พวกเราคงจะชื่นชอบหรือชิงชัง OT (งานล่วงเวลา) ไม่มากก็น้อย... น้อยไปงานอาจจะเดินช้า มากไปอาจจะเปลืองค่าจ้าง หรือเสียสุขภาพ
วันนี้มีข้อคิดจากผลการวิจัย ซึ่งท่านอาจารย์ ผศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชคตีพิมพ์ในผู้จัดการรายสัปดาห์มาฝากครับ...
งานล่วงเวลามีส่วนเพิ่มประสิทธิผลขององค์กร ช่วยให้ไม่ต้องจ้างบุคลากรใหม่มาเพิ่ม ซึ่งจะต้องทำการฝึกอบรมกันใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความต้องการกำลังคนสูงสุด หรือช่วง “พีค (peak)”
ขณะเดียวกันก็มีขีดจำกัดที่มีต้นทุนค่าล่วงเวลา (overtime / OT) บุคลากรที่ทำงานหนักเกินอาจมีประสิทธิผลต่ำลง เสี่ยงอุบัติเหตุ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมากขึ้นไปด้วย
งานบางอย่างอาจทำ OT ได้มากหน่อย เช่น งานสำนักงาน ฯลฯ เมื่อเทียบกับงานประเภทใช้แรงงาน
ประเทศที่ร่ำรวยในยุโรปและอเมริกาจำกัดเพดาน OT ไว้ที่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมทั้งกำหนดขีดจำกัดห้ามหมอและเจ้าหน้าที่สุขภาพทำงานมากเกินไว้ เนื่องจากทำให้เสี่ยงต่อความผิดพลาด และอุบัติเหตุ
ขอกลับไปดูผลการศึกษาวิจัยบ้าง... ท่านอาจารย์ธีรยุสกล่าวว่า ผลการศึกษาวิจัยออกมาดังต่อไปนี้...
สรุปง่ายๆ คือ การทำ OT ในช่วง 40-60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีผลดีมากกว่าผลเสีย
กรณีจำเป็นต้องทำ OT มากเกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นั้นพบว่า ความเสี่ยงทางลบมักจะเกิดกับพนักงานที่มีอายุมากๆ เป็นส่วนใหญ่
วิธีแก้ไขคือ ถ้าจำเป็นต้องเร่งงาน... ควรเลือกจ้างพนักงานที่อายุน้อยทำ OT ในส่วนที่เกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
การดูแลสุขภาพสำหรับหน่วยงานที่มีการทำ OT นั้น... ควรเน้นการป้องกันหวัด ซึ่งติดต่อกันผ่าน “มือ” ที่ปนเปื้อนเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เช่น หลังไอ-จาม หลังสั่งน้ำมูก ฯลฯ และผ่านบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
มาตรการต่อไปนี้มีส่วนช่วยลดการแพร่โรคหวัด ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ได้
<ul>
</ul> <ul>
</ul> <ul>
</ul>ถึงตรงนี้… ขอให้พวกเรามีความสุข และมีสุขภาพการทำงานที่ดีไปนานๆ ครับ <p> แนะนำให้อ่าน: </p>
แหล่งที่มา:
</span><ul>
</ul>
ขอบคุณอาจารย์หมอวัลลภมากค่ะ
เป็นข้อมูลที่ดีต่อพนักงานและองค์กรในการดูแลสุขภาพของพนักงานได้เป็นอย่างดีค่ะ