ช่วยเด่นเอ่ยขึ้นว่า มานี่ก็ให้ได้ผลงานกลับไปสักชิ้นเน้อ แม่งกูไม่ได้มาเอาผลงานโว้ย ผมคิดในใจ... 

12

ตอนบ่าย เกษตรฯ เข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร นำหนังสือระบุข้อความให้ยืมเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองมาให้ผู้ใหญ่บ้านเซ็นว่า ได้รับเมล็ดพันธุ์ไปเมื่อปีที่แล้ว ผู้ช่วยเด่นคนที่ผมไม่ชอบหน้าเมื่อวาน

 

หมายเลขบันทึก: 218026เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

แวะมาเยี่ยมค่ะ คนจนก้มีหัวใจนะคะ

สวัสาดีครับ

มาอ่านและลงชื่อไว้ครับ ขออนุญาต นำไปแนะนำให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ อ้อ ผมตามอ่านบทความที่อาจารย์สมชายเขียนไว้ที่เวปมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนด้วยนะครับเป็นบทความวิชาการที่ดีมากๆ ครับ http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999557.html

ขออภัย พิมพ์ช่ออาจารย์ผิด ว่าสมชาย ปล.ชื่ออาจารย์แปลกดีนะครับ สามชาย มีที่มาอย่างไรครับ ขออนุญาตเรียนถามมา ณ ที่นี้

ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ที่แวะมาเยี่ยม

ผมได้ไปเยี่ยม Blog ของทั้งสองท่านเช่นกัน

สำหรับ "สามชาย" เป็นชื่อ ธงสามชายหรือธงชัย เป็นอิศวรราชูปโภคตรีธุช หรือธงสามชาย ให้เป็นเครื่องหมายแทนพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสาม หรือตรีมูรติในศาสนาพราหมณ์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหมให้เป็นธงนำกองทัพเทพยดา เมื่อออกรบกับอสูร

ตราประจำจังหวัดชัยภูมิ

ถือว่าเป็นมงคลประการที่สี่ เป็นธงนำทัพ และนำหน้าขบวนถือเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะครับ

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านอีกครั้ง .... ตามที่คุณกวินแนะนำค่ะ...อ่านครั้งแรกด้วยหลากความรู้สึก มันตื้อ ๆ  ตัน ๆ เลยไม่อยากคอมเม้นท์ ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องพยายาม อ่านอีกทีคราวนี้ อยากบอกเล่าบ้างนิดหน่อยค่ะ

เคยทำงานกับครูภูมิปัญญาไทยและเครือข่ายค่ะ และมักจะชอบแอบไปอ่านและแอบถามบางคำถามกับ พี่บางทราย พี่ชายใจดี

"คนจน" อ่านแล้วย้อนตัวเองค่ะ ...

ทำงานไปตามนโยบายของหน่วยงาน ไม่ได้มีจิตวิญญาณอะไรที่จะสร้าง...บางสิ่ง ทำไปให้เสร็จ ๆ จะได้เก็บไว้เป็นผลงาน อ้างว่ารักชนบทและความเป็นไทย ช่วยพัฒนา...ซึ่งไม่ใจว่าพัฒนาใคร อะไร ที่ไหน 

อ.สามชายเขียนต่อนะคะ จะตามมาอ่านให้จบค่ะ...^_^...

ขอบคุณบันทึกดีๆ นะคะ ขอเป็นกำลังใจไต่ฝันค่ะ

มีรุ่นพี่ที่ทำงานเมืองลาว ก็เป็นบัณฑฺตอาสามธ. เช่นกันค่ะ

... เท่าที่สัมผัส คนจน ส่วนใหญ่ รุ่มรวย น้ำใจ และมิตรไมตรี

มีความสุขกับการทำสิ่งที่รัก เสมอ ตลอดไปนะคะ

 

ขอบคุณครับ รุ่นพี่ทำงานเมืองลาวชื่ออะไรครับเผื่อจะรู้จัก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท