ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 : มาตรการการเฝ้าระวังของรัฐและบุคลากรทางสาธารณสุขฝากความหวังไว้ได้มั้ยนี่ ???


ช่วงนี้ สายชาวพุทธส่วนหนึ่งก็รณรงค์ให้สวดพระคาถาบูชาพระปริต นัยว่า ให้สวดกันมาก ๆ เพื่อช่วยขจัดเป่าปัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่เคยกระทำกันมาแต่ในอดีต เชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย แต่ ที่ยังจะต้องฝากความหวังไว้คือ บุคลากรสาธารณสุข ต้อง เข้าใจ หัวอกคน ให้มากกว่านี้ อย่ามัวแต่ ทำงานตามหน้าที่รอรับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว คนดีดี ที่เขาตั้งใจทำงานจะมัวหมองเพราะพวกที่ทำตัวเป็นตัวถ่วงมันจะไม่งาม

ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 : มาตรการการเฝ้าระวังของรัฐและบุคลากรทางสาธารณสุขฝากความหวังไว้ได้มั้ยนี่ ???

หลังจากไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ระบาดอย่างเต็มรูปแบบหลังจากที่มีความพยายามสกัดกั้นการนำเสนอข้อมูลที่เป็นข้อมูลที่แท้จริงว่าจำนวนที่แท้จริงของผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่าแท้จริงแล้วมจำนวนเท่าไหร่กันแน่

เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา(24-26 กรกฎาคม 52) ได้ประสบกับการจัดการเรื่องไข้หวัด 2009 ด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดที่มี แรงงานต่างด้าวมากที่สุด และเป็นจังหวัดที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพิ่งลงไปตรวจเยี่ยมได้ไม่นาน แถมมีคำยืนยันจากปากของทั้งคนในกระทรวงและคนในโรงพยาบาลว่า จะใส่ใจและดูแล ทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวอย่างดี ? โรงพยาบาลสมุทรสาคร

ช่วงหัวค่ำ ราว ๆ 20.00 น.ของวันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม หญิงคนหนึ่งแต่งกายแบบชาวบ้าน อุ้มลูกสาววัยสองขวบเศษ ด้วยอาการตัวร้อนจัด หลังจากวัดอุณหภูมิด้วย ปรอทวัดไข้จากบ้าน ด้วยการเหน็บที่รักแร้ใต้เสื้อได้อุณหภูมิ 39.5 องศา มาถึงที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ในขณะที่ในใจก็วิตกกังวลว่าลูกสาว จะเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เจ้าหน้าที่ฝ่ายคัดกรอง ยังมีเวลา ถามหา บัตรประกันสุขภาพ และ คาดคั้นให้แนบสูติบัตรของเด็ก แถมขู่สำทับว่า คราวหน้า หาก ไม่เอามา จะให้จ่ายเงินเอง ?? (ทำตัวใหญ่กว่าพรบซหลักประกันสุขภาพอีกนะ) และเมื่อไปถึง หน้าห้องตรวจ พยาบาลที่ทำหน้าที่อยู่หน้าห้อง ก็ไม่ทราบว่าไปเครียดหรือหงุดหงิดใครมาจากไหน สอบถามด้วยน้ำเสียห้วน ๆ แกมรำคาญ จน ผู้เป็นแม่ เอ่ยปากบอกว่า เด็กไปเยี่ยมญาติที่ป่วยอยู่ที่ ดรงพยาบาลในจังหวัดราชบุรี และ ในห้องนั้น มีผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ 2009 อยู่ด้วย กลับได้รับคำตอบว่า โรงพยาบาลที่ไหนก็มีทั้งนั้น ที่นี่ก็มี แล้วก็ ใช้ปรอทวัดไข้เหน็บเข้าที่รักแร้แต่นอกเสื้อของเด็กแบบไม่เต็มใจทำงาน อุณหภูมิก็ขึ้นมาที่ 37.5 องศา ก็ให้นั่งรอพบแพทย์หน้าห้องตรวจฉุกเฉินตามปกติ พอเข้าไปในห้องตรวจ เด็กเกิดอาการหวาดกลัวที่จะพบแพทย์ ดิ้นรนเดินออกมานอกห้อง ร้องไห้จ้า แถมด้วยการอาเจียนเป็นน้ำพุ่งออกมา สองสามครั้งนอกห้อง ก็ไม่เห็นมีใครจะสนใจเท่าไหร่ ปล่อยทำนองจะอ๊วกก็อ๊วกไป แถมด้วย แม่บ้านเดิไปบ่นไปว่าต้องมาเช็ดอีกต่างหาก (เวรกรรม) ในห้องตรวจนายแพทย์เวร ในวันนั้น แนะนำให้ กลับไปดื่มน้ำเยอะ ๆ นอนพักผ่อน อยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ?? จน แม่เด็ก ต้องให้ข้อมูลซ้ำอีกครั้งว่า เด็กไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมา นายแพทย์ผู้นั้น จึง สอบถาม อีกครั้งแบบแปลก ๆ ว่า คุณรู้จักไข้หวัด 2009 ดีแค่ไหน ?? (หมอท่าจะเพี้ยน รัฐบาลออกสื่อแจกคู่มือนับล้านฉบับให้ประชาชนสังเกตอาการ)เป็นผม ผมจะตอบไปว่า แล้วหมอ รู้จักหัวอก ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ดีแค่ไหน ?? ก็ในเมื่ออาการ สามสี่อย่าง และปัจจัยเสี่ยงมันมีมากขนาดนี้ ยังจะลังเลอะไร ?? ไม่ใช่ว่ายาเข้าไม่ถึง หรือ เข้าถึงช้า แต่ บุคลากรทางการแพทย์บางคน ไม่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตพลเมืองมากพอ มากกว่า ?? แต่ยังดีที่สุดท้าย ยอมจ่ายยาต้านไวรัส โอเซเทมีเวีย แบบละลายน้ำมาให้ เด็กน้อยคนนั้น 1 ขวด จ่ายยามาวันที่ 25 กรกฎาคม ยาหมดอายุ วันที่ 5 สิงหาคม ก็แสดงว่า ยาสำหรับเด็กนั้น ไม่ได้มีอายุยาวนานเท่าไร แต่ ทำไม ไม่รีบแจกจ่ายออกมา เมื่อพบเจอผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัด 2009

พ่อและแม่เด็ก ทั้งคู่ เป็นวิทยากรขององค์กรพัฒนาเอกชนอย่างน้อยสองแห่ง ที่ ช่วยทำหน้าที่ รณรงค์ให้ความรู้ด้านสุขภาพและด้านสิทธิให้แก่แรงงานต่างด้าว และ คนไทยที่ด้อยโอกาสในเขตจังหวัดสมุทรสาครและพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ใกล้กัน ??สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากถามไปดัง ๆ ให้บุคลากรทางสาธารณสุขได้รับทราบ รับฟัง และ มองเห็นคนเท่ากันในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ นี่ยังดี ที่เป็นคนไทย ที่พอจะกล้าต่อปากต่อคำกับพวกคุณ แล้วถ้าเป็น ตาสี ยายสา  ตามา ยายมี หรือ แรงงานต่างด้าวล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น ?? ตัวเลขการแพร่ระบาดที่ ทำดูเหมือนต้องหมกเม็ดเอาไว้ ประกาศตัวเลขน้อย ๆ มันคงไม่ได้ช่วย อะไร ได้มากไปกว่าทำให้ โรคนี้ระบาดมากขึ้น

ช่วงนี้ สายชาวพุทธส่วนหนึ่งก็รณรงค์ให้สวดพระคาถาบูชาพระปริต นัยว่า ให้สวดกันมาก ๆ เพื่อช่วยขจัดเป่าปัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่เคยกระทำกันมาแต่ในอดีต เชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย แต่ ที่ยังจะต้องฝากความหวังไว้คือ บุคลากรสาธารณสุข ต้อง เข้าใจ หัวอกคน ให้มากกว่านี้ อย่ามัวแต่ ทำงานตามหน้าที่รอรับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว คนดีดี ที่เขาตั้งใจทำงานจะมัวหมองเพราะพวกที่ทำตัวเป็นตัวถ่วงมันจะไม่งาม

 

หมายเลขบันทึก: 281396เขียนเมื่อ 29 กรกฎาคม 2009 23:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท